มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 18 ดอกบัวน้อยสร้างปัญหาอีกครั้ง
หลังจากนั้นหลายวัน เชวี่ยเหนียงก็หอบเอาหนังสือกองหนึ่งเข้ามาในเรือน
ในหนังสือเหล่านี้มีหนังสือที่เก่าอย่างมาก มีบันทึก แล้วก็มีกระดาษที่ดูใหม่เอี่ยม นั่นน่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ของเหล่าผู้อาวุโสสำนักจิ้งจงในช่วงเวลาหลายวันมานี้
จิ๋งจิ่วไม่ได้เอาหนังสือเหล่านี้ไป หากแต่อ่านดูอยู่ในเรือนรอบหนึ่ง เลือกเอาสิ่งที่ควรค่าแก่การจดจำมาจดจำไว้ในสมอง
เหยียนเจินลู่นั้นเป็นศิษย์ที่ถูกขับออกไปจากสำนักจิ้งจงอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ดูแล้วในตอนนั้นระหว่างเขากับสำนักจิ้งจงมีเรื่องราวที่ซับซ้อนอย่างมากเกิดขึ้น แต่นั้นไม่ใช่สิ่ งที่จิ๋งจิ่วสนใจ
เขาเพียงแต่อยากรู้ว่าทฤษฎีคันฉ่องบุปผาและวิชาแบ่งกระจกของเหยียนเจินลู่นั้นเหมือนกับเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือบางๆ ที่เก็บอยู่ที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยเล่มนั้นหรือไม่
หลังใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สองชั่วยามเขาก็ได้ข้อสรุปออกมา หากเหยียนเจินลู่เดินต่อไปตามเส้นทางในตอนแรก วิชาแบ่งกระจกก็ไม่ควรจะเป็นเหมือนอย่างในเวลานี้ นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนทำ อะไรบางอย่างกับวิชาแบ่งกระจกขั้นที่เจ็ดที่ดูเหมือนไม่มีอะไรสะดุดตา ลำดับก่อนหลังในนั้นถูกปรับเปลี่ยน จนทำให้ข่ายพลังหมอกควันจางหายเกิดปัญหาที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางรู้แอบ บซ่อนอยู่
หนังสือบางๆ ในยอดเขาซื่อเยวี่ยเล่มนั้นถูกเก็บเข้ามาในสำนักชิงซานเมื่อเจ็ดร้อยสามสิบสี่ปีก่อน ศิษย์พี่เริ่มครุ่นคิดถึงข่ายพลังหมอกควันจางหายนี้เมื่อเจ็ดร้อยสามสิบสามปีก่ อน ช่วงเวลาของเหตุการณ์ทั้งสองมีความใกล้เคียงกันมาก นี่จึงทำให้ได้ข้อสรุปเพียงอย่างเดียว นั่นคือศิษย์พี่เป็นคนเอาหนังสือเล่มนั้นไปเก็บไว้ยังยอดเขาซื่อเยวี่ย แล้วก็เป็นเ เขาที่เป็นคนทำอะไรกับวิชาแบ่งกระจก เพียงแต่ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนั้นด้วย?
จิ๋งจิ่วมองดูดอกหานเหมยที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยแทบจะไม่เคยเห็นเขาดูหงอยเหงาเช่นนี้ เชวี่ยเหนียงยิ่งรู้สึกตื่นเต้น
กระทั่งตัวจิ๋งจิ่วเองก็ไม่รู้ว่าในเวลานี้ควรจะดีใจหรือว่าผิดหวังดี แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่จนถึงท้ายที่สุดแล้วศิษย์พี่ก็ไม่ยอมบอกอะไร อย่างนั้นตัวเองควรรู้สึกโกรธถึงจะถูก
ในเมื่อข่ายพลังหมอกควันจางหายมีปัญหา เช่นนั้นก็จำเป็นต้องทำการแก้ไข เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่
ผู้อาวุโสที่ชื่อเหยียนเจินลู่ผู้นั้นเพียงแต่เสนอแนวคิดออกมา แต่ไม่เคยทดลองทำมันจริงๆ
ถ้าหากไม่สำเร็จ อย่างนั้นก็คงได้แต่ต้องคิดหาวิธีอื่นในการบรรลุกลายเป็นเซียนแล้ว
เขามองดูมือขวาของตัวเอง ในใจครุ่นคิดเช่นนี้
……
……
ในตอนที่ออกมาจากสำนักจิ้งจง เชวี่ยเหนียงทำการโขกศีรษะคำนับเขาอย่างจริงจัง จิ๋งจิ่วอนุญาติให้นางไปเยี่ยมตนเองที่ชิงซานได้ทุกเมื่อ ส่วนเรื่องเล่นหมากล้อมนี้ เขาเองก็คิดเอ อาไว้แล้ว อย่างมากก็แค่พานางไปหาถงเหยียนที่ยอดเขาซ่อนเร้น
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ค่อยเข้าใจ เห็นๆ อยู่ว่าไม่เคยไปมาหาสู่กัน เหตุใดเขาถึงได้เชื่อใจศิษย์หญิงของสำนักจิ้งจงคนนี้ถึงขนาดนี้
จิ๋งจิ่วเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ความจริงแล้วเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับคำว่าใช้หมากล้อมดูคน แต่ถ้าหากเขาพูดเช่นนี้ นั่นมิเท่ากับเป็นการสนับสนุนคำพูดของถงเหยียนหรอกหรือ ?
ในตอนที่เขากลับมาถึงยอดเขาเสินม่อ งานชุมนุมเหมยฮุ่ยในเมืองเจาเกอก็เสร็จสิ้นลงแล้วเช่นกัน หลังจากนั้นหลายวันนักพรตกว่างหยวนมารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุม จิ๋งจิ่วถึ งได้รู้ว่าเหตุใดเชวี่ยเหนียงถึงได้กังวลใจขนาดนั้น
ความร่วมมือกันระหว่างสำนักบำเพ็ญพรตสำนักต่างๆ กับราชวงศ์ตระกูลจิ่งได้เกี่ยวพันไปถึงเรื่องการจัดสรรทรัพยากรในการบำเพ็ญพรตอันซับซ้อน ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยทุกๆ ครั้ง สัดส่วนในกา ารจัดสรรทรัพยากรล้วนแต่จะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยตามตำแหน่งการความดีความชอบของแต่ละสำนัก การปะทะกันระหว่างสำนักกระบี่ซีไห่และสำนักอู๋เอินเหมินได้เคยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย ย่างชัดเจนในสัดส่วนการจัดสรรทรัพยากร
สำนักชิงซานและสำนักจงโจวนั่งอยู่ในจุดสูงสุดของสวนดอกเหมยมาโดยตลอด ทรัพยากรบนแผ่นดินเฉาเทียนต้องทำการจัดสรรให้แก่พวกเขาก่อน พวกเขาย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลดจำนวนทรัพยากรล ลง
แต่ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้ได้เกิดเรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก นั่นก็คือสำนักจงโจวขอให้ลดจำนวนทรัพยากรของสำนักชิงซานลง
เหตุผลของสำนักจงโจวฟังดูมีเหตุผลอย่างมาก พวกเขาบอกว่าแต่ละสำนักล้วนแต่สูญเสียไปเป็นจำนวนมากเพื่อสะกดอุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับดินแดนหมิงเอาไว้ สำนักชิงซานรับผิดชอบไล่ล่าสังหาร มารเผ่าหมิงที่กระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ ตอนนี้เผ่าหมิงสงบเสงี่ยมเช่นนี้ ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนแทบจะไม่มีวิญญาณร้ายด้วยซ้ำ สำนักชิงซานไม่มีอะไรทำ แล้วเหตุใดถึงต้องเอาทรัพย ยากรไปมากขนาดนั้น? ยิ่งไปกว่านั้นสัดส่วนทรัพยากรของสำนักชิงซานที่สำนักจงโจวขอให้ลดจำนวนลงก็เป็นจำนวนที่น้อยอย่างมาก น้อยจนกระทั่งสำนักที่ธรรมดาที่สุดก็ยังไม่สนใจด้วยซ้ำ
แต่ลดลงก็คือลดลง ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากยอมให้ทำเช่นนั้น สำนักจงโจวจะต้องรุกคืบอีกแน่
สำนักชิงซานย่อมไม่ยอมตกลงเรื่องนี้
นักพรตกว่างหยวนและผู้อาวุโสเยวี่ยเชียนเหมินจากสำนักจงโจวทะเลาะกันอย่างรุนแรงอยู่ในวัดจิ้งเจวี๋ยจนเกือบจะลงไม้ลงมือกัน
และในเวลานั้นเอง ฉานจึก็ได้พูดออกมาประโยคหนึ่ง ถึงได้ทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปถึงขั้นนั้น
ในตอนนั้นฉานจึกล่าวกับเยวี่ยเชียนเหมินว่า “เจ้าสู้นักพรตกว่างหยวนไม่ได้ เสียงดังไปจะมีประโยชน์อะไร?”
ในตอนที่กล่าวประโยคนี้ นักพรตกว่างหยวนไม่ได้หัวเราะ จิ๋งจิ่วไม่ได้หัวเราะ เจ้าล่าเยวี่ยเองก็ไม่ได้หัวเราะ
ผิงหย่งเจียเพิ่งจะหัวเราะออกมาก็ถูกหยวนฉวี่ฟาดไปทีหนึ่ง
ตอนนี้ฉานจึไม่มีทางช่วยชิงซานพูดอย่างแน่นอน ในคำพูดของเขาย่อมต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงเอาไว้อยู่ เผลอๆ นั่นอาจจะเป็นการพูดกับชิงซานก็เป็นได้
จริงอยู่ที่เยวี่ยเชียนเหมินมิใช่คู่ต่อสู้ของนักพรตกว่างหยวน ในบรรดาเจ้าแห่งหุบเขาทั้งสิบสองคนของเขาอวิ๋นเมิ่งก็น่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของนักพรตกว่างหยวนได้
แต่ปัญหาก็คือ นักพรตกว่างหยวนเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักพรตไป๋กับนักพรตถานเช่นเดียวกัน
สำนักจงโจวมีสองทะลวงสวรรค์กับฉีหลิน สำนักชิงซานมีหนึ่งทะลวงสวรรค์กับแมวและหมา ไม่ว่าดูอย่างไรก็เป็นสำนักจงโจวที่แข็งแกร่งกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครรู้ว่าในหุบเขาด้านหลังของเขาอวิ๋นเมิ่งมีใครอยู่บ้าง แล้วบนแผ่นดินยังมีสิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างราชาปลาไนเพลิงอยู่อีกกี่ตัวกันล่ะ?
ทั้งสองฝ่ายตกลงกันในเมืองเจาเกอไม่ได้ สุดท้ายด้วยการเกลี้ยกล่อมของฉานจึ ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงจะไปคุยกันอีกครั้งที่วัดกั่วเฉิงในฤดูใบไม้ร่วง
นักพรตไป๋จะเดินทางไปด้วยตัวเอง ทางสำนักชิงซานย่อมได้แต่ต้องเชิญหยวนฉีจิงไป
……
……
หลังนักพรตกว่างหยวนจากไปแล้ว จิ๋งจิ่วมองดูหยวนฉวี่
ตอนที่ผิงหย่งเจียส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนหน้านี้ เขาได้ถูกหยวนฉวี่ฟาดไปทีหนึ่ง จิ๋งจิ่วมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง นี่ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ จากนิสัยของหยวนฉวี่เมื่อก่อนนี้ ในเวลานั้นเกรงว่าเขาคงจะหัวเราะบื้อๆ อยู่กับผิงหย่งเจีย แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรในเมืองเจาเกอมา ถึงได้เปลี่ยนเป็นฉลาดขึ้นมา ท่าทางเองก็ดูสุขุมขึ้นกว่าเดิม
“ตอนที่อยู่ในเมืองเจาเกอ ลู่กั๋วกงได้มาหาข้าขอรับ”
หยวนฉวี่กล่าวว่า “เขาบอกว่าในหนึ่งปีมานี้ ราชสำนักเองก็ไม่ค่อยสงบเช่นเดียวกัน พวกขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายจิ่งซินเหล่านั้นเริ่มก่อความวุ่นวายอีกครั้งขอรับ”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าตอนแรกน่าจะฆ่าจิ๋งซินไปเสีย หากปล่อยเอาไว้แบบนี้ สุดท้ายในอนาคตจะต้องเกิดความยุ่งยากอย่างแน่นอน เขากล่าวถามหยวนฉวี่ว่า “เจ้าเป็นอย่างไร?”
หยวนฉวี่รู้ว่าอาจารย์อาเจ้าสำนักถามถึงเรื่องงานประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เขาถูมืออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อยขึ้นมาว่า “ศิษย์ไร้ความสามารถ ได้มาแค่ที่สองขอรับ บ”
จิ๋งจิ่วรู้สึกไม่ค่อยพอใจจริงๆ เขาถามว่า “ที่หนึ่งคือใคร?”
หยวนฉวี่ก้มศีรษะกล่าวว่า “ศิษย์พี่หลิ่วสือซุ่ย เขาลงประลองในนามเรือนอี้เหมาขอรับ”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ที่แท้ก็แพ้ให้แก่สือซุ่ย จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
……
……
ในช่วงเวลาหนึ่งปีมานี้ หลิ่วสือซุ่ยมีความสุขอย่างมาก เรียกได้ว่านี่เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีที่เขามีความสุขที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาเข้าไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง เรือนอี้เหมานั้นเหมา าะกับเขาจริงๆ ซีอี้อวิ๋นและศิษย์พี่คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสุภาพบุรุษ เจ้าเรือนเองก็ให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก ตั้งใจสอนเขาเรียนหนังสือและบำเพ็ญเพียร แล้วยังให้เขาลงประลองในง งานชุมนุมเหมยฮุ่ยในฐานะตัวแทนของเรือนอี้เหมาอีก
แต่เรื่องที่เขามีความสุขที่สุดย่อมต้องเป็นเรื่องที่คุณชายเป็นเจ้าสำนักชิงซาน
ก็เหมือนอย่างที่จิ๋งจิ่วเคยรับรู้ได้ รอยยิ้มบนใบหน้าในตอนที่เขาทำเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นไม่เคยจางหายไปไหน
“ในอดีตคุณชายเองก็เคยได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรต แน่นอน คู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ของข้าในครั้งนี้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเจอกับเรื่องในที่ราบหิมะด้วย ข้าไม่อาจเทียบกับคุณชายได้เลย”
บนใบหน้าที่ค่อนข้างคล้ำของหลิ่วสือซุ่ยเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข
จากนั้นเขาสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มของเสี่ยวเหอดูค่อนข้างฝืน สายตาดูหลุกหลิก เขาจึงหุบยิ้มพลางกล่าวถามอย่างจริงจังว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
เสี่ยวเหอกล่าวเสียงสั่นว่า “เมื่อปีที่แล้วตอนที่ฝนฤดูใบไม้ผลินั้นตกลงมา นักพรตไท่ผิงมาที่นี่”
สายตาของหลิ่วสือซุ่ยคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวถามว่า “นักพรตไท่ผิง?”
เสี่ยวเหอก้มศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางลืมใบหน้าเขา เขาคือสมณะที่อยู่ในวัดกั่วเฉิงผู้นั้น ท่านบอกว่าเขาคือนักพรตไท่ผิงมิใช่หรือ?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวถามว่า “แล้วทำไมตอนนั้นเจ้าไม่บอกข้า?”
เสี่ยวเหอเช็ดดวงตา กล่าวว่า “ข้ากลัว….ภายหลังอยากจะบอกท่าน แต่ท่านเรียนหนังสือหนัก…ยิ่งไปกว่านั้นข้ากลัวว่าท่านจะโทษข้า”
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่าต่อให้ตอนนั้นเจ้ากลัว แต่ทำไมหลังจากนั้นถึงไม่พูด แล้วข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร? จากนั้นเขาถามว่า “เขามาทำอะไรที่ระเบียงลมพันลี้?”
เสี่ยวเหอกล่าวเสียงเบาๆ “เขาไม่ได้ทำอะไร แค่เด็ดดอกบัวไปสามสี่ดอก”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าทำอะไร?”
เขาใช้ชีวิตอยู่กับเสี่ยวเหอมานานขนาดนี้ ย่อมต้องรู้จักนางเป็นอย่างดี เขารู้ว่าหากมิเป็นเพราะนางทำเรื่องอะไรที่ไม่กล้าบอกตัวเองล่ะก็ นางไม่มีทางเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ แน่นอน
“ข้า…ข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ชี้ทางให้กับเขา” เสี่ยวเหอเงยหน้าขึ้นมา มองดูใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเขา น้ำตาไหลพรากออกมา กล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ข้ากลัวจริงๆ เขาให้ข ข้าพาพวกเขาไปที่สระมังกรเจียว ข้าไหนเลยจะกล้าขัดขืน?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงสระมังกรเจียวที่อยู่ด้านหลังเรือน?”
เสี่ยวเหอพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
เพื่อที่นางจะได้มาหาตนเองในเรือนได้สะดวก หลิ่วสือซุ่ยได้เอาป้ายคำสั่งในเรือนอันหนึ่งมอบให้แก่นาง ด้วยป้ายคำสั่งนี้จึงทำให้นางเดินผ่านระเบียงลมได้
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เสี่ยวเหอร่ำไห้พลางกล่าวว่า “ท่านจะบอกคนในเรือนหรือไม่?”
หลิ่วสือซุ่ยส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ไม่บอก”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเสี่ยวเหอมองดูเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ
หลิ่วสือซุ่ยลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะหนังสือ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าเรือนรู้เรื่องที่ข้าเอาป้ายคำสั่งให้เจ้า แต่ถ้าเขารู้ว่าเจ้าพานักพรตไท่ผิงเข้ามาที่นี่ล่ะก็ เจ้าตายแน่”
เสี่ยวเหอมองดูแผ่นหลังของเขา บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าเศร้าใจ กล่าวว่า “ท่านเปลี่ยนไปแล้ว…หากเป็นเพราะข้า ข้าต้องขอโทษด้วย”
หลิ่วสือซุ่ยเดินมาถึงหน้าโต๊ะ หยิบเอาแท่งหมึกออกมาจากในแขนเสื้อ
บนแท่งหมึกมีทองเคลือบเอาไว้อยู่ ภายในแท่งหมึกเองก็ทองเส้นเล็กๆ ผสมอยู่ แท่งหมึกหมุนวนไปบนจานฝนหมึกอย่างเงียบๆ ค่อยๆ กลายเป็นของเหลวที่ผสมกันระหว่างสีดำและสีทอง ยากจ จะใช้คำพูดมาบรรยายได้
ก็เหมือนกับชีวิตของเขา
เขาเคยเป็นเด็กที่ใสซื่ออยู่ในหมู่บ้าน ภายหลังได้กลายเป็นศิษย์ที่รักความยุติธรรมอยู่ในยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่กลับต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในปู้เหล่าหลินเป็นเวลานานหลายปี
เขารู้ว่าตัวเองอยากจะกลายเป็นคนแบบไหน แต่กลับไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นคนแบบไหนกันแน่
หมึกสีทองดำที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษฝนเสร็จแล้ว เขาหยิบเอาพู่กันออกมาด้ามหนึ่ง จุ่มลงไปในน้ำหมึกแล้วเริ่มเขียนจดหมาย
พู่กันที่ดูเหมือนพู่กันธรรมดาด้ามนี้คือพู่กันครองเมืองที่เป็นของวิเศษล้ำค่าประจำเรือนอี้เหมา
ในอดีตหลังจากที่บัณฑิตเหยียนมอบพู่กันครองเมืองด้ามนี้ให้แก่เขา เขาก็พกมันติดตัวเอาไว้ตลอด เพียงแต่สภาวะยังไม่สูงพอ จึงไม่สามารถใช้มันได้
ตอนนี้เขาร่ำเรียนอยู่ที่เรือนอี้เหมามาเป็นเวลาหลายปี หลังจากผ่านการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยมา สภาวะของเขาก็ยกระดับขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากพู่กั นครองเมือง
เสี่ยวเหอเช็ดน้ำตา เดินมาด้านหลังเขา ก่อนจะกล่าวถามอย่างไม่สบายใจว่า “ท่านเขียนจดหมายให้ใคร?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “คุณชาย”
เรื่องนี้ไม่อาจบอกท่านอาจารย์เจ้าเรือนได้ แต่เขาจะปิดบังคุณชายไม่ได้