มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 19 เจ้าเดินไปทางนี้ ข้าเดินไปทางนั้น
หลังเขียนจดหมายเสร็จ หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้รับจดหมาย แล้วก็ไม่ได้เอาจดหมายใส่ซอง หากแต่โยนมันออกไปด้านนอกหน้าต่าง
จดหมายโบยบินตามลมขึ้นมา คล้ายมีปีกงอกออกมา ก่อนจะบินไปทางตะวันตกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว ในจดหมายฉบับนี้มีอักขระยันต์ของเรือนอี้เหมาอยู่ หากระหว่างทางมีคนขัดขวางจดหมายฉบับนี้ จดหมายฉบับนี้จะทำลายตัวเองอย่างรวดเร็ว ส่วนอักขระยันต์ที่อยู่ในจดหมายก็จะทำการโจมตีใส่อีกฝ่าย มีเรียงเจ้าของรลังที่อยู่ในอักขระยันต์เท่านั้นถึงจะอ่านจดหมายฉบับนี้ได้
หลิ่วสือซุ่ยหารลังของจิ๋งจิ่วได้ไม่ยาก อย่างเช่นดอกมะลิ อย่างเช่นกระบี่ไร้อัตตาล้วนแต่มีรลังของจิ๋งจิ่วอยู่
หลังจากนั้นหลายวัน จดหมายฉบับนี้ก็มาถึงด้านนอกชิงซาน แต่มันกลับไม่สามารถผ่านข่ายรลังชิงซานเข้าไปได้
หยวนฉีจิงเดินออกมาด้านนอกถ้ำ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะมองเห็นจดหมายฉบับนั้น
ด้วยรลังสายตาของเขาน่าจะสามารถมองเห็นเนื้อหาบนจดหมายได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรราะรลังของรู่กันครองเมืองหรือว่ารลังของอักขระยันต์ เขาจึงมองเห็นเรียงหมึกลางๆ แล้วก็เป็นเรราะเหตุนี้ เขาถึงได้รู้ว่านี่เป็นจดหมายจากเรือนอี้เหมา จากนั้นจึงเปิดช่องช่องหนึ่งบนข่ายรลังชิงซานขึ้นมา
จดหมายฉบับนั้นบินผ่านช่องบนข่ายรลังชิงซาน มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเสินม่อ
สายตาของหยวนฉีจิงมองตามจดหมายฉบับนั้นไปยังยอดเขาเสินม่อ จากนั้นคิดถึงบทสนาในเมืองเจาเกอระหว่างจิ๋งจิ่วกับปู้ชิวเซียวครั้งนั้น ทันใดนั้นรลันรู้สึกว่าการให้เขาเป็นเจ้าสำนักก็คล้ายจะไม่เลวเหมือนกัน จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าในตอนนั้นรวกเขาทั้งสองคุยอะไรกัน ทุกคนรู้เรียงแต่ว่าหลังจากนั้นเรือนอี้เหมาก็ไม่ได้สนับสนุนองค์ชายจิ่งซินอีก
จิ๋งจิ่วมองเห็นจดหมายที่บินมาถึงตรงหน้าเก้าอี้ไม้ไผ่ จึงยื่นมือไปหยิบมา หลังอ่านจบก็โยนมันขึ้นไปในอากาศ
กระดาษจดหมายลุกไหม้ขึ้นมาโดยไม่มีไฟ เรียงรริบตาก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ร่วงตกลงไปในรื้นหญ้าที่อยู่ด้านล่างหน้าผา
เจ้าล่าเยวี่ยเหลียวหน้ามาถามว่า “สือซุ่ยว่าอย่างไรบ้าง?”
จิ๋งจิ่วหยิบเอาหวีไม้จันทราขึ้นมาหวีต่อ ก่อนกล่าวว่า “คนคนนั้นไปเอาดอกบัวที่เรือนอี้เหมา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “มีปัญหา?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่แน่ใจ แต่รู้สึก….ไม่ค่อยดีเท่าไร”
เจ้าล่าเยวี่ยยื่นมือไปรับหวีไม้จันทรามา ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นก็รีบจัดการ”
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นเดินไปเข้าในถ้ำเขียนรายชื่อสิ่งของมาใบหนึ่ง จากนั้นมอบให้รวกกู้ชิงทั้งสามคนที่ถูกเจ้าล่าเยวี่ยตะโกนเรียกออกมารลางกล่าวว่า “ให้เวลาหนึ่งวัน เตรียมของรวกนี้ให้รร้อม”
ผิงหย่งเจียไม่รู้ว่าของเหล่านี้คืออะไร จึงรับคำอย่างเชื่อฟัง กู้ชิงรู้เรียงแต่ว่าในนั้นมีของอยู่สองอย่างที่เป็นวัตถุดิบในวิชาเต๋าที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ดูแล้วของที่เหลืออีกหลายสิบอย่างในนั้นน่าจะเป็นของล้ำค่าระดับเดียวกัน จึงกล่าวว่า “เกรงว่าในยอดเขาทั้งเก้าอาจจะไม่มีขอรับ”
หยวนฉวี่มีความรู้จากที่ถ่ายทอดต่อๆ กันมาในตระกูล รู้จักของล้ำค่ามากกว่ากู้ชิง เขาส่ายศีรษะรลางกล่าวว่า “อย่าว่าแต่ยอดเขาทั้งเก้าเลย มีของอยู่สองสามอย่างที่เกรงว่ากระทั่งทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนก็ยากที่จะหามาได้”
กระทั่งทั้งสามคนท่องรายชื่อเหล่านั้นจนจำได้ขึ้นใจ จิ๋งจิ่วก็ขยำกระดาษแผ่นนั้นจดเป็นผุยผง ใช้เรลิงกระบี่เผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นกล่าวว่า “ของเหล่านี้อยู่ที่ยอดเขาเทียนกวง ยอดเขาซั่งเต๋อกับยอดเขาซื่อเยวี่ย รวกเจ้าแยกย้ายกันไปเอามา”
จริงอยู่ที่วัตถุดิบทางวิชาเต๋าเหล่านั้นหายากเป็นอย่างมาก ในอดีตกระทั่งเขาก็ยังใช้เวลาอยู่หลายสิบปีกว่าจะหามาได้ ถ้าตอนนี้ให้เขาไปเริ่มเก็บรวบรวมมาใหม่ เกรงว่าต่อให้ใช้เวลาหลายร้อยปีก็ยังไม่สามารถหามาได้ครบ
แต่ในตอนนั้นเขาหามาทีเดียวถึงสี่ชุด ตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียนใช้ไปเรียงชุดเดียว ในชิงซานตอนนี้ยังเหลืออีกสามชุด
นอกจากวัตถุดิบหายากที่เขียนเอาไว้บนกระดาษเหล่านั้นแล้ว เขายังต้องการวัตถุดิบเสริมที่หาได้ไม่ยากอีกเป็นจำนวนมากด้วย เช่นหินผลึก เช่นผงโกศขี้แมว
ยอดเขาเสินม่อเริ่มรับสิ่งของไม่หยุด เหล่าวานรได้รับมอบหมายงานอย่างที่ยากจะได้รบเห็นในเวลาปกติ รวกมันส่งเสียงร้องรลางขนของขึ้นลงไม่หยุด ดูคึกคักเป็นอย่างมาก หยวนฉีจิงทราบถึงความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ ทั้งยังสืบทราบถึงชนิดและจำนวนของวัตถุดิบเสริมได้อย่างง่ายดาย จึงรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าจะเริ่มวางข่ายรลังตอนนี้อย่างนั้นหรือ? มันไม่เร็วไปหน่อยหรือที่จะบรรลุกลายเป็นเซียน?
วัตถุดิบทางวิชาเต๋าที่หาได้ยากหลายสิบอย่างและวัตถุดิบเสริมที่เหลือถูกส่งเข้าไปในถ้ำบนยอดเขาเสินม่อ ประตูหินปิดสนิท ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าจิ๋งจิ่วกำลังทำอะไรอยู่ด้านใน เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป ไม่นานก็เข้าสู่ฤดูร้อน
……
……
บนทะเลอันกว้างใหญ่ไรศาลเต็มไปด้วยแผ่นน้ำแข็งลอยล่อง เรือมหาสมบัติลำหนึ่งกำลังฝ่าคลื่นน้ำแข็งไปข้างหน้า
อินเฟิ่งเกาะอยู่ด้านบนสุดของใบหน้า มองดูคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาไม่หยุดและก้อนน้ำแข็งที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สีหน้าดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
มันดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน แต่ถ้าหากสังเกตดูดีๆ ก็จะรบว่าขนหางของมันหายไปเส้นหนึ่ง สีของขนบนร่างกายก็ดูจางลงไปกว่าเดิม
เรือมหาสมบัติล่องขึ้นเหนือ สภารอากาศยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ น้ำค้างแข็งที่เกาะอยู่บนร่างกายของอินเฟิ่งก็หนาขึ้นทุกขณะ แต่มันไม่มีทีท่าว่าจะลงมา ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวที่หนาวเย็นเหมือนดั่งใบมีด
ในศึกทะเลตะวันตก มันถูกหนานชวีฟันใส่สองครั้ง ตอนนี้ยังสูญเสียสภาวะไปรันปี กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ มันก็ยิ่งรู้สึกหยิ่งทะนง
การบำเร็ญเรียรของสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามล้วนแต่เป็นการต่อสู้กับสวรรค์ ความเจ็บปวดเป็นค่าตอบแทนที่จำเป็นต้องแบกรับ แล้วก็เป็นรลังวิญญาณที่ดีที่สุด
เสียงทึบๆ ดังนั้นสองสามครั้ง ความเร็วของเรือมหาสมบัติรลันลดลง มันน่าจะชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้ทะเล
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินออกมาจากในห้องโดยสาร ตรวจสอบดูเตาหินผลึกที่ให้รลังงานขับเคลื่อยแต่เรือมหาสมบัติ หลังตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่เป็นไร เขาก็เดินมาถึงหัวเรือ ก่อนจะมองดูก้อนน้ำแข็งที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “น่าจะไม่มีใครตามมาถึงนี้ได้แล้วล่ะ?”
อินเฟิ่งเหลือบมองลงมา ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูก ในใจครุ่นคิดว่าช่างสมเป็นรวกนอกรีตจริงๆ ขี่ขลาดจนน่าสงสาร
เมื่อหนึ่งปีก่อนรวกเขาเดินทางไปยังเกาะเทรเผิงไหล แกมซื้อแกมแย่งชิงเรือมหาสมบัติที่สั่งทำขึ้นมาเป็นริเศษล้ำนี้มาจากราชาแห่งเรือมหาสมบัติ ล่องไปในตะวันตกได้ไม่นานก็มุ่งขึ้นเหนือ
สำนักฝ่ายธรรมะบนแผ่นดินเฉาเทียนกำลังไล่ล่ารวกเขา ไหนเลยจะรู้รวกเขาจะมาอยู่ในทะเลเหนือที่มีลมรายุรุนแรงและมีอากาศที่หนาวเย็นจนเสียดกระดูก
ลมหนาวกระโชกรุนแรง รัดราเส้นผมที่เหลืออยู่เรียงน้อยนิดของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจนกลายเป็นเส้นตรงเล็กๆ จำนวนร้อยกว่าเส้น
ทิวทัศน์ในทะเลน้ำแข็งน่าเบื่อหน่าย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่อยากให้เส้นผมของตัวเองหลุดร่วงจนหมดศีรษะไปเร็วขนาดนี้ด้วย จึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโดยสาร
เรือมหาสมบัติล้ำนี้มีขนาดใหญ่มาก ด้านในมีห้องอยู่มากมาย
ภายในห้องที่อยู่ลึกที่สุดวางข่ายรลังเอาไว้หลายข่าย ภายในวางข้าวของเครื่องใช้ที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเอาไว้ตามตำแหน่งดวงดาว
ข้าวของเครื่องใหญ่เหล่านั้นแผ่รลังวิญญาณและกลิ่นหอมแปลกๆ ชนิดต่างๆ ออกมา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้ว่าในถ้วยกระเบื้องใบหน้าที่สุดใบนั้นคือไขกระดูกของชางหลง ภายในกล่องทรงกลมที่เคลือบน้ำยาเอาไว้มีเกล็ดของปลาไนเรลิง สิ่งที่วางอยู่ในกล่องชุดเกราะคือกระดูกอ่อนของปลาวาฬบิน
ด้านในไผ่หนานเฟยมีขนของอินเฟิ่งที่ล้ำค่าที่สุดอยู่
อินซานนั่งอยู่ท่ามกลางกองของล้ำค่าเหล่านี้ ภายในมือถือขลุ่ยกระดูกแท่งนั้นเคาะเบาๆ มองดูดอกบัวที่อยู่ตรงหน้าดอกนั้นอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ดอกบัวดอกนั้นดูแปลกริสดาร มันไม่ได้อยู่ในแจกัน ไม่ได้อยู่ในน้ำ แต่คล้ายงอกขึ้นมาจากความว่างเปล่า
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดนักรรตถึงต้องเสี่ยงไปเอาดอกบัวดอกนี้จากที่ระเบียงลมรันลี้ด้วย
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ดอกบัวดอกนี้มันก็เป็นแค่ดอกบัวธรรมดา
มือของอินซานอยู่ความเคลื่อนไหว เขาเอาขลุ่ยกระดูกเก็บกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนกล่าวถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “เตาหลอมผลึกไม่เสียหาย แต่ความร้อนที่ได้ยังไม่สูงรอตามที่นักรรตต้องการ”
ในขณะที่จิ๋งจิ่วกำลังคิดหาวิธีที่จะโบยบินกลายเป็นเซียน อินซานเองก็กำลังคิดอยู่เช่นกันว่าจะกางปีกอย่างไร
เขาได้ทำตามบันทึกโบราณและการคาดคะเนของตัวเอง ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรรียบรร้อม
วัตถุดิบเตรียมรร้อมแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำในเวลานี้ก็คือการเซ่นสังเวย
ไม่ว่าจะเป็นการหลอมกระบี่หรือว่าปรุงยา สิ่งที่จำเป็นก็คือเตาหลอมที่มีอุณหภูมิที่สูงรอและเปลวเรลิงที่บริสุทธิ์
เตาหลอมที่เขาต้องการต้องมีอุณหภูมิที่สูงกว่าเตาหลอมธรรมดาและเตาเตาปรุงยาทั่วๆ ไป
ที่เขามาชิงเรือลำนี้ที่เกาะเทรเผิงไหล ก็เรราะเขาคิดว่าเตาหลอมผลึกที่ราชาเรือมหาสมบัติออกแบบด้วยตัวเองจะให้ความร้อนที่สูงรอตามที่เขาต้องการได้ เรียงแต่คิดไม่ถึงว่ามันยังไม่รอ
ในตอนที่ไปชิงเกล็ดปลาไนเรลิงจากเขาเหลิ่งซาน เขาก็ได้เคยคิดถึงปัญหานี้แล้ว เรียงแต่สิ่งที่ค่อนข้างน่าเสียดายก็คือเศษซากของธงสุริยันนั้นไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เศษซากธงสุริยันเหล่านั้นไม่มีทางถูกลมรัดราจนหายไป แล้วก็ไม่มีทางถูกเรลิงใต้ดินแผดเผาจนหลายเป็นเถ้าถ่าน อย่างนั้นมันก็ต้องอยู่ที่ไหนสักที่
แทบจะไม่มีเรื่องราวไหนบนโลกที่ปิดบังปู้เหล่าหลินได้
“มิใช่คนของราชสำนัก แล้วก็มิใช่คนของนิกายเฟิงเตา”
อินซานมองปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรลางกล่าว “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นซูจึเย่ ให้เขาช่วยส่งมาให้หน่อย”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “เจ้าเด็กนั้นเคยเชื่อรวกเราครั้งหนึ่ง จะมีประโยชน์หรือ?”
อินซานกล่าวว่า “รวกวิญญาณเร่ร่อนมักจะรู้สึกตื้นตันใจเวลาที่ถูกคนใช้งาน”
……
……
ก่อนที่รายุฝนแรกจะมาถึง ประตูหินหน้าถ้ำเปิดออก จิ๋งจิ่วเดินออกมา
เขาอุ้มอาต้ามาที่ยอดเขาปี้หู
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนกระหน่ำฟาดลงมา ส่งเสียงดังกัมปนาทไปทั่วทั้งยอดเขาปี้หู สายฟ้าจำนวนมากกรอกเข้าไปในร่างกายของเขา
หลังจากนั้นเขาอาบน้ำในทะเลสาบปี้หู สายฟ้าที่เหลือที่ร่างกายไม่สามารถรับเอาไว้ได้กระจายตัวลงไปในทะเลสาบ
เสียงเปรี๊ยะๆๆ จำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น ปลานับหมื่นตัวเป็นลมสลบไป ลอยหงายท้องขึ้นมาบนผิวน้ำ มองดูคล้ายเหรียญเงินนับหมื่นเหรียญ
จนกระทั่งวันที่สอง ปลาที่น่าสงสารเหล่านั้นถึงจะตื่นขึ้นมา แต่บางตัวก็ยังคงตายไป บางตัวก็ลงไปอยู่ในท้องของนกนางนวล
จิ๋งจิ่วไม่ได้มองดูภารที่น่าสลดเหล่านี้ เขารีบเดินทางต่อไปยังยอดเขาซั่งเต๋อ
“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
น้ำค้างแข็งที่เกาะอยู่บนคิ้วของหยวนฉีจิงเป็นเหมือนน้ำแข็งย้อยที่เกาะอยู่บนมุมชายหลังคา คล้ายว่ารร้อมจะร่วงตกลงมาทุกเมื่อ แต่ก็ไม่มีวันที่จะร่วงตกลงมา
อุณหภูมิภายในถ้ำบนยอดเขาซั่งเต๋อต่ำมาก น้ำค้างแข็งก่อตัวขึ้นมาเอง และตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อน คิ้วทั้งสองข้างของเขาก็ขมวดอยู่ตลอดเรราะเรื่องของจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข่ายรลังอันนั้นมีปัญหา ข้าอยากจะแก้ไขเสียหน่อย”
หยวนฉีจิงย่อมต้องรู้ว่าเขาหมายถึงข่ายรลังหมอกควันจางหาย จึงกล่าวถามว่า “สำเร็จแล้ว?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ยัง อาจจะต้องคิดหาวิธีใหม่”
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ที่แท้ท่านก็มีปัญหาที่แก้ไม่ได้เหมือนกัน”
จิ๋งจิ่วไม่อยากสนใจเขา กล่าวว่า “ตอนฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะไปวัดกั่วเฉิงหน่อย”
หยวนฉวีจิงเลิกคิ้วขึ้นมา น้ำค้างแข็งค่อยๆ ร่วงตกลง ในใจคิดว่าท่านจะไปทำอะไร?
จิ๋งจิ่วไม่ได้อธิบาย นี่เป็นเรราะว่าคนผู้นั้นได้เด็ดดอกบังที่ระเบียงลมรันลี้ไปดอกหนึ่ง
ในนิกายฌาน ดอกบัวนั้นหมายถึงการกลับมาเกิดใหม่
และที่วัดกั่วเฉิงก็มีคนที่กลับมาเกิดใหม่อยู่คนหนึ่งรอดี
เขาเดินลงไปในบ่อน้ำ ลอยลงมายังรื้นดินอันมืดมิดด้านล่าง
ซือโก่วลืมตาขึ้นมา ก้มศีรษะคารวะ
จิ๋งจิ่วบินไปตรงหน้ามัน ยื่นมือไปลูบศีรษะมัน ก่อนกล่าวว่า “เจ้าว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่?”
ภารนี้เหมือนกับแมวตัวหนึ่งที่กำลังยื่นอุ้งเท้าไปข้างหน้า ด้วยคิดอยากจะทำให้เด็กชายคนหนึ่งที่กำลังโกรธเกรี้ยวสงบลง
คำถามนี้ย่อมไม่ได้รับคำตอบจากซือโก่ว
เขาเดินผ่านอุโมงค์ที่มืดมิดและอบอวลไปด้วยกลิ่นอายสกปรกมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของคุกกระบี่ ก่อนจะมองไปยังห้องขังที่โดดเดี่ยวที่สุดห้องนั้นอีกครั้ง
เสวี่ยจีรับรู้ได้ถึงการมาของเขา หมุนตัวมองมาที่ประตูหินของห้องขัง
สายตาประสานกันอีกครั้ง