มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 2 คัดค้าน ใครมีสิทธิ์คัดค้าน
ใช้ชีวิตมาหยุดไม่ให้จิ๋งจิ่วกลายเป็นเจ้าสำนัก
นี่เป็นเรื่องที่น่าสลดใจในสายตาใครหลายๆ คน แต่สำหรับจิ๋งจิ่วแล้วมันเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย
ถ้าหากมิเป็นเพราะเขาถือปลอกกระบี่แบกสวรรค์และรับคำสั่งเสียเอาไว้แล้ว ในเวลานี้เขาอาจจะพูดคำพูดเย็นชาบางอย่างออกไปแล้วก็เป็นได้
อย่างเช่นถ้าจะตายก็ไปตายไกลๆ หน่อยอะไรทำนองนี้
แต่เขาเป็นเจ้าสำนักแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวังหน่อย
แต่ปัญหาก็คือเขาทำเป็นแต่เรื่องที่ทำในสำนักเสวียนหลิง ทำเรื่องอื่นไม่เป็น ถ้าอยากจะระวังก็ได้แต่ต้องไม่ทำอะไร
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูปลอกกระบี่แบกสวรรค์ คิดถึงหลิ่วฉือที่อยู่ตรงขอบฟ้า รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มันน่าเบื่อหน่าย ไม่แม้กระทั่งเหลือบมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนยอดเขาในเวลานี้
ศิษย์จำนวนมากเห็นภาพเหตุการณ์นี้ นี่มิใช่ไร้ความรู้สึก หากแต่เป็นความใจเย็น
แต่ปัญหาก็คือไม่มีใครที่จะใจเย็นเหมือนอย่างเขาได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตก็ตาม
อีกทั้งหลังจากนั้นก็มีคนอีกจำนวนมากที่ลงมายืนบนยอดเขา
หากบอกว่าเจี่ยนหรูอวิ๋นและศิษย์หนุ่มเหล่านี้ยังไม่มีน้ำหนักพอ อย่างนั้นคนที่ก้าวออกมาหลังจากนั้นล่ะ?
“คำสั่งนี้ไม่มีเหตุผล ข้าไม่อาจยอมรับได้”
ไป๋หรูจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
เขาเป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวง แต่กลับก้าวออกมาคัดค้านคำสั่งเสียของเจ้าสำนัก!
หลังจากนั้นผู้อาวุโสเหอแห่งยอดเขาซีไหลและผู้อาวุโสคนอื่นอีกสองสามคนก็ลงมาบนยอดเขา
คนที่ลงมาบนยอดเขามีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เสียงถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าศิษย์ชิงซานก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ฮือฮา
สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย ดูแล้วเหมือนจะไม่สามารถควบคุมได้
หยวนฉีจิงมองไปรอบๆ สายตาเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง
เสียงทั้งหมดเงียบหายไป
ท้องฟ้ายามเย็นปกคลุมยอดเขา
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวขี่กระบี่ลงมายืนอยู่ด้านหลังอาจารย์ของแต่ละยอดเขา ภายในใจรู้สึกตื่นเต้นกระวนกระวาย
เหล่าคนสำคัญที่สามารถตัดสินอนาคตของชิงซานได้อย่างแท้จริงเหล่านั้นยังไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
สีหน้าของฝูว่างที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงดูแย่เป็นอย่างมาก
ถ้าหากชื่อที่เขียนอยู่ในคำสั่งเสียของเจ้าสำนักคือชื่อของฟางจิ่งเทียนหรือนักพรตกว่างหยวน หรือต่อให้เป็นหนานว่าง เขาก็ยังพอจะยอมรับได้ แต่ว่า….จิ๋งจิ่วเนี่ยนะ?
กระทั่งศิษย์หนุ่มคนหนึ่งเขาก็ยังเทียบไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
“ข้าเองก็คิดว่าคำสั่งเสียของท่านเจ้าสำนักไม่เหมาะสม”
ฝูว่างไม่ได้สงสัยว่าคำสั่งเสียนี้เป็นของจริงหรือไม่ เขาจ้องมองจิ๋งจิ่วที่อยู่บนเก้าอี้พลางกล่าวว่า “เจ้าเพิ่งจะเข้ามาชิงซานได้แค่สามสิบปี มีสิทธิ์อะไรมาเป็นเจ้าสำนัก?”
ในขณะที่หยวนฉีจิงเตรียมจะพูดอะไร เสียงที่ฟังดูสดใสแต่กลับมีความแข็งกร้าวเป็นอย่างมากเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมา
“พวกเราเป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยาง มีความอาวุโสเท่าเทียมกับท่าน ถ้าหากเขาไม่มีสิทธิ์ แล้วท่านมีสิทธิ์อะไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา
ฝูว่างแค่นหัวเราะออกมา ในขณะที่เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง นักพรตกว่างหยวนก็ได้ชูมือขึ้นมา
เขามองไปทางจิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ นิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวออกมาว่า “ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องพรสวรรค์และความสามารถของเจ้า แต่สภาวะของเจ้ายังต่ำต้อยเกินไป ไม่สามารถทำให้ทุกคนยอมรับได้”
นี่คือการแสดงท่าที
สีหน้าของเหล่าศิษย์ชิงซานคร่ำเคร่งขึ้นกว่าเดิม
นักพรตกว่างหยวนได้แสดงสภาวะและความสามารถอันสูงส่งออกมาในทะเลตะวันตก ถูกทุกคนมองว่าเป็นหนึ่งในคนที่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปมากที่สุด
นี่จะแย่งกันหรือ?
ตามคำสั่งเสียที่เจ้าสำนักทิ้งเอาไว้ ความชอบธรรมนั้นอยู่ทางฝั่งจิ๋งจิ่ว แต่สำนักชิงซานในตอนนี้ต้องการยอดฝีมือที่แข็งแกร่งและทำให้ทุกคนยอมรับได้มาเป็นผู้นำ ถึงจะสามารถคานกำลังกับสำนักจงโจวบนแผ่นดินเฉาเทียนหลังจากที่นักพรตหลิ่วฉือจากไปแล้วได้ จิ๋งจิ่วนั้นยังอายุน้อยเกินไปจริงๆ อีกทั้งประสบการณ์และสภาวะก็ล้วนแต่ยังต่ำต้อยเกินไป
กระทั่งศิษย์หนุ่มสาวที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวเขาเหล่านั้นก็ยังยากจะจินตนาการออกมาได้ว่าสำนักชิงซานหลังจากที่เขาได้กลายเป็นเจ้าสำนักจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
กั้วหนานซานมองดูเหล่าอาจารย์ที่บินลงมาบนยอดเขาและแสดงเจตนาคัดค้านเหล่านั้น แล้วก็มองไปทางเจี่ยนหรูอวิ๋นกับหม่าหวาที่ก้าวออกมาคัดค้านเป็นคนแรกสุด สีหน้าดูคร่ำเคร่ง
จัวหรูซุ่ยกล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “ทำไมหรือ? รู้สึกว่าคนเหล่านี้พูดไปพูดมาแล้วเหมือนมองไม่เห็นหัวท่านที่เป็นศิษย์คนแรกของชิงซานหรือ?”
กั้วหนานซานกล่าวว่า “เปล่า ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าอาจารย์เพิ่งจากไป คำพูดของอาจารย์มันไม่มีผลอะไรเลยหรือ?”
จัวหรูซุ่ยมองเขาพลางกล่าวว่า “ท่านสนับสนุนจิ่งจิ่ว?”
กั้วหนานซานกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่รู้ว่านั่นเป็นคำสั่งเสียของอาจารย์”
จัวหรูซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ปัญหาก็คือ….คำสั่งเสียของชิงซานของพวกเรามันเคยใช้ได้ผลตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กั้วหนานซานเองก็นิ่งเงียบไป
นั่นสิ ถ้าหากคำสั่งเสียมีผลจริงๆ ล่ะก็ ในตอนนั้นชิงซานก็คงไม่มีคนตายมากมายขนาดนั้น
……
……
จิ๋งจิ่วยังคงสงบนิ่ง เหมือนกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันตน
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูปลอกกระบี่แบกสวรรค์ที่อยู่ในมือ ไม่ได้พูดอะไร
เขาไม่ได้สนใจสถานการณ์ในตอนนี้
คำสั่งเสียย่อมต้องสำคัญ แต่ปัญหาก็คือแต่ไหนแต่ไรมา…สำนักชิงซานไม่เคยมีธรรมเนียมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งเสียอยู่แล้ว
ถ้าหากคำสั่งเสียใช้ได้ผลจริงๆ อย่างนั้นคำสั่งเสียของอาจารย์เมื่อในอดีตจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร? ตำแหน่งเจ้าสำนักที่มอบให้ศิษย์พี่จะตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไร?
แล้วทำไมเขาและศิษย์พี่ต้องสังหารอาจารย์อาและอาจารย์ลุงตั้งมากมายขนาดนั้นถึงจะสามารถแย่งเอาตำแหน่งเจ้าสำนักกลับมาได้?
สิ่งที่ชิงซานฝึกคือกระบี่
กระบี่ก็ต้องใช้แทงท้องฟ้าให้ทะลุ
กระทั่งท้องฟ้ายังกล้าแทง แล้วยังมีอะไรไม่กล้าแทง?
……
……
สถานการณ์ในตอนนี้อยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หยวนฉีจิงเป็นกฎแห่งกระบี่ของชิงซาน เป็นคนที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงสุดหลังจากที่เจ้าสำนักจากไป แต่ปัญหาก็คือเขาจะยอมแตกหักกับคนมากมายขนาดนี้เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งเสียของหลิ่วฉือหรือ?
ต่อให้เขาคิดว่ากฎสำนักสำคัญเหนือทุกสิ่ง แต่ถ้าหากทำแบบนั้นชิงซานจะเกิดความวุ่นวายได้ หรืออาจจะมีคนตายเป็นจำนวนมากได้
สำนักจงโจวเปิดสำนักแล้ว เจตนาชัดเจนเป็นอย่างมาก
สำนักชิงซานในตอนนี้จะแบกรับผลจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสำนักได้อย่างไร?
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าภายใต้สถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ เจ้าล่าเยวี่ยได้เหลือบมองดูศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ชื่อหม่าหวาผู้นั้น
หม่าหวาหรี่ตา ไม่ได้มองดูจิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หากแต่มองดูสีหน้าของผู้อาวุโสของยอดเขาซั่งเต๋ออย่างฉือเยี่ยน
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าคนอ้วนผู้นี้ไม่มีความกล้าที่จะใช้ชีวิตมาคัดค้านคำสั่งเสีย เขาเพียงแต่คาดการณ์ได้ว่าหยวนฉีจิงไม่มีทางที่จะยอมปล่อยให้สำนักชิงซานเกิดปัญหาภายในเพราะเรื่องนี้
หม่าหวาพลันก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “ศิษย์จำได้ว่าในกฎสำนักเคยบอกเอาไว้ว่าหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็ให้แต่ละยอดเขาเลือกเจ้าสำนักออกมา”
เขาหมุนตัวมองไปทางหยวนฉีจิง ทำการคารวะอย่างนอบน้อมแล้วกล่าวว่า “ขออาจารย์ลุงโปรดตัดสินใจ”
หยวนฉีจิงไม่ได้กล่าวอะไร
ฉือเยี่ยนที่เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาซั่งเต๋ออยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แขนเสื้อที่ว่างเปล่าขยับขึ้นมาโดยไม่มีลม
จริงอยู่ที่ในกฎของสำนักชิงซานมีกฎข้อนี้ระบุเอาไว้ ว่าถ้าหากมีคนได้รับการสนับสนุนจากสองในสามของยอดเขาทั้งหมด เขาคนนั้นก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป
แต่กฎข้อนั้นเอาไว้ใช้ในสถานการณ์ที่เจ้าสำนักไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ มันไม่เหมือนกับสถานการณ์ในตอนนี้ แล้วจะทำแบบนี้ได้อย่างไร?
หม่าหวาคล้ายรู้ว่าหลายๆ คนกำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มออกมาเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เพราะว่าอาจารย์อาจิ๋งจิ่ว…ไม่สามารถทำให้ทุกคนยอมรับได้จริงๆ”
นี่เป็นเหตุผลที่เรียบง่าย
แต่กลับมีพลังเป็นอย่างมาก
ชิงซานอยู่กับความเป็นจริง
เมื่อเทียบกับคำสั่งเสียแล้ว อนาคตของชิงซานต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“ไม่มีใครสนับสนุนเขา หากเขาเป็นเจ้าสำนัก ชิงซานควรจะเดินไปทางไหน?”
ไป๋หรูจิ้งมองหยวนฉีจิง พลางกล่าวว่า “ขอศิษย์พี่ได้โปรดตัดสินใจ”
หนานว่างที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันพูดขึ้นมา ดวงตาของนางแดงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มมากไปหรือเปล่า อารมณ์เองก็ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าวว่า “เร็วหน่อยได้ไหม? จะลงคะแนนก็รีบลง”
หยวนฉีจิงใช้สายตาแปลกๆ มองดูนาง จากนั้นกล่าวว่า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ บริเวณยอดเขาพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
กระทั่งท่านกฎแห่งกระบี่ก็ยังเห็นด้วยกับวิธีนี้ อย่างนั้นผลลัพธ์ก็เป็นที่แน่นอนแล้ว
ไป๋หรูจิ้งไม่ได้สังเกตเห็นถึงสายตาของหยวนฉีจิง เขาแอบถอนใจออกมา ในใจครุ่นคิดว่ายังดีหน่อย ดูเหมือนกระทั่งเจ้าก็ไม่ยอมให้เจ้าเด็กนั่นมาเป็นเจ้าสำนักสินะ
เขาไม่กังวลใจแม้แต่น้อยเลยว่าจิ๋งจิ่วอาจจะได้รับการสนับสนุนจากหกยอดเขา
ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ยอดเขาเหลี่ยงว่างไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียง อย่างนั้นก็เหลือยอดเขาเพียงแปดยอดเขา
นักพรตกว่างหยวน ฝูว่าง ผู้อาวุโสเฉิงที่เป็นตัวแทนของยอดเขาซีไหล ตัวเองที่เป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวง หนานว่างที่ไม่ชอบยอดเขาเสินม่อมากที่สุด ทุกคนล้วนแต่จะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน
หยวนฉีจิงเห็นด้วยที่จะให้แต่ละยอดเขาเลือกเจ้าสำนัก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่อยากให้จิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้เพียงแต่เป็นเพราะกฎของสำนัก เขาจึงถูกบีบให้ต้องทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นทำไมพอหนานว่างหาทางลงให้เขาก็รีบคว้าเอาไว้เลยล่ะ?
ต่อให้เฉิงโหยวเทียนที่เป็นคนระวัดระวังและขี้ขลาดจะสละสิทธิ์เลือกเจ้าสำนักไป จิ๋งจิ่วอย่างมากก็จะได้รับการสนับสนุนจากยอดเขาเสินม่อของตัวเองเท่านั้น คะแนนต่างจากหกยอดเขาอย่างมาก
ไม่ว่ามองอย่างไร เขาก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ นักพรตกว่างหยวน ฝูว่างต่างคัดค้าน
ตอนนี้ขอแค่มียอดเขาอีกยอดหนึ่งคัดค้าน จิ๋งจิ่วก็จะไม่สามารถเป็นเจ้าสำนักได้
ชนะแน่นอนแล้ว
ไป๋หรูจิ้งครุ่นคิดเช่นนี้ ก่อนกล่าวเสียงเฉยชาว่า “ข้าเองก็คัดค้าน”
โอกาสที่จะได้จารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของชิงซานเช่นนี้ เขาจะพลาดมันไปได้อย่างไร
……
……
บนยอดเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมา
อารมณ์ของทุกคนค่อนข้างแปลกประหลาด
กระทั่งศิษย์ชิงซานจำนวนมากที่ไม่สนับสนุนคำสั่งเสียนี้ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
จิ๋งจิ่วเพิ่งจะนั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวนั้น รับคำสั่งเสียแล้วบอกว่าตัวเองคือเจ้าสำนักชิงซานคนต่อไป แต่ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไรก็ต้องถูกดึงลงมาเสียแล้ว
นี่ช่างเป็นเรื่องที่่น่าอับอายจริงๆ
และไม่ว่าจะเพื่ออุทิศตนให้กับชิงซานหรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จิ๋งจิ่วก็ไม่ควรจะต้องมาแบกรับความอับอายเช่นนี้
ลูกศิษย์และผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของสำนักชิงซานล้วนแต่คิดเช่นนี้ ยกเว้นคนจำนวนหนึ่ง
จิ๋งจิ่วก้มหน้ามองดูปลอกกระบี่แบกสวรรค์ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่ากำลังอับอายจนไม่มีหน้าจะเงยหน้าขึ้นมา
ภายในดวงตาของนักพรตกว่างหยวนมีความรู้สึกสงสารปรากฏขึ้นมา เขาเตรียมจะพูดปลอบใจจิ๋งจิ่วสักเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วพลันเงยหน้าขึ้นมา
เขารอมานานแล้ว ในที่สุดก็มีคนยกเอากฎข้อนั้นออกมาใช้
ก็เหมือนอย่างเมื่อเจ็ดร้อยกว่าปีก่อน
คนไม่อาจเหยียบลงไปในแม่น้ำสายเดิมได้
อย่างนั้นเรื่องราวแบบเดียวกันอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งได้หรือไม่?
ย่อมเป็นไปไม่ได้
อย่างน้อยก็สำหรับเขา
เขากล่าวกับไป๋หรูจิ้งว่า “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาคัดค้าน?”
คำถามนี้ทำเอาหลายๆ คนต่างรู้สึกงุนงง จากนั้นก็ค่อนข้างเป็นห่วง ในใจครุ่นคิดว่าหรือเป็นเพราะได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไป ใจแห่งเต๋าของจิ๋งจิ่วในตอนนี้เลยไม่ค่อยมั่นคง?
ไม่อย่างนั้นทำไมจู่ๆ เขาถึงได้ถามคำถามประหลาดแบบนี้ออกมา?
ไป๋หรูจิ้งมองดูจิ๋งจิ่ว ยิ้มเล็กน้อยคล้ายรู้สึกสมเพช ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างรังเกียจว่า “ข้าเป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวง ย่อมต้องมีสิทธิ์คัดค้าน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ที่ข้าถามคือท่านมีสิทธิ์อะไรมาเป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวง?”
ไป๋หรูจิ้งงุนงง เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน จึงกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อยว่า “หรือว่าข้าไม่มีสิทธิ์?”
ศิษย์สำนักชิงซานต่างพากันตกตะลึง ทุกคนต่างรู้ว่าไป๋หรูจิ้งนั้นเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจอิทธิพลและสภาวะสูงที่สุดบนยอดเขาเทียนกวง ตอนนี้เจ้าสำนักจากไปแล้ว เขาย่อมต้องมีสิทธิ์เป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวง
จิ๋งจิ่วนั่งพิงไปบนพนักเก้าอี้อยู่ในท่าที่สบายขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับคนผู้นี้อีก
กู้ชิงเดินออกมาอธิบายว่า “อาจารย์หมายความว่าต่อให้อาจารย์ลุงจะมีคุณสมบัติเป็นตัวแทนของยอดเขาเทียนกวง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายอดเขาเทียนกวงจะยินดีให้ท่านเป็นตัวแทน สองอย่างนี้มีความหมายที่ไม่เหมือนกันขอรับ”
ในเวลานี้ไป๋หรูจิ้งถึงได้เข้าใจความหมายของเขา จึงหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “หรือว่ายังมีคนที่คัดค้าน...”
“ข้าคัดค้าน”
กั้วหนานซานก้าวออกมา สบตากับไป๋หรูจิ่งเงียบด้วยสายตาที่สุขุมเยือกเย็น ไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตาแม้แต่น้อย
“ข้าก็คัดค้าน”
จัวหรูซุ่ยขยี้ตาเดินออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะง่วงเกินไปหรือเปล่า ดวงตาของเขาถึงได้แดงเล็กน้อยเหมือนอย่างหนานว่าง
………………………………………………………..