มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 20 ทำลายทั้งสำนักของเจ้าอีกครั้ง
หลังเสวี่ยจีมาถึงชิงซาน จิ๋งจิ่วเคยมาหานางที่คุกกระบี่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทางผ่านหรือว่าตั้งใจมาหาก็ตาม สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก อย่างแรกเลยคือมัน สะท้อนให้เห็นถึงความเคารพและการให้ความสำคัญที่เขามีต่อเสวี่ยจี อันดับต่อมานั่นเป็นเพราะว่าเขามีเรื่องที่อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจ และเหตุผลสุดท้ายซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดนั้น ง่ายมาก นั่นคือเขาอยากจะพูดคุยสื่อสารกับนาง
สิ่งมีชีวิตที่มีมุมมองและประสบการณ์เหมือนอย่างเขาในอดีตและสามารถพูดคุยกับเขาได้อย่างเท่าเทียมกันนั้นมีอยู่น้อยมาก
ในการสื่อสารกันสองสามครั้งก่อนหน้านี้เขาล้วนแต่เลือกที่จะล้มเลิกความคิดไปในท้ายที่สุด เขาเพียงแต่ถามนางว่าอยากจะเปลี่ยนเก้าอี้หรือไม่ นั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่อยากเสี่ยงไปสั มผัสกับกระแสจิตของอีกฝ่าย
และเป็นเพราะดอกบัวดอกนั้น วันนี้เขาจึงอยากจะมาพูดคุยกับนางจริงๆ แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะล้มเลิกความคิด ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์
เสวี่ยจีหมุนตัวกลับมา มองดูยอดเขาหิมะโดดเดี่ยวทางด้านนั้น
……
……
จิ๋งจิ่วเดินผ่านคุกกระบี่มาถึงยอดเขาซ่อนเร้น บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไร้ก้อนเมฆ แสงดาวพร่างพราวราวสายน้ำ แตกต่างจากพายุฝนที่อยู่อีกด้านหนึ่งอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับเป็นภาพลวงตาอย ย่างไรอย่างนั้น
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา เหยียบอากาศทะยานออกไป มายังยอดเขาแห่งหนึ่ง
อัญมณีสีแดงที่อยู่หน้าถ้ำยังคงส่องสว่าง จิตจำแนกแห่งกระบี่ที่เขาทิ้งเอาไว้ยังไม่หายไปไหน แสดงให้เห็นว่าซือโก่วไม่ได้มาหาฟางจิ่งเทียนจริงๆ
จากนั้นเขาไปยังถ้ำของถงเหยียน
ถงเหยียนลืมตามองดูเขา ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นชาเล็กน้อยว่า “ไหนตกลงกันแล้วว่าในสิบปีจะไม่มากวนข้า?”
จิ๋งจิ่วไม่สนใจเขา เดินเข้าไปยังหน้าโต๊ะหิน
ด้านหน้าโต๊ะหินมีกระดานหมากล้อมวางอยู่กระดานหนึ่ง บนกระดานมีหมากวางกระจัดกระจายอยู่หลายสิบตัว ยังคงเป็นหมากที่ถงเหยียนวางเอาไว้ในตอนที่เขามาหาครั้งนั้น เขาหยิบเอาหมากดำ ำเม็ดหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนตำแหน่งหนึ่งตรงมุมซ้ายด้านล่าง สถานการณ์บนกระดานเปลี่ยนไปจากในตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด หมากขาวสามสี่เม็ดที่อยู่ตรงมุมไม่มีหวังที่จะหลบหนีออกไปได้อีก ด ดูแล้วคงต้องโดนกินอย่างแน่นอน
ถงเหยียนรู้ว่าเขาเตรียมจะลงมือแล้ว จึงกล่าวถามอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดถึงเป็นตอนนี้?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ามีธุระต้องออกไปทำ ก็เลยถือโอกาสจัดการซะ”
ถงเหยียนรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร จึงยิ่งรู้สึกประหลาดใจ กล่าวว่า “ท่านจะออกไปจากสำนัก?”
หากเป็นจัวหรูซุ่ย ในเวลานี้เขาคงจะต้องพูดออกมาแน่ว่า ‘ข้าไปสำนักจิ้งจงมาแล้วต้องบอกเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?’ ทว่าจิ๋งจิ่วไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้ เขาเพียงแต่เล่าเรื่องที่เกิด ดขึ้นในเมืองเจาเกอให้ถงเหยียนฟัง จากนั้นก็พูดถึงเรื่องการนัดหมายในวัดกั่วเฉิงตอนฤดูใบไม้ผลิ สุดท้ายกล่าวถามว่า “นักพรตไป๋จะทำอย่างไร?”
……
……
แผ่นดินเฉาเทียนในช่วงกลางฤดูร้อน ทั่วทุกที่ล้วนแต่มีลมร้อนชื้นพัดผ่าน อารมณ์ของผู้คนเองก็ค่อนข้างเบื่อหน่อย แล้วก็กระสับกระส่ายเป็นกังวล
ในราชสำนัก เหล่าขุนนางทะเลาะกันไม่ว่างเว้น ในตอนนี้ย่อมไม่มีใครพูดถึงเรื่องของจิ่งซิน เรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันล้วนแต่เป็นเรื่องการสร้างแม่น้ำ เรื่องอาวุธในกองทัพเหล่านั้น แ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงทะเลาะกัน
สำนักเล็กๆ เหล่านั้นเดินทางไปยังเขาอวิ๋นเมิ่งไม่ขาดสาย คล้ายพากันไปแสวงบุญอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็คล้ายมีสายลมที่ชั่วร้ายกำลังก่อตัว
พายุฝนกำลังมุ่งหน้าไปยังชิงซาน
ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตและเหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนแต่กำลังรอคอยการเจรจาในวัดกั่วเฉิงในฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง
สายตาทั้งหมดล้วนแต่ถูกเรื่องนี้ดึงดูดเอาไว้ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลเหล่านั้นก็กำลังมีเรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นเช่นกัน
อย่างเช่นหลังจากที่มีเมืองอี้โจวเกิดน้ำท่วมขึ้นในช่วงต้นฤดูร้อน ชาวบ้านอย่างร้อยสามร้อยคนก็หายสาบสูญไป จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่พบศพ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะถูกน้ำพัดจนเข้าไ ไปติดอยู่ในแม่น้ำใต้ดิน
ภายในแม่น้ำใต้ดินไม่มีแสงสว่างใดๆ มีเพียงเสียงน้ำที่แผ่วเบา หากลงมาอยู่ในนี้จะต้องทำให้คนนึกไปถึงดินแดนหมิงที่เล่าลือกันอย่างแน่นอน ถึงแม้หน้าตาของดินแดนหมิงที่แท้จริงจะมิ ได้เป็นเช่นนี้ก็ตาม
แต่ภายในแม่น้ำใต้ดินคืนนี้กลับมีเพลิงผีที่เบาบางปรากฏขึ้นมา มันไม่ได้มาจากซากศพคนตาย หากแต่มาจากดวงตาที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ
ภายใต้การไล่ล่าของยอดเขาปี้หูของสำนักชิงซานและกรมชิงเทียนของราชสำนัก เหล่าศิษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ของสำนักเสวียนอินที่ถูกเรียกตัวมายังเมืองอี้โจวเหล่านี้ได้แต่ต้องหลบซ่ อนตัวอย่างยากลำบากอยู่ในแม่น้ำใต้ดิน เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ซากศพที่ลอยกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ในแม่น้ำใต้ดินนั้นดูน่าสลดใจยิ่งกว่า คนเหล่านั้นเสียชีวิตลงทันทีที่ตกลงมาในแม่น น้ำใต้ดิน กลายเป็นวิญญาณที่ใช้ในการบูชายัญวิชามาร
ด้านหน้ามีเสียงน้ำดังลอยมา ดวงตาที่เป็นเหมือนภูตผีเปล่งประกายเจิดจ้า เต็มไปด้วยความรู้สึกละโมบและหิวกระหาย
แต่ทันใดนั้นเอง อารมณ์ภายในดวงตาเหล่านั้นก็เหลือเพียงแค่ความรู้สึกหวาดกลัว
ภายในแม่น้ำใต้ดินถูกลำแสงกระบี่สายหนึ่งส่องสว่าง
ศิษย์สำนักเสวียนอินผู้นั้นอัญเชิญธงสีดำออกมา ด้วยคิดอยากจะยอมจำนนต่อลำแสงกระบี่สายนั้น แต่ธงสีดำนั้นกลับถูกฉีกขาดในพริบตา เสียงฉึบเบาๆ ดังขึ้น ศีรษะของเขาหลุดร่วงลงไ ไปในแม่น้ำใต้ดิน
ภายในแม่ใต้ดินมีเสียงทึบๆ ดังขึ้นมาหลายเสียง พลังที่มีความชั่วร้ายเป็นอย่างมากหลายสิบสายพวยพุ่งออกมาเหมือนดั่งพายุ พุ่งโจมตีเข้าใส่กระบี่บินเล่มนั้น ขณะเดียวกันธงสีดำจำนวน หลายสิบผืนก็โบกสะบัดขึ้นมา
ลำแสงกระบี่สายนั้นหายวับไปในทันที จากนั้นเปล่งแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง บินฉวัดเฉวียนไปในแม่น้ำใต้ดินอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มองธงสีดำเหล่านั้นอยู่ในสายตาเลย
ลำแสงกระบี่ประเดี๋ยวหายประเดี๋ยวปรากฏ ศิษย์สำนักสเวียนอินจำนวนหลายคนส่งเสียงอึกออกมาในลำคอ ก่อนจะตายไปทั้งแบบนี้
ภายในแม่น้ำใต้ดินเงียบสงัด มีเพียงเสียงศีรษะที่ร่วงตกลงไปในแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง และเสียงกระบี่บินที่สังหารคนไม่หยุด
บนหน้าผาที่ดำมืดพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ศิษย์สำนักเสวียนอินหลายสิบคนไม่คิดที่จะหลบซ่อนตัวอีกต่อไป พวกเขาพุ่งทะลุออกมาจากในดิน หลบหนีลงไปด้านล่างแม่น้ำใต้ดินอันมืดมิด
ต่อให้ผู้ที่มาเยือนจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่มีทางที่จะรั้งพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ที่นี่ได้
สำนักเสวียนอินเหลือเพียงแค่พวกเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเขาต้องพยายามมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ สำนักเสวียนอินก็ยังคงอยู่
ด้านล่างแม่น้ำใต้ดินที่อยู่ในส่วนลึกของความมืดพลันถูกลำแสงกระบี่ส่องสว่าง
ลำแสงกระบี่สายนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด เปล่งแสงสีแดงเข้มคล้ายแสงอาทิตย์ยามเย็น แล้วก็ยิ่งดูคล้ายโลหิต
เจตน์กระบี่ที่ดุดันและอ้างว้างโดดเดี่ยวกวาดไปบนผิวน้ำ ศิษย์สำนักเสวียนอินที่อยู่ด้านหน้าสุดตายไปอย่างเงียบๆ
ความมืดถูกลำแสงกระบี่ส่องสว่าง หลังปะทะกันเล็กน้อย เหล่าศิษย์สำนักเสวียนอินที่ยังมีชีวิตรอดเหล่านั้นก็หลบหนีไปโดยมีเลือดท่วมร่างกาย แต่กลับถูกผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ด้านหน้าผู้ นั้นขวางทางเอาไว้
เหล่าศิษย์สำนักเสวียนอินสบตากัน พร้อมทั้งส่งเสียงคำรามด้วยความสิ้นหวังและโกรธแค้น ก่อนจะใช้วิชาลับเพลิงสุริยันของสำนักเสวียนอินจุดไฟเผาโลหิตภายในร่างกายของตัวเอง!
ตู้มๆๆๆ!
เสียงระเบิดจำนวนนับไม่ถ้วนดังอยู่ใต้ดินอย่างต่อเนื่อง
แม่น้ำใต้ดินมีคลื่นคลุ้มคลั่งซัดสาด เพียงพริบตาก็ถูกเพลิงมารที่มีพลังชั่วร้ายแผดเผาจนเดือดพล่าน จากนั้นกลายเป็นไอน้ำที่มีความร้อนสูงไหลทะลักไปทั่วทุกทิศทุกทาง
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ฝุ่นควันค่อยๆ ร่วงตกลงมา แม่น้ำใต้ดินกลับคืนสู่ความสงบ
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำ จัวหรูซุ่ยโลหิตท่วมกาย น่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
เขาคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายศิษย์ของสำนักเสวียนอินที่เหลืออยู่เหล่านี้จะใช้วิชามารแบบนี้แผดเผาโลหิตภายในร่างกายตัวเอง จึงอยู่ใกล้กับพวกเขาไปหน่อย
เจ้าล่าเยวี่ยสวมหมวกลี่เม่า เหยียบกระบี่ทะยานออกไป เปลวเพลิงสีแดงและลำแสงที่แดงยิ่งกว่าส่องสว่างใบหน้าของนาง
ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ยังหลงเหลืออยู่บนผิวน้ำมีเศษซากร่างกายที่แหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนของศิษย์สำนักเสวียนอินลอยกระจัดกระจาย จากนั้นก็ค่อยๆ จมลงไป ผสมเข้าด้วยกันก กับเศษซากศพของชาวบ้านที่บริสุทธิ์เหล่านั้น เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงถูกปลาตาบอดที่อยู่ในแม่น้ำใต้ดินกัดกินจนแยกไม่ออก
……
……
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองอี้โจวก็คือหม้อไฟ
สิ่งที่ซูจึเย่เกลียดมากที่สุดก็คือหม้อไฟ เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในช่องแคบสุริยันที่เป็นเหมือนหม้อไฟธรรมชาติมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
ในคืนนั้น ช่องแคบสุริยันลอยขึ้นไปในท้องฟ้า จากนั้นกระแทกกลับลงมาบนพื้น ทุกชีวิตที่อยู่ในหุบเขาเสียชีวิตจนหมด รวมไปถึงลูกน้องที่จงรักภักดีต่อเขาและพ่อของเขา
ความทรงจำที่ไม่ดีเหล่านั้นเป็นเหมือนลำแสงกระบี่สายนั้น ทุกครั้งที่เขานึกถึงมัน เขาจะรู้สึกเหมือนกงล้อมารถูกฟันจนขาด เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
เขาหยิบเอายาเม็ดหนึ่งมากลืนลงไปในท้อง จากนั้นเริ่มสูดหายใจลึกๆ บนแก้มที่เป็นสีเขียวมีรอยเลือดฝาดสีแดงที่ดูไม่แข็งแรงปรากฏขึ้นมา สีสันยิ่งดูแปลกประหลาด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดในสายตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นความเคลิบเคลิ้ม จนกระทั่งท้ายที่สุด อารมณ์ทั้งหมดหายไป เหลือเพียงความสงบนิ่ง
สำนักเสวียนอินก็เหมือนกับสำนักวิถีมารสำนักอื่นๆ ที่ไม่มีเส้นปราณวิญญาณที่แท้จริง เวลาบำเพ็ญเพียรจึงมักจะเกิดปัญหา การกินยาก็แก้ไขปัญหาได้ไม่นาน
เขาออกมาจากเรือนที่พักอาศัย ไปยังร้านชาถูกๆ ร้านหนึ่ง
ภายในโรงน้ำชามีคนดื่มชาอยู่ แล้วก็มีหลายคนกำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ บนถ้วยชามีคราบชาเก่าปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน กาต้มน้ำวางอยู่บนเตา น้ำที่อยู่ภายในกาเดือดอยู่ตลอดเวลา ส่ งเสียงหวีดดังออกมาไม่หยุด
ซูจึเย่สั่งชามะลิที่ถูกที่สุดและพบเห็นได้บ่อยที่สุดมาถ้วยหนึ่ง ทั้งยังนั่งอยู่ในที่ที่ไม่สะดุดตาที่สุด
เขาสวมชุดที่ทำจากผ้าธรรมดา บนใบหน้าสวมหน้ากาก ไม่ได้ต่างอะไรกับแขกคนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงน้ำชา
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
เสียงหวีดของกาน้ำชาพลันหายไป
เสียงโวยวายและคำพูดหยาบคายบนโต๊ะไพ่นกกระจอกเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปด้วย
ซูจึเย่ยกถ้วยชาขึ้นมา เป่าฟองบนชาออกไป ก่อนจะดื่มชาลงไปคำหนึ่ง จากนั้นมองไปตรงหน้า
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ได้ยินว่าหน้าของเจ้าเป็นสีเขียว ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
ซูจึเย่วางถ้วยชาลง กล่าวถามว่า “เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?”
ความเคลื่อนไหวของเขาเป็นความลับมาโดยตลอด ตอนที่เรียกรวมเหล่าศิษย์ที่กระจัดกระจายอยู่ในโลกข้างนอกเหล่านั้นก็ล้วนแต่ใช้ฉายาหมิงหวัง คนที่รู้จักโรงน้ำชานี้ก็มีเพียงแค่สองคน
คนสองคนนั้นก็เป็นลูกน้องของเขาเมื่อก่อนนี้ สภาวะความสามารถล้วนแต่ดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความจงรักภักดีต่อเขาอย่างยิ่ง ไม่มีทางหักหลังเขาเด็ดขาด
จัวหรูซุ่ยไม่ได้ตอบคำถามของเขา หากแต่กล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร?”
ซูจึเย่กล่าวว่า “คนที่ดูเฉื่อยชา แต่กลับมีเจตน์กระบี่ที่ดุดันน่ากลัวเหมือนอย่างเจ้า ทั่วทั้งชิงซานก็คงจะมีเพียงจัวหรูซุ่ยเท่านั้น”
จัวหรูซุ่ยกล่าวชมเชยว่า “สมแล้วที่เป็นซูจึเย่ รอบรู้ทีเดียว”
ซูจึเย่ลุกขึ้นยืน มองดูเขาพลางกล่าวว่า “แต่ต่อให้เจ้าเป็นจัวหรูซุ่ย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะข้าฆ่า”
จัวหรูซู่ยกล่าวว่า “เมื่อก่อนนี้โลกบำเพ็ญพรตต่างพากันบอกว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าลั่วไหวหนาน เช่นนั้นฝีมือของเจ้าก็น่าจะพอๆ กับข้า ถ้าจะฆ่าเจ้า ข้าเพียงคนเดียวมันก็ค่อนข้างลำบ บากไปจริงๆ”
ในเมื่อพูดแบบนี้ เช่นนั้นเขาก็ย่อมไม่มีทางมาคนเดียว
ซูจึเย่มองไปทางด้านนอกโรงน้ำชา ก่อนจะมองเห็นเจ้าล่าเยวี่ยที่สวมหมวกลี่เม่า แล้วก็ยังมีกระบี่มิคำนึงที่ส่องแสงสีแดงเหมือนโลหิต
โลกบำเพ็ญพรตต่างรู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยคือศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยาง เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด สภาวะแข็งแกร่ง แต่ซูจึเย่ก็ยังคิดไม่ถึงว่านางจะบรรลุขั้นแหวกทะเลระดับสูง แล้ว
สภาวะของจัวหรูซุ่ยเองก็อยู่ในระดับเดียวกับนาง
ศิษย์รุ่นเยาว์ของชิงซานช่างแข็งแกร่งจริงๆ
ซูจึเย่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ จึงกล่าวว่า “นี่มันไม่ยุติธรรม”
เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ของวิถีมาร พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรอยู่เหนือลั่วไหวหนาน ต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ยจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ ไม่มีทางหวาดกลัว แต่ถ้าสู้กันสองต่อหนึ่ง เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “อะไรนะ?”
ซูจึเย่ถอดหน้ากากออกพลางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอายาเม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปาก
ยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วจนน่าประหลาด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงในพริบตา เมื่อผสมเข้ากับสีเขียวก็กลายเป็นสีม่วง สายตาดูเคลิบเคลิ้ม แต่พลังกลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่จัวหรูซุ่ยกลับรู้ว่าสิ่งนี้คือพิษตานที่เล่าลือกัน จึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “กินแบบนี้เจ้าจะตายได้นะ”
ซูจึเย่กล่าวว่า “แต่อย่างน้อยวันนี้พวกเจ้าก็ตายก่อน”
จัวหรูซุ่ยรู้สึกประหลาดใจ คิดในใจว่าหากกินยาแล้วมีประโยชน์ ยังจะมีใครมียาเยอะกว่ายอดเขาซื่อเยวี่ยอีก? อาศัยเพียงพิษตานก็คิดจะฆ่าพวกข้าอย่างนั้นหรือ?
ซูจึเย่หยิบเอาขวดสีน้ำตายอีกใบหนึ่งออกมา ขวดใบนี้ไม่รู้ว่าทำขึ้นมาจากอะไร คล้ายหยก แต่ก็คล้ายกระเบื้อง
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงไม่รู้ว่านี่คืออะไร จัวหรูซุ่ยกลับกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ขวดรกร้างอยู่ในมือเจ้าจริงๆ ด้วย”
ซูจึเย่ยกขวดรกร้างขึ้นมา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นี่ไม่สำคัญ”
ภายในโรงชาพลันมีเสียงหวีดดังขึ้นมา นั่นคือเสียงน้ำที่อยู่ในกาน้ำกำลังเดือด
ชายชราผู้หนึ่งถือกาน้ำเดินเข้ามา เบ้าตาหลุบลึก แผ่กระจายกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งฉุนจมูก
ชายชราต้มน้ำอยู่ในโรงชาแห่งนี้มาเป็นเวลานานหลายปี ในตอนที่ทุกคนต่างออกไปจากโรงชา เขาก็ยังอยู่ที่นี่
เขาคือผู้อาวุโสหวาอินแห่งสำนักเสวียนอิน เมื่อหลายปีก่อนถูกซูชีเกอขับออกมาจากช่องแคบสุริยัน หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชื่อแซ่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองอี้โจวมาโดยตลอด จนกระทั่งช่วงน นี้ถึงได้ถูกซูชีเกอเชิญออกมา
คนผู้นี้พลังมารกล้าแกร่ง น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับยอดฝีมือขั้นแหวกทะเลของสำนักชิงซาน ต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ยร่วมมือกันก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หวาอินถือกาน้ำชา มองดูเจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ยด้วยใบหน้าเฉยชา คล้ายมองดูคนตายสองคน
ทันใดนั้นเอง
เสียงฉึบเบาๆ ดังขึ้น
ในร่างกายของหวาอินมีคนผู้หนึ่งพุ่งออกมา
นี่คือภาพลวงตา ความจริงแล้วคนผู้นั้นพุ่งผ่านออกมาจากด้านหลังหวาอิน เพียงแต่ความเร็วของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก
กาน้ำร้อนตกลงบนพื้น ส่งเสียงเคร้งดังชัดเจน
หวาอินเองก็ล้มลงบนพื้น โลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจาย ร่างกายขาดออกเป็นสองส่วน
ไม่ว่าจะเป็นกงล้อมาร หรือว่าทะเลปราณ หรือว่าเลือดเนื้อเส้นปราณก็ล้วนแต่ขาดออกเป็นสองส่วน
คนผู้นั้นยืนลงบนพื้น โลหิตสดๆ หยดลงมาอย่างเงียบๆ ไม่มีการแข็งตัวแม้แต่น้อย คล้ายกับหยดน้ำที่ไหลลงมาจากบนใบบัว เพียงพริบตาก็สะอาดหมดจด เสื้อผ้าขาวดั่งหิมะ
ซูจึเย่จ้องมองใบหน้าคนผู้นั้น ก่อนกล่าวถามว่า “จิ๋งจิ่ว?”