มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 3 บอกว่าไม่ยอมรับ ยังมีใครไม่ยอมรับ
เสียงฮือฮาดังขึ้นมา
กั้วหนานซานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักชิงซาน จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้าย ทั้งคู่เป็นศิษย์สองคนที่หลิ่วฉือชื่นชมมากที่สุด
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเพียงลูกศิษย์รุ่นที่สาม แต่กลับไม่ใช่ศิษย์รุ่นที่สามธรรมดาๆ หากแต่มีสถานะพิเศษอย่างมากในชิงซาน
เวลานี้ศิษย์คนแรกและศิษย์คนสุดท้ายต่างก้าวออกมาคัดค้านไป๋หรูจิ้งพร้อมกัน…ก็เหมือนอย่างที่จิ๋งจิ่วได้ว่ามา ไป๋หรูจิ้งท่านมีสิทธิ์เป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวงจริงๆ อย่างนั้นหรือ ?
ไป๋หรูจิ้งรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ร่างกายแข็งทื่อไปเล็กน้อย สายตากวาดมองดูผู้อาวุโสและลูกศิษย์ที่เหลือคนอื่นของยอดเขาเทียนกวง
เขามีสถานะในยอดเขาเทียนกวงที่ค่อนข้างสูงส่ง แต่ในเวลานี้ลูกศิษย์เหล่านั้นกลับหลบสายตาของเขา ผู้อาวุโสบางคนถึงขนาดเผชิญหน้ากับสายตาโกรธเกรี้ยวของเขาตรงๆ!
ไป๋หรูจิ้งพลันรับรู้ได้ถึงวิกฤตที่ร้ายแรง เขามองไปทางกั้วหนานซานและจัวหรูซุ่ยพลางกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “อย่าลืมเสียล่ะ ข้าเป็นอาจารย์อาของพวกเจ้านะ!”
จากนั้นเขาพลันหันหน้ากลับมา จ้องมองจิ๋งจิ่วพลางตะคอกเสียงดังว่า “เจ้าคิดว่าใช้วิธีแบบนี้แล้วมันจะได้ผลหรือ! ข้าคือผู้อาวุโสที่มีความอาวุโสมากที่สุดบนยอดเขาเทียนกวง! บรรลุ ขั้นแหวกทะเลระดับสูง! ใครมีสิทธิ์ที่จะคัดค้านข้า!”
ถูกต้อง นี่คือปัญหา แต่ก็มิใช่ปัญหาเช่นกัน ดังนั้นจิ๋งจิ่วจึงไม่ได้สนใจเขา
มั่วฉือเดินออกมา บนใบหน้าที่น่าเกลียดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้าและความรู้สึกเสียใจ กล่าวว่า “อย่างนั้นข้าล่ะ?”
เสียงของไป๋หรูจิ้งแหบพร่าเล็กน้อย เขากล่าวว่า “เจ้าออกมาทำไม? จะทะเลาะกับข้าหรือ?”
มั่วฉือกล่าวว่า “หลายร้อยปีมานี้ ข้าไม่เคยทะเลาะอะไรกับท่าน แต่ครั้งนี้ไม่ทะเลาะไม่ได้ เพราะพวกเราเป็นคนของยอดเขาเทียนกวง ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเสียของท่านเจ้าสำนัก แล้วนี่ ท่านกำลังทำอะไร?”
จัวหรูซุ่ยที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ข้าก็หมายความเช่นนี้แหละ ตั้งแต่แรกท่านเอาแต่กระโดดโลดเต้นคัดค้านคำสั่งเสียของอาจารย์ ท่านมีสิทธิ์อะไรมาเป็นตัวแทนของยอดเขาเทียนกวง?”
ไป๋หรูจิ้งมิได้สนใจเขา หากแต่จ้องมองมั่วฉือพลางกัดฟันกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมนะว่าข้าเป็นศิษย์พี่!”
สีหน้าของมั่วฉือดูสับสน คล้ายมีคำพูดบางอย่างที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาหรือไม่
จิ๋งจิ่วมองหยวนฉีจิง
หยวนฉีจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปทางไป๋หรูจิ้งพลางกล่าวว่า “มั่วฉือเข้าสำนักมาเร็วกว่าเจ้าวันนึง”
สีหน้าของไป๋หรูจิ้งแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมา เขากล่าวว่า “ในรายชื่อน่าจะมีบันทึกเอาไว้ ข้าเข้าสำนักมาเร็วกว่า ไม่อย่างนั้นไปตรวจดูที่ยอดเขาซีไหลก็ได้”
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “นั่นเป็นเพราะเจ้าพูดกล่อมให้เขาเปลี่ยน ยังจะให้ข้าพูดต่อไปไหม?”
สีหน้าของไป๋หรูจิ้งขาวซีดยิ่งกว่าเดิม
ในเวลานี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องมีอะไรแอบซ่อนอยู่ย่างแน่นอน เพียงแต่รายละเอียดเป็นอย่างไรก็มิอาจรู้ได้
“เร็วหนึ่งวันช้าหนึ่งวันสำคัญมากนักหรือ? ทำไมต้องวุ่นวายกันขนาดนี้ด้วย”
จัวหรูซุ่ยหาวออกมา กล่าวด้วยสีหน้าเนือยๆ
คำพูดของเขาประโยคนี้กล่าวเสียดสีหยวนฉีจิง ไป๋หรูจิ้งและมั่วฉือ ไปจนถึงจิ๋งจิ่วที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา
“ต่อให้ท่านจะเข้าสำนักมาเร็วที่สุดแล้วยังไง? ข้าก็ไม่ยอมรับอยู่ดี”
เขามองไปทางไป๋หรูจิ้งพลางกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “อย่างนั้นพวกเราควรจะถามในยอดเขาเทียนกวงดูหน่อยไหมว่ามีใครบ้างที่สนับสนุนท่าน?”
จิ๋งจิ่วพบว่าตัวเองยิ่งรู้สึกชื่นชมเด็กคนนี้
ไป๋หรูจิ้งรู้ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สามารถคืบต่อไปข้างหน้าได้อีก สีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก เขากล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “ต่อให้เจ้ายุแยงได้สำเร็จ แต่เจ้าคิดหรือว่ายังจะมีใคร มาสนับสนุนเจ้า?”
ถูกต้อง ต่อให้ยอดเขาเทียนกวงสนับสนุนคำสั่งเสียของเจ้าสำนัก แต่ก็มีแค่เสียงเดียวเท่านั้น
ตอนนี้นอกจากยอดเขาเสินม่อแล้ว ยังจะมีใครสนับสนุนให้จิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักอีก?
ไป๋หรูจิ้งคิดเช่นนี้ นักพรตกว่างหยวน ฝูว่างและศิษย์ของสำนักชิงซานส่วนใหญ่ต่างก็คิดเช่นนี้
“ข้าสนับสนุน”
คนที่พูดคือหนานว่าง
สีหน้าของไป๋หรูจิ้งยิ่งดูแย่
หลายคนต่างตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ถ้าหากเจ้าเห็นด้วยกับคำสั่งเสียของเจ้าสำนัก แล้วทำไมถึงยังมาสนับสนุนคำขอให้แต่ละยอดเขาเลือกเจ้าสำนักของไป๋หรูจิ้งอีกล่ะ?
“ข้ารู้ว่าคำสั่งเสียนี่มันเหลวไหลเป็นอย่างมาก แต่นี่เป็นความต้องการสุดท้ายของเขา ข้าย่อมต้องสนับสนุน”
หนานว่างกล่าวด้วยสีหน้าไม่สนใจว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่านไม่คิดว่านี่มันน่าสนใจหรือ?”
……
……
เห็นๆ อยู่ว่าจะต้องแพ้อย่างแน่นอน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนทิศทางของยอดเขาเทียนกวงและการลงคะแนนที่ดูเหมือนไม่รับผิดชอบของหนานว่าง จู่ๆ สถานการณ์ก็เหมือนมีความหวังขึ้นมา
ยอดเขาเสินม่อย่อมต้องสนับสนุนจิ๋งจิ่ว อย่างนั้นตัวเขาในตอนนี้ก็มีการสนับสนุนจากสามยอดเขา ถ้าหากหยวนฉีจิงก็สนับสนุนเขาเช่นกันล่ะ?
สีหน้าของไป๋หรูจิ้งดูแย่อย่างมาก แต่อารมณ์ของเขากลับไม่ได้แย่อย่างถึงที่สุด สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนอันตราย แต่ความจริงแล้วกลับมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะอีกฝ่ายต้องได้รับก การสนับสนุนจากยอดเขาหกยอดเขาถึงจะสามารถเป็นเจ้าสำนักได้ ซึ่งยังขาดอยู่อีกหลายเสียง
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เฉิงโหยวเทียนพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าย่อมต้องสนับสนุนคำสั่งเสียของเจ้าสำนักอย่างแน่นอน
เพราะเรื่องของเหลยพั่วอวิ๋น หลายปีมานี้ยอดเขาปี้หูจึงทำตัวเงียบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอ่อนแอ
หลายคนมองว่าอย่างมากเขาก็ทิ้งสิทธิ์การลงคะแนน ใครจะไปคิดบ้างว่าเขาจะสนับสนุนจิ๋งจิ่ว?
ความจริงสิ่งที่หลายๆ คนคิดนั้นไม่ผิด เฉิงโหยวเทียนเตรียมจะทิ้งสิทธิ์ลงคะแนนไปจริงๆ แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้มองเห็นแมวขาวตัวหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ข้างกระโปรงของเจ้าล่าเยวี่ย.. …
ยิ่งไปกว่านั้นแมวขาวกำลังมองดูเขา สายตาดูเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก
เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วเขายังจะทำอย่างไรได้อีก?
การแสดงออกของเฉิงโหยวเทียนได้ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของไป๋หรูจิ้งและคนอื่นๆ ยิ่งดูแย่ โชคดีที่สถานการณ์ในตอนนี้ยังอยู่ในการควบคุม
พวกเขาต้องการอีกเพียงแค่เสียงเดียว จิ๋งจิ่วก็จะแพ้
เสียงเสียงนั้นอยู่ในมือของยอดเขาซีไหล
ผู้อาวุโสเฉิงที่เป็นตัวแทนของยอดเขาซีไหลคัดค้านเรื่องที่จิ๋งจิ่วจะเป็นเจ้าสำนักอย่างไม่ลังเล
ครั้งนี้จิ๋งจิ่วไม่ได้ถามเขาว่ามีสิทธิ์อะไรมาเป็นตัวแทนของยอดเขาซีไหลเหมือนอย่างไป๋หรูจิ้งเมื่อครู่นี้
สถานการณ์เป็นที่แน่นอนแล้ว
หยวนฉีจิงไม่จำเป็นต้องออกเสียงอีก ต่อให้เขาสนับสนุนจิ๋งจิ่วจริงๆ มันก็ไม่มีความหมาย เพราะว่าต่อให้รวมเจ้าล่าเยวี่ยเข้าไปด้วยก็ยังมีเสียงไม่พอ
“นอกเสียจากเจ้าจะสังหารคนที่ไม่ยอมรับเหมือนอย่างนักพรตไท่ผิงและนักพรตจิ่งหยางเมื่อในอดีต…”
ไป๋หรูจิ้งดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงกลับโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นวันนี้เจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะเป็นเจ้าสำนัก!”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่สนใจเขา
“อย่างนั้นหลังจากนี้ใครจะเป็นเจ้าสำนัก? หากเป็นแบบนี้ต่อไป ก็ไม่มีใครที่จะได้รับการสนับสนุนครบทั้งหกยอดเขา หรือว่าจะปล่อยให้ตำแหน่งเจ้าสำนักว่างเอาไว้แบบนี้?”
หนานว่างเองก็ไม่ได้สนใจไป๋หรูจิ้ง นางมองนักพรตกว่างหยวนพลางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่?”
กระทั่งหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงก็ยังทำอะไรศิษย์น้องหญิงคนนี้ไม่ได้ ต่อให้นักพรตกว่างหยวนจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่อาจทำอะไรได้เช่นกัน
เขาไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำกับนาง หากแต่กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าขอเสนอให้ศิษย์พี่หยวนเป็นเจ้าสำนัก”
หลายคนคิดว่านักพรตกว่างหยวนคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะมาเป็นเจ้าสำนัก แต่เขากลับเสนอหยวนฉีจิง นี่ทำให้หลายๆ คนค่อนข้างแปลกใจ แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว นี่กลับเป็นวิ ธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ก็เหมือนอย่างที่หนานว่างกล่าวมา ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายได้ฉีกหน้ากันแล้ว ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ยากที่จะได้รับเสียงสนับสนุนครบทั้งหกยอดเขา หรือก็คือยากที่จะเป็นที่ยอมรับของทุกคนได ด้
ชิงซานในเวลานี้มีเพียงหยวนฉีจิงที่เป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์เท่านั้นที่มีบารมีมากพอที่จะได้รับการยอมรับจากทุกคน
ต่อให้ก่อนหน้านี้หยวนฉีจิงจะไม่อยากเป็นเจ้าสำนักด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เขาอาจจะได้แต่ต้องยอมรับตำแหน่งเจ้าสำนักนี้เพื่อที่จะไม่ทำให้ชิงซานเกิ ดความวุ่นวายภายในสำนัก
ผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ และเหล่าลูกศิษย์ต่างก็คิดว่านี่น่าจะเป็นบทสรุปสุดท้ายในวันนี้
ใครกล้าไม่ยอมรับ?
เมี้ยว~
บนยอดเขาเทียนกวงพลันมีเสียงแมวร้องดังขึ้นมา
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไป ก่อนจะมองเห็นแมวขาวตัวหนึ่งมุดออกมาจากข้างกระโปรงของเจ้าล่าเยวี่ย
นักพรตกว่างหยวนและฝูว่างสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หนานว่างลืมตาโต ค่อนข้างตกใจ ไป๋หรูจิ้งเองก็มีสีหน้าระแวดระวัง ตึงเครียดคล้ายมีศัตรูที่น่ากลัวกำลังบุกเข้ามา
ศิษย์ชิงซานเหล่านั้นรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าทำไมถึงมีแมวมาอยู่ที่นี่ได้?
ทันใดนั้นเอง พวกเขามองเห็นสีหน้าของเหล่าอาจารย์ จึงอดรู้สึกตกใจขึ้นมาไม่ได้ ในใจคิดแค่แมวตัวหนึ่ง มีอะไรน่ากลัว?
อาต้าสะบัดร่างกาย ขนยาวสีขาวกระจายตัวออก ดูคล้ายดอกหญ้าดอกหนึ่ง
แต่ถ้าหากมองดูขนแมวเหล่านั้นอย่างละเอียด ก็จะพบว่ามันเป็นกระจุกๆ ดูคล้ายกระบี่อย่างไรอย่างนั้น
ศิษย์ชิงซานธรรมดาไม่ได้มีสายตาที่ดีขนาดนั้น แต่พวกเขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงจนยากจะจินตนาการได้สายหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาบนยอดเขาเทียนกวง
เสียงอึกจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา ลูกศิษย์ที่สภาวะอ่อนด้อยจำนวนมากแข้งขาอ่อนล้มนั่งลงไปกับพื้น กระทั่งลูกศิษย์อย่างจัวหรูซุ่ยก็ยังต้องปล่อยเจตน์กระบี่ออกมา ถึงจะสามารถต้านท ทานแรงกดดันนี้เอาไว้ได้
เหล่าศิษย์สำนักชิงซานรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าแรงกดดันระดับนี้ เกรงว่าคงจะอยู่ในระดับทะลวงสวรรค์แล้ว แมวขาวตัวนี้…คือตัวอะไรกันแน่?
แต่ในเวลานี้ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่าเสียงร้องเมี้ยวของแมวขาวเมื่อครู่นี้มันหมายความว่าอย่างไร
ข้าไม่ยอมรับ
……
……
นักพรตกว่างหยวนกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ท่านไป๋กุ่ย ยกเลิกอิทธิฤทธิ์ก่อนเถอะ”
อาต้ามองดูเขา แรงกดดันบนยอดเขาสายนั้นพลันสลายหายไป
เมื่อได้ยินคำว่าท่านไป๋กุ่ย มีหรือที่เหล่าศิษย์ชิงซานจะไม่รู้ว่ามันเป็นใคร อารมณ์ตกตะลึงและตื่นเต้นผสมปนเป ทุกคนต่างรู้ว่าในผู้พิทักษ์ของชิงซานมีท่านไป๋กุ่ยอยู่ตัวหนึ่ง ลี้ลับที่สุด น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เห็นตัวจริงของมัน ติดไม่ถึงว่าวันนี้มันจะปรากฏตัวออกมา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นแค่…เอ่อ…เป็นแค่แมวตัวหนึ่ง?
กู้ชิงมองไป๋หรูจิ้งพลางกล่าวว่า “ในกฎของสำนักเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าในตอนที่ยอดเขาต่างๆ เลือกเจ้าสำนัก ยังจะต้องถามความเห็นของท่านผู้พิทักษ์ทั้งสี่ด้วย”
อาต้าเดินไปทางกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังป้ายหินป้ายนั้น ขนขาวที่พองตัวออกค่อยๆ เรียบลง
มันเดินไปถึงหน้าเก้าอี้ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนตักของจิ๋งจิ่ว
มันค่อยๆ หันหน้ากลับมา มองดูทุกคนที่อยู่บนยอดเขา
สายตามันเฉยชา แต่ดูไม่ธรรมดา เหลือบมองดูใต้หล้า
บนข้างหนึ่งวางลงบนหัวของมัน จากนั้นลูบไปด้านหลัง มั่นคงและอ่อนโยน
จิ๋งจิ่วกล่าวชม “ดีมาก”
……
……
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังกระท่อมหลังเล็กหลังนั้น
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้
แมวขาวตัวนั้นนอนอยู่บนตักของเขา ส่งเสียงกรนเบาๆ
เหมือนมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงมาในใจของทุกคน
ภาพนี้สร้างความตกตะลึงให้หลายๆ คน รวมไปถึงไป๋หรูจิ้ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถึงจะได้สติขึ้นมา จากนั้นคิดถึงคำพูดประโยคนั้นของกู้ชิง ภายในปากมีความรู้สึกขมเล็กน้อย
ในกฎของสำนักชิงซานเขียนเอาไว้เช่นนั้นจริงๆ ด้วย หากอยากจะเลือกเจ้าสำนักชิงซาน ผู้พิทักษ์ชิงซานต่างก็มีเสียงของตัวเองเหมือนอย่างเจ้าแห่งยอดเขาต่างๆ
เหล่าผู้พิทักษ์ที่ท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร? ผู้พิทักษ์อีกสองตัวไม่รู้คิดอย่างไร แต่ท่าทีของไป๋กุ่ยนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก
กระโดดขึ้นไปบนตักแล้ว ถูกลูบจนหรี่ตาแล้ว ส่งเสียงกรนออกมาแล้ว!
แมวยังจะแสดงท่าทีของตัวเองออกมาได้อย่างไรอีก?
นักพรตกว่างหยวน ฝูว่างและหนานว่างพอจะรู้ถึงสถานการณ์ของไป๋กุ่ยในช่วงนี้ แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่ามันจะยืนอยู่ข้างยอดเขาเสินม่อ
ท่าทีของอาต้าในเวลานี้มิใช่การร้องขอจากจิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นความคิดของมันเอง
มันย่อมต้องไม่อยากให้หยวนฉีจิงเป็นเจ้าสำนัก ไม่อย่างนั้นต่อไปจะไปเจอหน้าเจ้าหมาตัวนั้นอย่างไร?
เรื่องที่หมายืมบารมีคนนั้น มันรู้ดียิ่งกว่าใคร ในอดีตนักพรตไท่ผิงพาหมาตัวนั้นเข้าไปในยอดเขาซ่อนเร้น ทำให้มันต้องลำบากเท่าไร?
แม้นในเวลาปกติอาจจะเห็นว่ามันเป็นแค่แมวขี้เกียจที่ไม่มีประโยชน์อะไร เอาแต่นอนอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาว ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก แต่อันที่จริงมันคือผู้พิทักษ์ชิงซาน ในตอนที่เ เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตัวเอง มันไม่มีทางเลอะเลือนอย่างแน่นอน
สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็เหมือนอย่างทางขึ้นเขาของยอดเขาเหลี่ยงว่าง วกไปวนมาจนสุดทางก็ต้องวกกลับ
ยอดเขาทั้งแปดรวมกับผู้พิทักษ์ทั้งสามที่ยังอยู่ที่ชิงซาน รวมเป็นสิบเอ็ดเสียง หากอยากจะกลายเป็นเจ้าสำนัก ก็ต้องได้เสียงอย่างน้อยแปดเสียง
หากจิ๋งจิ่วสามารถได้เสียงที่เหลือทั้งหมด หรือก็คือรับการสนับสนุนจากหยวนฉีจิง ซือโก่วและหยวนกุย เขาก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักโดยชอบธรรม
“เจ้าสนับสนุนหรือเปล่า?”
หยวนฉีจิงมองดูหยวนกุยที่อยู่ใต้แผ่นหินพลางกล่าว
ศิษย์ชิงซานที่ไม่เคยมายอดเขาเทียนกวงเหล่านั้นพากันตกใจอีกครั้ง
เรื่องราวที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงในวันนี้มีมากมายเหลือเกิน
ในเวลานี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าเสียงไอหยาที่ดังออกมาจากป้ายหินในตอนที่จิ๋งจิ่วนั่งลงไปบนเก้าอี้นั้นไม่ใช่ความรู้สึกคิดไปเองก็เกิดขึ้นมาจากการที่พวกเขารู้สึกตกตะลึงมากเกินไป
เต่าหินตัวนี้มีชีวิตจริงๆ!
หรือว่ามันก็คือท่านผู้พิทักษ์ในตำนานผู้นั้น?
หยวนกุยไม่ได้ลืมตา
ในเวลานี้ท้องฟ้ายามเย็นได้หายไปแล้ว แสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นมาในท้องฟ้ายามค่ำคืน ยอดเขายังคงสว่างไสว เพียงแต่ยิ่งดูเงียบสงัด
ทุกคนมองไปยังเต่าหินตัวนั้น รอมันตัดสินใจ
จิ๋งจิ่วรู้ว่าหากต้องรอต่อไป ด้วยนิสัยอืดอาดยืดยาดของหยวนกุย เกรงว่าคงต้องรออีกหลายปี จึงส่งเสียงอืมออกมาครั้งหนึ่งอย่างหงุดหงิด
อืมครั้งที่สอง
หยวนกุยลืมตา ยื่นศีรษะออกมาฉีกแสงดาวไปเสี้ยวหนึ่งก่อนจะกลืนลงไป จากนั้นส่งเสียงอืมอย่างน้อยใจออกมาเบาๆ
เสียงแผ่วเบา