มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 4 เด็กหนุ่มชุดขาวยังเหมือนเดิม เพียงแต่เก้าอี้เปลี่ยนไป (1)
จิ๋งจิ่วมองหยวนฉีจิง ความหมายคือบอกให้เร็วๆ หน่อย
หยวนฉีจิงถอนใจ กล่าวว่า “ก็เอาตามนี้แล้วกัน”
เหล่าศิษย์ชิงซานพากันงุนงง ในใจครุ่นคิดว่าอะไรคือเอาตามนี้แล้วกัน? ก่อนทุกอย่างจะจบลง หรือไม่ควรจะประกาศผลเสียหน่อย?
ต่อให้ท่านหยวนกุยจะสนับสนุนอาจารย์อาเล็ก แต่มันก็ยังเหลือท่านกับท่านเย่เซี่ยวไม่ใช่หรือ?
ในเวลานี้หยวนฉีจิงเดินไปตรงหน้ากระท่อมหลังเล็ก ทำการคารวะจิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
“หยวนฉีจิงแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ คารวะท่านเจ้าสำนัก”
นี่คือท่าทีของเขา
ส่วนท่าทีของซือโก่วย่อมไม่จำเป็นต้องไปถามแล้ว
ถึงแม้การทำแบบนั้นมันจะช่วยถ่วงเวลาไปได้บ้าง แต่ไยต้องทำเช่นนั้นล่ะ….
คนที่มีผู้พิทักษ์ชิงซานสองท่านกับท่านกฎแห่งกระบี่ให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนแต่มีคุณสมบัติที่ัจะนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนัก
นักพรตกว่างหยวนคิดเช่นนี้ ก่อนจะเดินมายังหน้ากระท่อมพลางมองดูจิ๋งจิ่วด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นทำการคารวะเขาอย่างจริงจัง “ลู่กว่างหยวนแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย คารวะท่านเจ้าสำนัก”
……
……
“เฉิงโหยวเทียนแห่งยอดเขาปี้หู คารวะท่านเจ้าสำนัก”
“ฝูว่างแห่งยอดเขาอวิ๋นสิง คารวะท่านเจ้าสำนัก”
เจ้าแห่งยอดเขาทยอยมายังหน้ากระท่อมแล้วทำการคารวะจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ในเก้าอี้ มือลูบแมวพลางพยักหน้า
เจ้าล่าเยวี่ยยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับ
หนานว่างเองก็ไม่ได้ขยับ
……
……
จากนั้นก็เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ
“เฉิงปี้เจินแห่งยอดเขาซีไหล คารวะท่านเจ้าสำนัก”
“ฉือเยี่ยนแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ คารวะท่านเจ้าสำนัก”
“เหมยหลี่แห่งยอดเขาชิงหรง คารวะท่านเจ้าสำนัก”
……
……
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
ศิษย์ชิงซานจำนวนหลายร้อยคนกราบคารวะไปทางกระท่อมเล็กหลังนั้น
กระบี่บินนับหลายร้อยเล่มที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนเบี่ยงปลายกระบี่ลงเล็กน้อย คล้ายกำลังทำการคารวะ
เจตน์กระบี่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
หมู่เมฆที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนสลายตัวไปจนหมด แสงดาวยิ่งเจิดจ้า
บนยอดเขาเทียนกวงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่น่าเคารพยำเกรง
ยอดเขากระบี่ที่อยู่ห่างออกไปเกิดการตอบสนอง เสียงหวึ่งทุ้มต่ำจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา อย่างน้อยก็มีกระบี่บินหลายพันเล่มบินขึ้นมาบนท้องฟ้า หันหน้ามาทางยอดเขาเทียนกวงเพื่อทำการแสดงความยินดี
ภายใต้แสงดาวที่ส่องสว่าง กระบี่บินที่บ้างเข้มบ้างอ่อนเหล่านั้นส่องแสงสีเงินหรือไม่ก็สีดำ อาจจะไม่ถึงกับงดงาม แต่มันกลับมีความน่าประหวั่นพรั่นพรึงบางอย่าง
เมื่อเห็นภาพนี้ ศิษย์ขิงซานทั้งหมดต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
นี่คือหมื่นกระบี่เข้าเฝ้าที่เล่าลือกันอย่างนั้นหรือ?
สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ หรือจิ๋งจิ่วจะเป็นคนที่เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าสำนักชิงซาน? กระทั่งคนที่ไม่อยากยอมรับจิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักมากที่สุดเหล่านั้นก็ยังอดเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาไม่ได้หลังจากที่ได้เห็นภาพนี้ ความสงสัยและความไม่พอใจภายในใจค่อยๆ ลดน้อยลงโดยไม่รู้ตัว
แต่ในช่วงเวลาที่น่าเคารพยำเกรงเช่นนี้กลับมีเสียงที่ฟังดูไม่เข้ากันเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ข้าก็ยังคัดค้านเจ้าเป็นเจ้าสำนักอยู่ดี”
เจี่ยนหรูอวิ๋นจ้องมองจิ๋งจิ่ว ในส่วนลึกของดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง “นอกเสียจากเจ้าจะฆ่าข้า”
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจเขา
การเมินเฉยแบบนี้ยิ่งทำให้เจี่ยนหรูอวิ๋นรู้สึกโกรธแค้น เขาส่งเสียงตะโกนพร้อมกับเรียกกระบี่บินออกมา
สายตาของเจ้าล่าเยวี่ยเย็นยะเยือกเล็กน้อย กระบี่มิคำนึงพร้อมลงมือทุกเมื่อ
เจี่ยนหรูอวิ๋นไม่ได้คิดสังหารจิ๋งจิ่ว เพราะเขารู้ว่าตัวเองมิใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เขาคิดจะฆ่าตัวตาย เพื่อใช้เลือดของตัวเองมาชะล้างความอัปยศและความชั่วช้าที่เกิดขึ้นที่นี่
กระบี่บินเล่มนั้นเปล่งแสงสีรุ้งกระจ่างใส มุ่งตรงเข้าหาหว่างคิ้วของเขา!
เขาบรรลุขั้นคนเจรระดับต้นได้ตั้งนานแล้ว วิถีกระบี่ไม่ธรรมดา การฆ่าตัวตายในระยะใกล้ๆ เท่านี้ ยากจะมีใครหยุดเขาได้
จิ๋งจิ่วยังคงไม่เหลือบมองดูเขา
เสียงหวึ่งเบาๆ ดังขึ้น
ลำแสงกระบี่หยุดค้างกลางอากาศ จากนั้นร่วงตกลงไปบนพื้น มีเศษน้ำแข็งเกาะอยู่บางๆ
“ทำไมพวกท่านไม่ให้ข้าตาย!”
เจี่ยนหรูอวิ๋นมองดูหยวนฉีจิง พลางส่งเสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวและสิ้นหวังว่า “จะให้ข้ามองดูเจ้าสารเลวนี้เป็นเจ้าสำนักชิงซาน สู้ให้ข้าตายไปเสียดีกว่า!”
“เจ้าจะตายหรือไม่ข้าไม่สนใจ”
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้าเป็นศิษย์รุ่นหลัง ยุแยงให้แต่ละยอดเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของเจ้าสำนัก ต้องเข้าไปรับโทษในคุกกระบี่ ถ้าอยากจะตาย เอาไว้ออกมาแล้วค่อยว่ากัน”
ครั้งนี้เจี่ยนหรูอวิ๋นสิ้นหวังแล้วจริงๆ
ศิษย์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบของยอดเขาซั่งเต๋อเดินเข้ามาพาตัวเขาออกไปจากยอดเขาเทียนกวง
หยวนฉีจิงมองจิ๋งจิ่ว
ความหมายคือรอให้เขาพูด
ในเมื่อเป็นเจ้าสำนักแล้วก็ต้องพูดอะไรหน่อย
อย่างน้อยก็ต้องหันกลับไปมองดูอดีตเล็กน้อย ทอดตามองดูอนาคตเสียหน่อย
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ทุกอย่างทำเหมือนเดิม”
เหล่าศิษย์ชิงซานตั้งใจฟัง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เท่านี้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ศิษย์ชิงซานพากันสบตากัน ต่างคนต่างสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า
เสร็จแล้วหรือ?
ที่จิ๋งจิ่วพูดเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจจริงๆ
เขาไม่เคยเป็นเจ้าสำนัก
หลิ่วฉือทำหน้าที่เจ้าสำนักได้ดีมาก
อย่างนั้นก็ทำตามที่ผ่านมา
จะได้ไม่วุ่นวาย
ยิ่งไปกว่านั้นผู้บำเพ็ญพรตก็ควรจะบำเพ็ญพรต วันนี้เสียเวลาไปวันหนึ่งแล้ว ยังจะยืนอยู่ที่นี่ทำอะไร รีบๆ แยกย้ายไป
หยวนฉีจิงรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้ จึงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เรื่องรายละเอียดเอาไว้ค่อยว่ากัน แยกย้ายได้”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เหยียบกระบี่ทะยานขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าไปยังยอดเขาซั่งเต๋อ
ศิษย์ยอดเขาซั่งเต๋อรีบทำการคารวะจิ๋งจิ่ว จากนั้นถอยออกไป
ยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือก็เข้ามาทำการคารวะ จากนั้นขี่กระบี่แยกย้ายไป
เพียงแต่กระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้าเหล่านั้นค่อนข้างช้า หลายคนอดเหลียวหน้ากลับไปมองดูยอดเขาเทียนกวงไม่ได้
แสงดาวส่องสว่างกระท่อมเล็ก
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือลูบแมวขาวตัวนั้น
ชุดสีขาวและท่าทางที่สุขุมเยือกเย็นทำให้ภาพนี้ยิ่งมีความหมายลึกซึ้งขึ้น มันจะต้องอยู่ในความทรงจำของทุกคนไปอีกนานอย่างแน่นอน
ศิษย์น้องอวี้ซานเองก็ออกมาพร้อมกับเหล่าศิษย์พี่ของยอดเขาซั่งเต๋อ นางคิดถึงภาพที่จิ๋งจิ่วเดินขึ้นไปยังกระท่อมหลังเล็กหลังนั้น ชุดขาวพลิ้วไหว นั่งลงไปบนเก้าอี้ก่อนหน้านี้ สองมือกุมกันอยู่ด้านหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยแสงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน
ในอดีตตอนที่อยู่หอสี่เจี้ยน พวกเขาเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ภายหลังนางเรียกจิ๋งจิ่วว่าศิษย์พี่ จากนั้นเรียกอาจารย์อา ตอนนี้กลับต้องเรียกว่าเจ้าสำนัก?
บนกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ศิษย์ยอดเขาซั่งเต๋อแซ่หลี่ว์ผู้หนึ่งก็เกิดความรู้สึกทอดถอนใจคล้ายๆ กัน
เมื่อสามสิบปีก่อน เขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น ก่อนจะได้พบกับเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดผู้นั้น แล้วก็ได้พบเด็กหนุ่มชุดขาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ผู้นั้น
คืนนี้ชุดขาวของเด็กหนุ่มผู้นั้นคล้ายดูเหมือนเดิม เพียงแต่เก้าอี้ได้เปลี่ยนไป
……
……
กระบี่บินหลายร้อยเล่มกำลังบินออกไปจากยอดเขาเทียนกวง มุ่งหน้าไปยังที่ต่างๆ เพียงแต่ความเร็วกลับค่อนข้างเชื่องช้า เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนว่าไม่อยากจากไป ลำแสงกระบี่เหล่านั้นคล้ายหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ผสมปนเปเข้ากับแสงดาวที่กระจัดกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า ดูคล้ายทะเลดาวที่ร่วงตกลงมายังโลกมนุษย์
บนยอดเขาเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด คนของยอดเขาเสินม่อยังไม่ออกไป ผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของยอดเขาเทียนกวงก็ยังไม่ออกไป
จิ๋งจิ่วรับตำแหน่งเจ้าสำนักชิงซาน เขาก็ย่อมต้องกลายเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเทียนกวงด้วย แล้วก็ย่อมต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยอดเขาเทียนกวง
กั้วหนานซานเดินเข้ามายังหน้ากระท่อม จากนั้นเริ่มรายงานเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากเรื่องราวบนยอดเขาเทียนกวงแล้ว เขายังดูแลลูกศิษย์บนยอดเขาเหลี่ยงว่างด้วย ดูเหมือนจะต้องพูดเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นเหล่าศิษย์น้องและเหล่าลูกศิษย์ที่ดูใจเย็นลงเหล่านั้นและได้ยินเสียงของกั้วหนานซาน อารมณ์ของไป๋หรูจิ้งก็ยิ่งแย่ลง
ก่อนหน้านี้เขาสามารถคัดค้านจิ๋งจิ่วไม่ให้เป็นเจ้าสำนักได้ นั่นเป็นเพราะว่าจิ๋งจิ่วยังไม่เป็นเจ้าสำนัก
ตอนนี้จิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักเป็นที่แน่นอนแล้ว เขาย่อมไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ในเวลานี้เขาไม่กล้าทำอะไร เพราะนั่นจะเป็นการทรยศ หากเขาชนะ เขาก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักได้ แต่ถ้าหากแพ้ เขาก็จะกลายเป็นศิษย์ทรยศของสำนัก ต้องถูกจับไปขังไว้ในคุกกระบี่ไม่ได้ออกมาอีกตลอดชีวิต เหมือนอย่างอาจารย์อาไท่หลูที่กระทั่งจะไปรอความตายอยู่ที่ยอดเขาซ่อนเร้นก็ยังมิอาจทำได้
…………………………………………………………………