มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 5 เด็กหนุ่มชุดขาวยังเหมือนเดิม เพียงแต่เก้าอี้เปลี่ยนไป (2)
ความทะเยอทะยานอย่างมากที่สุดของไป๋หรูจิ้งก็แค่อำนาจบนยอดเขาเทียนกวง ไหนเลยจะกล้าโลภมากไปถึงตำแหน่งเจ้าสำนัก
แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยตนเองก็ไม่ควรจะต้องมาทนถูกดูหมิ่นอยู่ตรงนี้
“ท่านเจ้าสำนักยังมีอะไรจะสั่งการหรือไม่?”
เขาชิงก้าวออกมาโดยไม่รอให้กั้วหนานซานพูดอะไรออกมา ก่อนกล่าวกลับจิ๋งจิ่วว่า “หากไม่มีอะไรแล้วล่ะก็ ข้าขอตัวก่อน”
ในตอนที่กล่าวประโยคนี้ สีหน้าของเขาไม่ถึงกับดูเคารพ แต่ก็ไม่ได้จงใจทำเป็นผ่อนคลาย หากแต่ดูค่อนข้างสงบเยือกเย็น
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในตอนที่ทุกคนที่อยู่บนยอดเขาได้ยินคำว่าท่านเจ้าสำนัก พวกเขากลับรู้สึกว่าในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดสีและเย้ยหยัน
จิ๋งจิ่วไม่โกรธ
คนที่ในใจมีผีถึงจะมองคนอื่นเหมือนผี
คนที่รู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับตำแหน่งเจ้าสำนักต่างหากถึงจะรู้สึกว่าตนเองถูกเย้ยหยัน
ไป๋หรูจิ้งเห็นเขาไม่มีการตอบโต้ จึงงุนงงเล็กน้อย จากนั้นทำการคารวะแล้วหมุนตัวเดินลงไปจากยอดเขา
ถึงแม้มารยาทที่เขาแสดงออกมาต่อจิ๋งจิ่วจะไม่ขาดตกบกพร่อง แต่การเคลื่อนไหวกลับเร็วไปหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้กั้วหนานซานยังกล่าวรายงานอยู่ แต่เขากลับเดินออกไปเช่นนี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
กู้ชิงและหยวนฉวี่มองดูแผ่นหลังของอาจารย์ลุงผู้นี้ รู้สึกโมโหเล็กน้อย
ไป๋หรูจิ้งเดินมาถึงตรงหน้าผา เตรียมจะขี่กระบี่ลงไปจากยอดเขา ความรู้สึกกลัดกลุ้มภายในใจไม่สามารถสลายให้หายไปได้ สุดท้ายทนไม่ไหวจึงส่งเสียงหึออกมา
บนยอดเขาเงียบสงัด ทุกคนต่างได้ยินเสียงหึนี้
จากนั้นทุกคนก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่ง
“อืม?”
……
……
นักพรตหลิ่วฉือไม่ค่อยชอบพูดอะไรยืดยาว ทุกครั้งในตอนที่ลูกศิษย์กล่าวรายงาน เขามักจะใช้เพียงคำว่าอืมตอบกลับไป
ลูกศิษย์เหมือนอย่างจัวหรูซุ่ยก็รับเอานิสัยของอาจารย์มาด้วยเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่ผู้อาวุโสและลูกศิษย์ถนัดที่สุดก็คือฟังเสียงอืมแล้วตีความ
พวกเขาฟังออกถึงความรู้สึกไม่พอใจและความรู้สึกตำหนิที่แฝงอยู่ในเสียงอืมเบาๆ ที่ฟังดูคล้ายแสดงความสงสัยนี้ได้อย่างง่ายดาย
ยอดเขาเทียนกวงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดวังเวง แสงดาวที่ส่องสว่างลงมาจากบนท้องฟ้ายามค่ำคืนดูเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิม
ไป๋หรูจิ้งหยุดฝีเท้า นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะหมุนตัวกลับมาถามว่า “เจ้าสำนักยังมีอะไรจะสั่งการ?”
จิ๋วจิ่วก้มศีรษะพลางลูบแมว กล่าวถามว่า “เจ้าหึอะไร?”
ไป๋หรูจิ้งจ้องมองดวงตาของเขา พูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า “ชิงซานหลังจากนี้ กระทั่งหึก็ยังทำไม่ได้หรือ?”
อาต้าฟุบหมอบอยู่บนตักของจิ๋วจิ๋ว มองดูความโกรธเกรี้ยวที่แสดงออกมาบนใบหน้าของคนผู้นี้ ก่อนจะคิดออกมาอย่างดูถูกว่า นอกจากหยวนฉีจิงแล้วยังจะมีใครกล้าหึไปหึมาใส่เขา?
กู้ชิงก้าวออกไปข้างหน้า มองดูไป๋หรูจิ้งพลางกล่าวถามว่า “เรื่องที่อาจารย์เป็นเจ้าสำนัก อาจารย์ลุงยังมีอะไรไม่พอใจหรือเปล่าขอรับ?”
เมื่อถูกศิษย์รุ่นหลังมาถามเช่นนี้ ไป๋หรูจิ้งรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างมากแล้วจริงๆ เขาไม่อาจทนต่อไปได้ จึงกล่าวเสียงดุร้ายเล็กน้อยว่า “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าสำนักจะลงโทษข้าเพียงเพราะเสียงหึเพียงเสียงเดียวจริงๆ อย่างนั้นหรือ? วันนี้เจ้าสำนักพึ่งจะรับตำแหน่ง ช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ มือของจิ๋งจิ่วก็กำแน่นขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรือว่าเพราะเหตุผลอื่น
แต่ปัญหาก็คือ…มือของเขากำลังลูบแมวอยู่
อาต้ารู้สึกได้ถึงแผ่นหลังที่ตึงแน่นขึ้นมา จึงส่งเสียงคำรามออกมาทันที
กระแสจิตอันรุนแรงสายนั้นได้ปรากฏขึ้นมาบนยอดเขาอีกครั้งหนึ่ง ลมกระโชกรุนแรง
ไป๋หรูจิ้งรับรู้ได้ถึงอันตรายที่ร้ายแรง จึงเรียกกระบี่บินออกมากันอยู่ด้านหน้าตนเองในทันที
เวลานี้เอง เสียงของกู้ชิงได้ดังขึ้นมาทันที
“บังอาจ! กล้าชักกระบี่ออกมาต่อหน้าเจ้าสำนักอย่างนั้นหรือ! นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่!”
……
……
บนยอดเขาเงียบสงัดไร้ซึ่งซุ่มเสียงอีกครั้ง
หลังจากอาต้าคำรามเสร็จ มันก็เหลือบมองดูจิ๋วจิ่วอย่างขุ่นเคือง จากนั้นไม่ได้ทำอะไรอีก
ทุกคนต่างมองเห็นกระบี่ที่ปรากฏขึ้นมาในท้องฟ้ายามค่ำคืนเล่มนั้น
สีหน้าของไป๋หรูจิ้งดูแย่เป็นอย่างมาก ในใจไม่รู้ว่าสบถด่าคำหยาบออกมามากน้อยเท่าไหร่
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกับดักที่อีกฝ่ายวางเอาไว้เพื่อล่อให้ตนเองลงมือ
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้สึกอันตรายแบบนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องทำเหมือนอย่างเขา
โกรธแค้นส่วนโกรธแค้น เขารู้ว่าตัวเองต้องรีบเก็บกระบี่กลับมาทันที ไม่อย่างนั้นจะถูกกู้ชิงสาดโคลนใส่จริงๆ ได้
เขาขยับความคิดเล็กน้อย กระบี่บินแหวกอากาศวกกลับ….แต่มันกลับไม่กลับมา!
เสียงกระแทกดังขึ้นชัดเจน
ภายในอากาศมีสะเก็ดไฟที่สว่างเจิดจ้าดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมา
กระบี่บินที่ดูอ้างว้างเยือกเย็นเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในอากาศ ขวางอยู่ด้านหน้ากระบี่ของเขา
ศิษย์ของชิงซานรู้จักกระบี่เล่มนี้
กระบี่คมจักรวาล!
ไป๋หรูจิ้งสีหน้าคร่ำเคร่ง มองดูจิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าคิดจะทำอะไร?
หรือเจ้าไม่ได้คิดแค่เพียงจะหยามข้า โยนความผิดมาให้ข้า หากแต่ยังคิดจะสู้กับข้าจริงๆ?
เจ้าเนี่ยนะ?
……
……
ผู้คนที่กำลังทยอยออกไปจากยอดเขาเทียนกวงต่างมองเห็นสะเก็ดไฟดวงนั้น รู้ว่านั่นคือร่องรอยที่เกิดจากกระบี่สองเล่มปะทะกัน
ทุกคนต่างหยุดลงแล้วมองมาทางยอดเขาเทียนกวง มองเห็นภาพไป๋หรูจิ้งและจิ๋งจิ่วเผชิญหน้ากัน ต่างคนต่างอดรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้
เจ้าสำนักจะทำอะไร
ยอดฝีมือที่สภาวะสูงส่งอย่างนักพรตกว่างหยวนและฝูว่างต่างรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ปัญหาที่พวกเขาครุ่นคิดนั้นแตกต่างออกไป สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจก็คือ….จิ๋งจิ่วทำได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้ไป๋หรูจิ้งไม่ได้ปล่อยกระบี่ออกไปโจมตี หากแต่เก็บกระบี่ แต่กลับถูกกระบี่คมจักรวาลขวางเอาไว้
ระยะห่างระหว่างจิ๋งจิ่วกับไป๋หรูจิ้งนั้นมีระยะทางที่ไกลกว่าระยะห่างของกระบี่กับตัวไป๋หรูจิ้งสิบกว่าเท่า ยิ่งไปกว่านั้นการเก็บกระบี่ยังไม่มีรูปแบบที่แน่นอน หากแต่ผันแปรไปตามการเชื่อมโยงที่ไร้รูปร่างของโอสถกระบี่และตัวกระบี่บิน การที่ิคิดจะขวางทางอีกฝ่ายไม่ให้เก็บกระบี่นั้นยากยิ่งกว่าการหยุดยั้งการโจมตีของกระบี่บินของอีกฝ่ายไม่รู้ตั้งกี่เท่า!
มาตรว่าจิ๋งจิ่วจะเป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งบนโลก ต่อให้เขาจะคาดการณ์วิถีโคจรของกระบี่ทั้งหมดของไป๋หรูจิ้งได้ แต่เขาจะมองเห็นการเชื่อมโยงเช่นนี้และแซงหน้ามันไปได้อย่างไร?
หรือว่ากระบี่ของเขาเร็วจนถึงขั้นนี้แล้ว? หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ?
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามิใช่เรื่องบังเอิญ
ไป๋หรูจิ้งพยายามสะกดความรู้สึกโกรธเกรี้ยวภายในใจและความคิดที่จะสั่งสอนจิ๋งจิ่วเอาไว้ ก่อนจะพยายามเก็บกระบี่อีกครั้ง
ภายในท้องฟ้ายามค่ำคืนมีสะเก็ดไฟปรากฏขึ้นมาอีกดวง
เมื่อเห็นภาพนี้ สายตาของจัวหรูซุ่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ
ตอนอยู่ในเขาอวิ๋นเมิ่ง เขาเคยสู้กับจิ๋งจิ่วครั้งหนึ่ง ในท้องฟ้ายามค่ำคืนของวันนั้นมีสะเก็ดไฟปรากฏขึ้นมานับหลายพันดวง
คืนนี้แตกต่างไปจากคืนนั้นอย่างเห็นได้ชัด สภาวะของจิ๋งจิ่วยกระดับขึ้นจากในตอนนั้นหลายเท่า แต่ปัญหาก็คือ นี่เพิ่งจะผ่านมากี่ปี?
เก็บกระบี่สองครั้งไม่สำเร็จ สีหน้าของไป๋หรูจิ้งยิ่งดูแย่
ในสายตาของศิษย์ชิงซานธรรมดาบางคนอาจจะมองว่าเขากำลังโจมตีใส่จิ๋งจิ่ว แต่ถูกจิ๋งจิ่วกันเอาไว้ได้
จิ๋งจิ่วอุ้มแมวเขายืนขึ้นมา
ไป๋หรูจิ้งเข้าใจเจตนาของเขา สายตาเย็นยะเยือกขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นมา
ไม่ว่าจะบนยอดเขาหรือว่าบนกระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนเหล่านั้น ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้น
จนกระทั่งในเวลานี้ก็ยังไม่มีใครคิดว่าจิ๋งจิ่วจะสามารถเอาชนะไป๋หรูจิ้งได้ ถึงแม้เขาจะทำให้ไป๋หรูจิ้งเก็บกระบี่ไม่สำเร็จถึงสองครั้งก็ตาม
ผู้อาวุโสของยอดเขาเทียนกวงที่อยู่ในสภาวะขั้นแหวกทะเลระดับสูง ศิษย์หนุ่มอัจฉริยะที่อยู่ในขั้นคเนจรระดับกลาง ฟังดูแล้วแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ความแตกต่างของสภาวะของทั้งสองคนกลับเห็นได้อย่างชัดเจน.….
บนยอดเขาเทียนกวงมีสายลมเย็นสบายพัดขึ้นมา
ร่างของจิ๋งจิ่วหายไปจากในกระท่อม
ไป๋หรูจิ้งส่งเสียงตะคอก สองมือประกบเป็นกระบี่ ฟันลงไปเบื้องหน้าของตัวเอง
เขาไม่ได้ปล่อยกระบี่ออกไป เพราะกระบี่คมจักรวาลอยู่ตรงนั้น และเป็นเพราะเขารู้ดีว่าการโจมตีใส่เจ้าสำนักนั้นมีโทษหนักเพียงใด
ร่างของจิ๋งจิ่วปรากฎขึ้นตรงหน้าของเขา
เบื้องหน้าของไป๋หรูจิ้งมีเจตน์กระบี่จำนวนหลายสายปรากฎขึ้นมา ก่อตัวเป็นม่านพลังที่แข็งแกร่งจนไม่อาจทำลายได้ นี่คือความหมายที่แท้จริงของเพลงกระบี่แบกสวรรค์
มือของจิ๋งจิ่วฟันลงไปในอากาศที่อยู่ตรงหน้าของเขา
เสียงเคร้งๆๆๆ จำนวนนับไม่ถ้วนดังแน่นขนัด เหมือนกับเสียงกระบี่ที่แตกหัก
ผ่านพลังที่ถักทอขึ้นมาจากเจตน์กระบี่แบกสวรรค์แตกออกในพริบตา
เบื้องหน้าของไป๋หรูจิ้งมีรอยแตกปรากฏขึ้นมาสองรอย ตัวเขากระเด็นลอยออกไปเหมือนก้อนหินที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรง ก่อนจะกระแทกเข้ากับผาหิน
เสียงตู้มดังสนั่น
บริเวณด้านหน้าหน้าผาเต็มไปด้วยเศษหินและเศษไม้สนที่แตกหัก
ไป๋หรูจิ้งพิงอยู่บนหน้าผาที่แตกร้าว บนร่างกายเต็มไปด้วยโลหิต ใบหน้าขาวซีด ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ
บนหน้าผาเงียบสงัด
จิ๋งจิ่วอุ้มแมวเดินกลับไป นั่งลงบนเก้าอี้ ส่งสัญญาณบอกให้กั้วหนานซานพูดต่อ