มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 6 อนาคตของชิงซาน (1)
ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่บนยอดเขาเทียนกวงหรือว่าคนที่ขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้น ก็ล้วนแต่ตกตะลึงหลังจากที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้
ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเลระดับสูงกลับแพ้ให้แก่จิ๋งจิ่วที่อยู่ในขั้นคเนจรระดับกลาง นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่ลงมือเขายังอุ้มแมวตัวนั้นอยู่ตลอดเวลาด้วย!
ทุกคนมองดูจิ๋งจิ่วที่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง ภายในหัวรู้สึกค่อนข้างสับสน รู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเสียยิ่งกว่าเรื่องที่จิ๋งจิ่วกลายเป็นเจ้าสำนักเสียอีก
กระทั่งคนที่เชื่อมั่นในตัวจิ๋งจิ่วโดยไม่มีข้อโต้แย้งอย่างเจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
หนานว่างที่ไม่ได้ออกไปจากยอดเขาเทียนกวงตั้งแต่ต้นมองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามอย่างตกใจว่า “เจ้าแหวกทะเลตั้งแต่เมื่อไร?”
ปกติสำนักชิงซานจะใช้คำว่าบรรลุเวลาที่มีการบรรลุสภาวะใดๆ ก็ตาม มีเพียงสภาวะขั้นแหวกทะเลเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น เพราะอย่างไรเสียก็มีคำว่าแหวกอยู่ในนั้นอยู่แล้ว ไยต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก
ความเคยชินนี้เริ่มมาตั้งแต่เมื่อหกร้อยปีก่อน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เมื่อหลายวันก่อน”
นักพรตกว่างหยวนบินกลับมายังยอดเขา ก่อนจะได้ยินบทสนทนานี้เข้าพอดี จึงยิ้มเจื่อนขึ้นมาในใจ แต่อารมณ์ตกตะลึงกลับผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าจิ๋งจิ่วสภาวะต่ำต้อยเกินไป ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าสำนัก ไหนเลยจะคิดถึงว่าอีกฝ่ายจะแหวกทะเลแล้ว ถึงแม้จะยังห่างจากสภาวะของตัวเองอยู่ แต่ก็ถือว่าอยู่ในสภาวะใหญ่ขั้นเดียวกัน หากบอกว่าแหวกทะเลยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าสำนัก อย่างนั้นมิเท่ากับว่าตนเองต้องไปเก็บตัวอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้น รอจนทะลวงสวรรค์ได้แล้วค่อยออกมาหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นจิ๋งจิ่วยังอายุน้อยขนาดนี้
กระทั่งหนานว่างและนักพรตกว่างหยวนยังตกใจขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้อาวุโสและลูกศิษย์ธรรมดาคนอื่นๆ
จิ๋งจิ่วเข้ามาบำเพ็ญเพียรในชิงซานแค่สามสิบกว่าปีก็สามารถบรรลุถึงขั้นแหวกทะเลได้แล้ว!
ไม่เคยมีใครพบเห็นเรื่องทำนองนี้มาก่อน แล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน กระทั่งคิดก็ยังไม่กล้าคิดเช่นนี้!
ผู้คนมักจะพูดว่าเขาอาจจะเป็นอัจฉริยะที่บำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของชิงซาน ตอนนี้น่าจะตัดคำว่า ‘อาจจะ’ ทิ้งไปได้แล้ว
อย่าว่าแต่สำนักชิงซานเลย ต่อให้เป็นประวัติศาสตร์การบำเพ็ญเพียรบนแผ่นดินเฉาเทียน เขาก็น่าจะเป็นคนที่เร็วที่สุดคนนั้น!
ความสำเร็จที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้แทบจะไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมมาใช้นิยามได้เลย น่าจะมีเพียงคำว่าสั่นสะเทือนฟ้าดินที่พอจะใช้นิยามได้
สายตาเร่าร้อนที่ตกตะลึงและเคารพศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนมองมาที่จิ๋งจิ่ว
เพียงแต่ยังมีคำถามที่ไม่สำคัญ แต่กลับทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่เข้าใจอยู่คำถามหนึ่ง
ต่อให้จิ๋งจิ่วแหวกทะเลได้สำเร็จ ตอนนี้ก็เพียงแค่แหวกทะเลระดับต้นเท่านั้น ยังห่างชั้นจากผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งอยู่มาก แล้วทำไมถึงสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดที่อยู่ในช่วงท้ายของการบำเพ็ญเพียรร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือนี่?”
นักพรตกว่างหยวนมองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวทอดถอนใจ
หลังงานชุมนุมทดสอบกระบี่ที่จัดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนครั้งนั้นจบลง เจ้าแห่งยอดเขาแต่ละยอดเขาก็เคยพูดถึงจิ๋งจิ่วเอาไว้ มีคนสงสัยว่าเขาเป็นผู้สืบทอดของวัดกั่วเฉิงที่ลงมาธุดงค์ในโลกมนุษย์ แต่สุดท้ายก็สรุปว่าเขาน่าจะเป็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดที่อยู่ในตำนาน ควรจะเลี้ยงดูเขาให้ดีๆ
แต่ถึงแม้จะเป็นสำนักชิงซาน ทว่าความรู้ความเข้าใจที่มีต่อร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดก็มิได้มีมากเท่าไร ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อสภาวะสูงขึ้น ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์จะเป็นอย่างไร
เรื่องนี้ได้ถูกนำมาพูดต่อๆ กันเป็นเวลานานแล้ว หลายคนต่างรู้ว่าจิ๋งจิ่วคือร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด แต่ในเวลาปกติไม่มีใครเคยเห็นเขาลงมือ ผู้คนย่อมต้องค่อยๆ ลืมเลือนไป จนกระทั่งได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ทุกคนถึงได้คิดถึงคำว่าร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง ต่างคนต่างรู้สึกตกตะลึงอยู่เป็นเวลานาน
จิ๋งจิ่วเพิ่งจะบรรลุเข้าสู่ขั้นแหวกทะเลก็แข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้ว หากสภาวะของเขาสูงขึ้นอีกหน่อย อย่างนั้นมิเท่ากับว่าสามารถก้าวข้ามไปสู้กับทะลวงสวรรค์ได้หรือ?
เมื่อถึงเวลานี้ ทุกคนต่างคิดว่าตนเองเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนักพรตหลิ่วฉือถึงได้ทิ้งคำสั่งเสียฉบับนั้นเอาไว้
สายตาของเขาอยู่ที่อนาคต
ท่านกฎแห่งกระบี่ไม่ยอมเป็นเจ้าสำนัก ก็เพราะคิดถึงอนาคต
อนาคตของชิงซานก็คือจิ๋งจิ่ว
……
……
จิ๋งจิ่วย่อมต้องรู้ว่าตนเองมิใช่ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์อะไรนั่น แต่เขาก็มิได้ปฏิเสธคำพูดของนักพรตกว่างหยวน
เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีใครเคยเห็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นกระบี่เซียนแห่งยมโลก คำพูดของนักพรตกว่างหยวนจึงช่วยปกปิดความจริงตรงนี้ได้พอดี
เหล่าลูกศิษย์ของไป๋หรูจิ้งเข้ามาพยุงเขาขึ้นมา แต่กลับไม่กล้าพาเขาออกไป หากแต่ยืนอยู่ตรงหน้าผาอย่างประหม่าและตื่นกลัว
นักพรตกว่างหยวนเข้ามาคารวะจิ๋งจิ่ว ขอความเมตตาแทนไป๋หรูจิ้ง
ผู้อาวุโสมั่วฉือและผู้อาวุโสกับเหล่าลูกศิษย์คนอื่นๆ ของยอดเขาเทียนกวงก็เข้ามาขอความเมตตาแทนไป๋หรูจิ้งเช่นเดียวกัน
การแสดงออกของไป๋หรูจิ้งในวันนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ในยอดเขาเทียนกวงมาหลายร้อยปีแล้ว เมื่อเห็นสภาพที่น่าเศร้าใจของเขาในเวลานี้ ทุกคนจึงอดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างมองออกมาว่านี่เป็นการลงโทษที่เจ้าสำนักจงใจทำให้มันเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นทำไมตอนนั้นท่านไป๋กุ่ยถึงคำรามออกมา ทำไมกู้ชิงถึงได้พูดประโยคนั้นขึ้นมา?
คนอื่นๆ อย่างกั้วหนานซานและกู้หานต่างรู้ดีว่าทำไมจิ๋งจิ่วถึงได้ทำเช่นนี้
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
เรื่องของหลิ่วสือซุ่ย
ถูกต้อง ในปีนั้นจิ๋งจิ่วได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าขอเพียงบรรลุขั้นแหวกทะเล เขาจะจัดการไป๋หรูจิ้งสักที
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ร่างกายของกู้หานพลันหนาวเย็นขึ้นมาเล็กน้อย ศิษย์คนอื่นๆ อย่างโหยวซือลั่วเองก็รู้สึกค่อนข้างสับสน
แต่ไหนแต่ไรมา ความสัมพันธ์ของยอดเขาเทียนกวง ยอดเขาเหลี่ยงว่างและยอดเขาเสินม่อนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เจ้าสำนักเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ ต่อไปจะทำอย่างไร?
จัวหรูซุ่ยมองดูจิ๋งจิ่ว สายตาค่อนข้างซับซ้อน
เขาไม่ได้ขอความเมตตาแทนไป๋หรูจิ้ง แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจิ๋งจิ่วจะเจ้าคิดเจ้าแค้น ตอนที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน เขาช่วยจิ๋งจิ่วฆ่าคนไปหลายคนด้วยซ้ำ
จิ๋งจิ่วคุ้นเคยกับสายตาของเขาในเวลานี้ดี
ในสายตาแบบนี้แฝงเอาไว้ด้วยความปรารถนา ความอิจฉา และความจนปัญญา
เมื่อหกร้อยปีก่อน หลังจากที่เขาติดตามศิษย์พี่สังหารอาจารย์ลุงอาจารย์อาเหล่านั้นจนหมด สายตาที่หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงมองดูเขาก็เป็นเช่นนี้
เมื่อคิดถึงหยวนฉีจิง กระบี่ของหยวนฉีจิงก็มา
ต้นหญ้าบนยอดเขาเทียนกวงมีน้ำค้างแข็งเกาะบางๆ
ภายในหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาเบาๆ เสียงของหยวนฉีจิงดังออกมาจากในกระบี่สามฉื่อ
“ไป๋หรูจิ้งไม่เคารพต่อเจ้าสำนัก เข้าไปสำนึกผิดในคุกกระบี่สามปี”
การลงโทษนี้ไม่เบา แต่เมื่อคิดถึงอายุขัยที่ยาวนานหลายร้อยปีของผู้บำเพ็ญพรต มันก็ถือว่าไม่หนักเช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงของหยวนฉีจิงดังออกมาจากในกระบี่สามฉื่ออีกครั้ง “เจ้าสำนักเห็นว่าเป็นอย่างไร?”
ทุกคนต่างมองไปยังจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมออกมา
……
……
ไป๋หรูจิ้งถูกลูกศิษย์ของยอดเขาซั่งเต๋อพาตัวออกไป ดูแล้วต่อให้ถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ก็คงไม่ได้อยู่ในห้องขังที่มีสภาพแย่มากนัก เจี่ยนหรูอวิ๋นยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนเขาได้
นักพรตกว่างหยวนเองก็กลับไปแล้วจริงๆ ภายในท้องฟ้ายามค่ำคืนมีลำแสงกระบี่วูบไหว ศิษย์ชิงซานทยอยหายไปในยอดเขาต่างๆ
กั้วหนานซานยืนอยู่หน้ากระท่อม คิดถึงการกล่าวรายงานที่ถูกขัดจังหวะก่อนหน้านี้ ในใจครุ่นคิดว่าต้องรายงานต่อหรือไม่?
ในขณะที่เขาเตรียมจะรายงานต่อ หนานว่างก็เดินเข้ามาพูดกับจิ๋งจิ่วว่า “มีเรื่องอยากขอเจ้าหน่อย”
ศิษย์ยอดเขาเทียนกวงเหล่านั้นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงไม่ยอมขานเรียกเจ้าสำนัก ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของเจ้าสำนัก ประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องขึ้นมาอีกหรือเปล่า?
จิ๋งจิ่วไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เขากล่าวว่า “เรื่องอะไร?”
ในตอนที่หลิ่วฉือยังมีชีวิตอยู่ หนานว่างก็แทบจะไม่เคยเรียกเขาว่าเจ้าสำนัก แค่เรียกเขาว่าศิษย์พี่ก็ถือว่าให้ความเคารพมากแล้ว
หนานว่างนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันกล่าวขึ้นมาว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เอาอาต้ามาให้ข้ายืมหน่อย”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ นางก็ยื่นมือไปคว้าตัวอาต้าขึ้นมาโดยไม่รอให้จิ๋งจิ่วตอบตกลง ก่อนจะขี่กระบี่พิณวิจิตรบินไปทางยอดเขาชิงหรง
อาต้าถูกนางอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก โผล่หัวออกมาจากบนหัวไหล่ มองดูจิ๋งจิ่วด้วยใบหน้าน่าสงสาร
จิ๋งจิ่วรู้ว่าในเวลานี้มันตื่นเต้น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้สนใจ จากนั้นใช้สายตาบอกมันว่าข้าเชื่อใจเจ้ามากนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ
แสงดาวส่องสว่างกระบี่พิณวิจิตร สะท้อนให้เห็นสายกระบี่ที่เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วน ประเดี๋ยวโค้งงอ ประเดี๋ยวหดตัว มองดูคล้ายเครื่องหมายคำถามจำนวนนับไม่ถ้วน
…………………………………………………………