มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 7 อนาคตของชิงซาน (2)
เมื่อถูกขัดจังหวะไปสองครั้ง กั้วหนานซานเองก็ล้มเลิกความคิด เขาเพียงแต่กล่าวรายงานสถานการณ์บนยอดเขาเทียนกวงอย่างคร่าวๆ จากนั้นเชิญจิ๋งจิ่วชี้แนะ
ครั้งนี้จิ๋งจิ่วไม่ได้ตะโกนบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปได้ เขากวาดตามองดูใบหน้าของทุกคนบนยอดเขาเทียนกวง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของมั่วฉือ จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าซื่อเกินไป ไม่ ได้”
ผู้อาวุโสมั่วฉือพยักหน้า ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าสำนักคนใหม่รู้จักตัวเองดีทีเดียว
จิ๋งจิ่วมองดูจัวหรูซุ่ย ก่อนจะส่ายศีรษะ
จัวหรูซุ่ยไม่ยอมรับ เขาตะโกนว่า “อาจารย์อา!”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมออกมา
จัวหรูซุ่ยกระแอมเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนนุ่มลงมา ก่อนกล่าวอีกครั้งว่า “อาจารย์อาเจ้าสำนัก ท่านส่ายศีรษะหมายความว่าอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าฉลาดเกินไป ไม่เหมาะเช่นกัน”
จัวหรูซุ่ยคิดในใจว่าที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง อย่างนั้นยังมีอะไรให้ไม่ยอมรับอีก จึงถอยออกไปอย่างมีความสุข
“ยอดเขาเทียนกวงมอบให้เจ้าดูแลด้วยแล้วกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับกั้วหนานซานว่า “มีเพียงเรื่องหนึ่ง หากยอดเขาเหลี่ยงว่างอยากจะทำอะไร เจ้าต้องไปถามข้าที่ยอดเขาเสินม่อก่อน”
กั้วหนานซานตกใจ ในใจครุ่นคิดว่ายอดเขาเทียนกวงยังมีอาจารย์อาอยู่ตั้งหลายคน ทำไมถึงให้ข้าดูแลล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นทำไมถึงต้องไปถามท่านที่ยอดเขาเสินม่อ?
มั่วฉือเองก็งุนงงเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “จะ…จะ…เจ้าสำนักท่านไม่อยู่ยอดเขา…เทียนกวงหรือขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่เคยอยู่ ไม่ชิน”
กลับเป็นยอดเขาซั่งเต๋อที่เขาอยู่จนชินแล้ว ทว่าเขาไม่ชอบที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้นหยวนฉีจิงก็คงไม่ยอมย้ายออกมาด้วย
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ไม่มีอะไรสั่งกำชับอีก หากแต่เก็บกระบี่คมจักรวาล ลุกขึ้นเตรียมจากไป
เจ้าล่าเยวี่ยเรียกกระบี่มิคำนึงออกมา จับมือเขาแล้วแปลงเป็นลำแสงสีแดง หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
กู้ชิงเรียกกระบี่ธรรมดาที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนของตัวเองเล่มนั้นออกมา ก่อนจะรีบบินตามออกไป
หยวนฉวี่เลิกคิ้ว รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าอาจารย์อายังอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ นี่มันเยี่ยมไปเลย
ผิงหย่งเจียไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังดีใจอะไร มือของเขายื่นไปในอากาศ มองดูหยวนฉวี่ด้วยใบหน้าน่าสงสาร ในใจครุ่นคิดว่าศิษย์พี่ท่านอย่าลืมพาข้ากลับไปด้วยนะ
……
……
เมื่อกลับมาถึงยอดเขาเสินม่อ ในที่สุดผิงหย่งเจียก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่หยวนฉวี่ถึงดีใจขนาดนั้น ตอนนี้อาจารย์เป็นเจ้าสำนักแล้ว แต่กลับยังอาศัยอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ อย่ างนั้นสถานะของยอดเขาเสินม่อก็ย่อมต้องไม่เหมือนเมื่อก่อน พวกเขาที่เป็นศิษย์ของ….เดี๋ยวก่อน!
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้สติขึ้นมา ก่อนจะตกตะลึงไปทันที อาจารย์….เป็นเจ้าสำนักอย่างนั้นหรือ?
เขารู้สึกสงสัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ใช่ภาพลวงตาหรือไม่
ตัวเองยังเก็บตัวอยู่ในตำหนัก ภาพเหล่านั้นคือกิเลสภายในใจ?
เขามองดูหยวนฉวี่และกู้ชิง คิดอยากจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา แต่กลับพบว่าสถานการณ์ของศิษย์พี่ทั้งสองคนก็ไม่ปกติเช่นกัน
หยวนฉวี่ได้สติกลับมาจากความดีใจอย่างบ้าคลั่ง ในเวลานี้เขากำลังนั่งเหม่ออยู่ริมผากับกู้ชิง มองดูทะเลเมฆสีเงินที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผิงหย่งเจียเดินเข้าไป จากนั้นนอนลงข้างๆ พวกเขา นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นมาว่า “แบบนี้ถือว่าพวกเราชนะอย่างง่ายๆ หรือเปล่า?”
“ใช่ เพียงแต่รู้สึกว่าความกดดันก็มากเหมือนกันนี่สิ” หยวนฉวี่นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มเก็บตัว จะทำให้เจ้าสำนักขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด”
กู้ชิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในใจครุ่นคิดว่าเรื่องความกดดันเนี่ย ข้าว่าไม่ใช่พวกเจ้าหรอก...
ริมผาคืนนี้ไม่มีเงาแมว จักจั่นเหมันต์แทะไขหยกอย่างมีความสุข กระทั่งกินจนอิ่มแล้ว มันก็หงายท้องหาแสงดาว จากนั้นเริ่มบำเพ็ญเพียร
กู้ชิงมองดูมัน ในใจรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
……
……
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยอยู่ในถ้ำที่อยู่ในจุดสูงสุดของยอดเขาเสินม่อ
แสงดาวส่องลงมาจากด้านบนถ้ำ ส่องสว่างลงบนร่างกายของพวกเขา
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเขา มองดูเขาอย่างเงียบๆ ในม่านตาที่สีขาวและสีดำตัดกันอย่างชัดเจนเปล่งประกายเป็นพิเศษ “นี่ถือว่าแย่งเอาของที่เคยสูญเสียไปกลับมาแล้วหรือเปล่า า?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเป็นเจ้าสำนัก แล้วก็ไม่อยากเป็นเจ้าสำนัก”
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้สร้างความตกตะลึงให้แก่ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ดูแล้วอีกไม่กี่วันก็คงจะทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนตกตะลึงเช่นเดียวกัน
ลูกศิษย์ทั้งสามคนของยอดเขาเสินม่อต่างตกตะลึงจนเริ่มกล่าวอะไรเลอะเลือนกับตัวเอง
แต่ตัวเขากลับยังสงบนิ่ง
จริงอยู่ที่เขาไม่เคยเป็นเจ้าสำนัก แต่อย่างน้อยก็เคยเป็นเจ้าสำนักสูงสุดมาสามร้อยปี เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลยจริงๆ
เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว นี่ยังถือว่าลดระดับลงมาเสียด้วยซ้ำ
เช่นนั้นมีอะไรให้น่าตื่นเต้นล่ะ
เป็นเจ้าสำนักชิงซานต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ มากมาย มักจะต้องตัดสินความเป็นความตายของคนจำนวนมากด้วยคำพูดเพียงคำเดียว ซึ่งขัดแย้งกับนิสัยของเขาโดยสิ้นเชิง
หากมิใช่เพื่อจะเอาปลอกกระบี่แบกสวรรค์มาไว้ในมือ ต่อให้หลิ่วฉือมีชีวิตรอดกลับมา เขาก็ไม่มีทางตอบตกลง
อืม ถ้าหากเขารอดชีวิตกลับมาจริงๆ ล่ะก็ ค่อยว่ากันก็แล้วกัน
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เพราะว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ถึงแม้จะไม่ใช่ปีใหม่ แต่ก็ฉลองได้”
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง จึงดึงนางมากอดเอาไว้ พลางใช้มือที่ว่างเปล่าตบไปที่แผ่นหลังของนางเบาๆ
เจ้าล่าเยวี่ยพิงลงไปบนตัวเขาพลางหลับตา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข
จิ๋งจิ่วเป็นเจ้าสำนักชิงซาน สำหรับนางแล้วถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่นางก็ยังรู้สึกดีใจอย่างมาก จากนั้นกล่าวถามอย่างสงสัยว่า “เรื่องในวันนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ท่านคิดเอา าไว้ก่อนแล้ว?
“กู้ชิงเคยบอกเอาไว้ เป็นเจ้าสำนักต้องทำให้ทุกคนยอมรับ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สภาวะของข้าในตอนนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขายอมรับได้ อย่างนั้นก็ใช้วิธีเลือกแล้วกัน”
ชิงซานในตอนนี้ ที่พึ่งพิงของเขาจริงๆ ก็คือหยวนฉีจิงกับอาต้า
อาต้าเป็นบรรพจารย์ของยอดเขาปี้หู นี่ก็เท่ากับสองเสียง หยวนฉีจิงเป็นเจ้านายคนปัจจุบันของซือโก่ว นี่ก็เท่ากับสองเสียง รวมกับยอดเขาเสินม่ออีกหนึ่งเสียงก็เป็นห้าเสียง
ไม่ว่าไป๋หรูจิ้งจะกระโดดโลดเต้นอย่างไร สุดท้ายยอดเขาเทียนกวงก็จะต้องสนับสนุนคำสั่งเสียของหลิ่วฉืออย่างแน่นอน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเสียง
“ต่อให้ท่านมั่นใจในตัวท่านหยวนกุย นั่นมันก็แค่เจ็ดเสียง”
เจ้าล่าเยวี่ยพลันคิดถึงจุดนี้ขึ้นมา นางนั่งตัวตรง มองดูดวงตาของเขาพลางกล่าวว่า “วันนี้ท่านอาจจะแพ้”
ขอเพียงในยอดเขาอวิ๋นสิง ยอดเขาซีไหล ยอดเขาซื่อเยวี่ย ยอดเขาชิงหรง มียอดเขาเดียวที่ไม่สนับสนุนเขา เขาก็จะเสียตำแหน่งเจ้าสำนักไป
จิ๋งจิ่วรู้แต่แรกแล้วว่านี่คือเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “หากวันนี้แพ้ขึ้นมาจริงๆจะทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็ไปจากที่นี่”
ได้รับคำสั่งเสียบอกให้เป็นเจ้าสำนัก แต่กลับถูกเตะออกมาจากตำแหน่งเจ้าสำนัก เช่นนั้นยังจะทำอะไรได้ เขาย่อมไม่มีหน้าจะอยู่ที่ชิงซานอีก
เขาพูดจาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ภายในใจเจ้าล่าเยวี่ยกลับคล้ายมีคลื่นยักษ์กำลังซัดสาดขึ้นมา
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะมีวันที่ต้องไปจากชิงซาน
ทันใดนั้นเอง นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วถึงต้องทำให้สถานการณ์เดินไปในทิศทางที่ต้องออกเสียงเลือกเจ้าสำนัก เพราะเขาค่อนข้างเหนื่อยล้าแล้ว
หลังกลับมาถึงชิงซาน เขาก็พยายามตามหาผีเหล่านั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงศึกถล่มสำนักกระบี่ซีไห่ เขาถึงได้พบว่าที่แท้มีผีอยู่มากมายขนาดนั้น
หากวันนี้เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากยอดเขาต่างๆ ความเหนื่อยล้าของเขามันก็จะกลายเป็นความจริง ทำให้เขาไม่อยากจะสนใจเรื่องราวในชิงซานหลังจากนี้อีกต่อไป
เขาอาจจะหาเหตุผลที่จะออกไปจากสำนักให้แก่ตัวเอง แล้วก็อาจจะให้โอกาสศิษย์รุ่นหลังได้เหนี่ยวรั้งตัวเองเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ภายในใจเจ้าล่าเยวี่ยค่อนข้างเศร้าใจ นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วคิดถึงมั่วฉือที่ในที่สุดก็แสดงความกล้าออกมาหลังจากที่ยอมถอยให้ไป๋หรูจิ้งมาเป็นเวลาหลายร้อยปี คิดถึงกั้วหนานซานและจัวหรูซุ่ย คิดถึงหนานว่าง……
ใครจะไปรู้ว่าหนานว่างคิดอย่างไร
เขาค่อนข้างเป็นห่วงอาต้า
เจ้าล่าเยวี่ยเห็นเขาไม่พูดอะไร ความรู้สึกสงสารทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกไม่ยินยอมและความโหดเหี้ยม นางกล่าวเสียงเบาว่า “ต่อให้ต้องไป ก็ควรจะเป็นพวกเขาที่ต้องไป”
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องมีลำดับก่อนหลัง
“สถานการณ์เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนกับคืนนี้คล้ายกัน ศิษย์พี่แพ้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมไป…ดังนั้นภายหลังถึงได้มีคนตายเยอะขนาดนั้น”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “การฆ่าคนแบบนั้น แต่ครั้งเดียวก็พอแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
จิ๋งจิ่วไม่พูดเรื่องเหล่านี้อีก เขาหยิบปลอกกระบี่แบกสวรรค์ขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ออกมาเถอะ”
เสียงฟึบๆ ดังขึ้นมา นกชิงเหนี่ยวตัวหนึ่งบินออกมาจากข้างใน