มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 9 ไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนัก
อาต้ารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง หากมิเป็นเพราะมีสภาวะที่สูงส่ง เกรงว่ามันคงจะระเบิดตัวเองกลายเป็นดอกหญ้าแล้ว
มันเงยหน้ามองหนานว่าง ทำสีหน้าน่าสงสาร เพื่อบอกว่ากระทั่งตัวจิ๋งจิ่วก็อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“เขาเหมือนจะเคยไปสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย”
หนานว่างมองดูยอดเขาเสินม่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลางพูดพึมพำกับตัวเอง
อาต้าร้องเมี้ยวออกมา ในใจคิดว่าตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเขา
หนานว่างเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวสั่งสอนว่า “เจ้าอยู่ข้างกายเขามานานหลายปีขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย? กลับไปแล้วคอยจับตาดูให้ดีหน่อย!”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ นางก็โยนมันขึ้นไปบนฟ้า
ในยอดเขาทั้งเก้า ยอดเขาซื่อเยวี่ยและยอดเขาซีไหลอยู่ใกล้กันมากที่สุด ห่างกันแค่เสาหินแท่งหนึ่ง
ยอดเขาเสินม่อโดดเดี่ยวที่สุด ต่อให้เป็นยอดเขาชิงหรงที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างกันหลายลี้
แล้วก็มีเพียงยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์อย่างหนานว่างเท่านั้นถึงจะสามารถโยนแมวออกไปได้ไกลขนาดนี้
อาต้ากลายเป็นเงาสีขาว ลอยทะลุทะเลเมฆและท้องฟ้าหลายเป็นเส้นโค้ง ก่อนจะตกลงบนยอดเขาเสินม่อ
เสียงตู้มดังสนั่น เศษหินแตกกระจาย
กู้ชิง หยวนฉวี่และผิงหย่งเจียที่อยู่นั่งเหม่ออยู่ริมผา แล้วก็จักจั่นเหมันต์ที่กำลังดูดซับพลังวิญญาณต่างตกใจ รีบลุกขึ้นมาดู
บนพื้นบริเวณหน้าผามีหลุมปรากฏขึ้นมาหลุมหนึ่ง
อาต้าปีนขึ้นมาจากในหลุม ส่ายศีรษะเพื่อสะบัดเอาเศษหินทิ้งไป ก่อนจะส่งเสียงอาเจียนเหมือนกำลังจะสำลักขนแมวออกมา จากนั้นเหลียวหน้ากลับไปมองยอดเขาชิงหรง ในดวงตาเต็มไปด้วยความ โกรธเกรี้ยว
โชคดีที่ข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อไม่ได้เปิดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นวันนี้มันคงต้องขนร่วงหมดตัวจริงๆ แน่ คงต้องเจ็บไปหลายวัน
ต่อให้ชื่อจะฟังดูเชยแค่ไหน หน้าตาดูไร้พิษภัยอย่างไร คล้ายไม่มีสถานะใดๆ อยู่บนยอดเขาเสินม่อ แต่มันก็ยังเป็นท่านไป๋กุ่ยผู้พิทักษ์แห่งชิงซาน เป็นบรรพจารย์ในสายตาศิษย์รุ่นเ เยาว์ พวกกู้ชิงย่อมไม่กล้ามองดูสภาพกระเซอะกระเซิงของมัน ต่างคนต่างรีบแยกย้ายกลับเข้าไปในตำหนัก
จิ๋งจิ่วเดินเข้ามาด้านหลังมัน กล่าวถามว่า “สบายดีไหม?”
อาต้าเหลียวหน้ากลับมาอีกครั้ง มองเขาอย่างโกรธแค้น ในใจคิดว่าดีกับผีสิ ไม่เห็นหรือว่าสภาพของข้าเป็นอย่างไร?
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ ในใจคิดว่ามีสายตาโกรธแค้นนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ทำไมถึงได้มีความเกลียดชังด้วย
อาต้าส่งเสียงร้องเมี้ยวออกมาอย่างโกรธแค้น
“จะเล่นงานไป๋หรูจิ้ง เจ้าก็ไม่รู้จักบอกข้าก่อน จู่ๆ ก็หยิกลงมาอย่างนั้น มันเจ็บนะโว้ย? แล้วก็นะ! ถ้าสุดท้ายไม่เป็นเพราะข้าใช้แรงกดดันทำให้จิตใจเขาปั่นป่วน เจ้าจะสู้เขาได้หรือ อ? ถ้าเจ้าสู้เขาได้ เจ้าจะอุ้มข้าเอาไว้ทำไม? เพื่อเสแสร้งหรือ? ถุย!”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าตอนนี้ตัวเองเพิ่งจะบรรลุแหวกทะเล ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนั้น อุ้มเจ้าเอาไว้มันย่อมต้องปลอดภัยกว่า
ความโกรธเกรี้ยวของอาต้ายังไม่จางหายไป “เจ้าจะเสแสร้งก็เสแสร้งไป แต่เสแสร้งเสร็จแล้วก็ไม่สนใจว่าข้าจะเป็นจะตายอย่างไรอย่างนั้นรึ? ถึงได้ปล่อยให้นังขี้เมานั่นอุ้มข้าไปแบบนั้ น!”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นางสู้เจ้าไม่ได้”
“นี่มันใช่เรื่องสู้ได้สู้ไม่ได้ไหม? ถ้าข้าข่วนหน้านางเป็นรอย เจ้าว่าหยวนฉีจิงจะทำอย่างไร! แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
อาต้ายิ่งโกรธเกรี้ยว คำรามออกมาอย่างคลุ้มคลั่งในกระแสจิตว่า “พวกผู้ชายอย่างพวกเจ้ามันก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ!”
……
……
พูดถึงหยวนฉีจิง หยวนฉีจิงก็มา
แต่ครั้งนี้มิใช่กระบี่สามฉื่อที่มา หากแต่เป็นตัวเขาเอง
อาต้ามองเขาอย่างแค้นใจ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดอะไร มันเก็บเอาจักจั่นเหมันต์ที่แกล้งตายขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ ไปหาล่าเยวี่ย
หยวนฉีจิงสีหน้าเฉยชา แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจ เขากล่าวถามว่า “อาต้าเป็นอะไร?”
จิ๋งจิ่วไม่สะดวกพูดเรื่องหนานว่าง จึงเปลี่ยนไปถามว่า “คืนเดียวเจ้าก็รอไม่ได้?”
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ”
นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องคำสั่งเสียของหลิ่วฉือ
ในตอนที่ไป๋หรูจิ้งบีบให้หยวนฉีจิงอ่านคำสั่งเสีย ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคาดเดาได้ถึงเนื้อหาในคำสั่งเสีย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อยากปฏิบัติตามด้วย
จิ๋งจิ่วเดินไปนั่งลงริมผา ขาทั้งสองข้างแกว่งไปแกว่งมา ก่อนจะพบว่าเท้าของตัวเองอยู่ห่างจากทะเลเมฆมากกว่าปกติ
หยวนฉีจิงเดินมาด้านหลังเขา มองดูเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ขาท่านไม่ยาวเท่าเขา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เมฆคืนนี้อยู่ต่ำเกินไป”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นเจ้าสำนักจริงๆ หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าไม่อยากให้ข้าเป็นเจ้าสำนักขนาดนี้เลยหรือ?”
แสงดาวตกกระทบลงบนใบหน้าของหยวนฉีจิง สีหน้าดูคล้ายหิมะ
เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แล้วก็ไม่ได้โกรธ
เมื่อสามร้อยปีก่อนข้าอยากให้ท่านเป็นเจ้าสำนัก แต่สุดท้ายใครกันล่ะที่ไม่ยอมเป็น ทั้งยังให้หลิ่วฉือเป็นด้วย?
“ท่านใช่คนที่เหมาะจะเป็นเจ้าสำนักหรือ?”
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หลิ่วฉือเลอะเลือนจริงๆ!”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร สติปัญญา ความสามารถในการคิดคำนวณ ความสามารถในการวางกลอุบาย จิ๋งจิ่วล้วนแต่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เป็นตัวเลือกท ที่สมบูรณ์แบบสำหรับตำแหน่งเจ้าสำนักชิงซาน
แต่ปัญหาก็คือหยวนฉีจิงรู้ว่าเขามีโรคประหลาด
โรคขี้เกียจ
หลิ่วฉือเองก็ทราบดีถึงจุดนี้ แล้วเหตุใดถึงยังเขียนชื่อจิ๋งจิ่วเอาไว้ในคำสั่งเสีย
สำหรับหยวนฉีจิงแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ง่ายมาก ที่หลิ่วฉือทำแบบนี้ก็เพื่อขวางตัวเขาเอาไว้
ไม่ต้องสนใจฟางจิ่งเทียนหรือว่านักพรตกว่างหยวน แล้วก็ไม่ต้องสนใจความเห็นของศิษย์บนยอดเขาเทียนกวง หากหยวนฉีจิงอยากจะเป็นเจ้าสำนักชิงจริงๆ ใครจะหยุดเขาได้?
ต่อให้ไท่พรตไท่ผิงกลับมาก็ไม่มีประโยชน์ ทอดตามองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน มีเพียงคนเดียวที่ทำให้หยวนฉีจิงยอมถอยไปได้
หลิ่วฉือดูเหมือนเป็นคนอ่อนโยนเรียบง่าย แต่ความจริงกลับเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก เขาใช้วิธีเพียงวิธีเดียวก็สามารถคลี่คลายปัญหาทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นในการสืบทอดของชิงซ ซานได้
จิ๋งจิ่วมองไปยังปลายสุดของทะเลเมฆ กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยาก?”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “ไม่อยากก็ไม่ต้องเป็น หลายร้อยปีที่ผ่านมาท่านก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดมิใช่หรือ?”
จิ๋งจิ่วยังคงทอดตามองออกมา สายตาค่อนข้างซับซ้อน เขากล่าวว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลายปีมานี้ข้าคุยอะไรกับเขา”
หยวนฉีจิงคิดในใจ นี่ท่านคุยกับคนอื่นด้วยหรือ?
“สิ่งที่เขาถามข้าบ่อยที่สุดก็มีแค่ไม่กี่ประโยคนั้น ท่านมาเป็นเจ้าสำนักไหม? เจ้าสำนักให้ท่านมาเป็น? ไม่อย่างนั้นท่านมาเป็น? ท่านมาเป็นสิ?”
จิ่งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าเป็นก็เป็น”
ลมพัดผ่านภูเขา
บอกให้เป็นก็เป็น
ยอดเขาเงียบสงัดเป็นเวลานาน
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “การกระตุ้นใช้กับท่านไม่ได้ผล แต่สุดท้ายท่านก็ทำเพื่อกระบี่แบกสวรรค์”
ถึงแม้จะเป็นปลอกกระบี่ แต่ทุกคนในชิงซานเคยชินที่จะเรียกมันว่ากระบี่
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร เจ้าสำนักนี้ข้าไม่เป็นก็ได้ แต่อย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่ข้าจะหยิบปลอกกระบี่ออกมา
หยวนฉีจิงทะยานขึ้นไปในอากาศเตรียมจากไป เขากล่าวว่า “ในเมื่อเป็นแล้วก็เป็นให้ดีๆ”
จิ๋งจิ่วโบกมือเพื่อบอกให้เขารีบไป
หยวนฉีจิงไม่รีบร้อนที่จะไป เขากล่าวว่า “งานฉลองจะจัดขึ้นเมื่อไร?”
เรื่องใหญ่อย่างการสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักชิงซานย่อมต้องเฉลิมฉลอง นี่จะต้องเป็นหนึ่งในงานเลี้ยงฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตอย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ศิษย์ยอดเขาซื่อเยวี่ยเสียหน่อย”
ด้านล่างหน้าผามีเสียงตอบรับอย่างระมัดระวังของเหล่าวานรดังขึ้นมา
“ไม่ใช่ให้ท่านไปปั่นหัวคนอื่น”
หยวนฉีจิงพยายามระงับความรู้สึกโกรธเอาไว้ กล่าวว่า “วันนี้เขาอวิ๋นเมิ่งเปิดข่ายพลังปิดกั้น ท่านรู้ไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร ในเวลาแบบนี้ ชิงซานจะทำตัวเงียบๆ ไม่ได้”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้าจัดการ”
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “อะไรๆ ก็ให้ข้าจัดการ อย่างนั้นจะมีท่านไว้เป็นเจ้าสำนักทำไม?”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่พูดอะไร เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะเอากระบี่แบกสวรรค์ไป
……
……
แสงแรกของวันปรากฏขึ้น ดวงอาทิตย์ยามเช้ายังไม่ลอยขึ้นมา ศิษย์ทั้งสามคนของยอดเขาเสินม่อตื่นขึ้นมาแล้ว
พวกเขายืนอยู่ริมผา มองดูทะเลเมฆที่อยู่เบื้องหน้า รู้สึกว่ายิ่งใหญ่สง่างาม แต่ภายในใจกลับค่อนข้างตื่นเต้น
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือหมู่ยอดเขา ทะเลเมฆเกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครมาเยือน
ยอดเขาเสินม่อยังคงเงียบสงัดเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน เหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ยังคงอ้างว้างโดดเดี่ยว
หยวนฉวี่และผิงหย่งเจียสบตากัน ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว คนที่บำเพ็ญพรตแสวงหาความเงียบสงบ อีกทั้งเจ้าสำนักก็มิใช่ฮ่องเต้ ไหนเลยจะมีภาพเหมือน อย่างการเข้าเฝ้าเกิดขึ้นได้
กู้ชิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาส่ายศีรษะพลางหยิบเอากาเหล็กขึ้นมาเตรียมต้มชา
เมื่อเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักแล้วก็คล้ายจะไม่มีอะไรต่างไปจากเมื่อก่อน นอกจากความรู้สึกผ่อนคลาย ภายในใจก็เกิดความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเวลานี้เอง เหล่า าวานรที่อยู่ด้านล่างหน้าผาพลันส่งเสียงร้องขึ้นมา กู้ชิงเงี่ยหูฟังอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “ด้านล่างมีคนมาขอพบเจ้าสำนัก”
หยวนฉวี่มองลงไปด้านล่างภูเขา สายตาถูกเมฆหมอกบดบัง แล้วก็ไม่ได้ยินตรงนั้น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าตรงนั้นมีไอร้อนอยู่สายหนึ่ง แล้วก็คล้ายได้ยินเสียงหึ่งๆ เหมื อนเสียงผึ้ง
ทั้งสามคนลงมาด้านล่างภูเขา พบว่ามีผู้อาวุโสจากยอดเขาต่างๆ จำนวนหลายคนเดินทางมา
ผิงหย่งเจียกังวลใจเล็กน้อย เขากล่าวถามว่า “นี่พวกเขาจะมาขู่อาจารย์หรือ?”
……
……
เจ้าสำนักชิงซานมิใช่ฮ่องเต้ ไม่มีงานราชการอะไรต้องจัดการ แล้วก็ไม่มีการจับพรรคจับพวกขัดแข้งขัดขากันเหมือนอย่างในราชสำนัก ผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ เดินทางมาก็เพราะมีเรื่องที่จ จำเป็นต้องให้เจ้าสำนักคนใหม่จัดการจริงๆ
หลังจากนักพรตหลิ่วฉือจากไป เรื่องราวในสำนักล้วนแต่เป็นหยวนฉีจิงเป็นคนจัดการ แต่ถึงอย่างไรมันก็มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าสำนักต้องเป็นคนตัดสินใจ ต่อให้เรื่องราวในสำนักบำเพ็ญพ พรตจะมีไม่มาก แต่ช่วงเวลาสามปีมันก็สะสมเอาไว้เป็นจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน
กู้ชิงเข้าไปคารวะอาจารย์ลุงจากยอดเขาต่างๆ ก่อนกล่าวถามว่าพวกเขามาเยือนด้วยเรื่องใด
ตอนนี้เขาเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนัก แล้วยังเป็นอาจารย์ของรัชทายาท เหล่าผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ ย่อมไม่มีทางมองเขาเป็นศิษย์ธรรมดา จึงมิกล้ารอช้า ประสานมือคารวะกลับไป จากนั้ นพูดถึงความประสงค์ของตัวเอง ขอให้เขาไปรายงานท่านเจ้าสำนัก
ก่อนหน้านี้ยอดเขาเสินม่อไม่เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกู้ชิงคิดว่าอาจารย์จะต้องไม่ยอมจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะ….ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกได้ถึงความ มกดดันอันหนักอึ้ง
หยวนฉวี่กล่าวว่า “เชิญอาจารย์ลุงทุกท่านขึ้นไปบนเขาก่อนค่อยว่ากัน”
ผิงหย่งเจียที่อยู่ข้างๆ กล่าวเตือนเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “อาจารย์ไม่ชอบความวุ่นวาย”
กู้ชิงคิดในใจว่าคำพูดนี้มีเหตุผล จึงเชิญผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ ไปยังกระท่อมไม้หลังเล็กหลังนั้น
กระท่อมหลังเล็กหลังนี้เป็นกระท่อมที่เขาสร้างขึ้นด้วยกันกับพวกลิงเมื่อสามสิบปีก่อน เขาเคยพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปี เสี่ยวเหอเองก็เคยพักอยู่ที่นี่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต ตอนนี้มันถูกใช้สำหรับรับแขกของยอดเขาเสินม่อ ให้ความรู้สึกเป็นเหมือนป้อมยามตรงประตูหน้าของยอดเขาเสินม่อ
ผู้อาวุโสของยอดเขาต่างๆ พบว่าตนเองถูกเชิญให้มาอยู่ในที่แบบนี้ จึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร ในใจคิดว่าหรือหลังจากนี้เวลาที่มีเรื่องมารายงานเจ้าสำนัก ก็ต้องเดินขึ้นมารออยู่ท ที่นี่? ในกระท่อมไม้นี้กระทั่งเก้าอี้ก็มีไม่พอ แล้วจะนั่งอย่างไร?
กู้ชิงมองออกว่าเหล่าอาจารย์ลุงไม่ค่อยพอใจเท่าไร จึงตะโกนบอกพวกลิงให้ไปขนตอไม้มา แล้วก็ให้หยวนฉวี่กับผิงหย่งเจียอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพวกเขา จากนั้นตัวเองขึ้นไปบนยอดเขา
……
……
กู้ชิงเป็นคนที่ระมัดระวังและละเอียดลออ เขาจดจำเรื่องที่เหล่าผู้อาวุโสรายงานเอาไว้อย่างชัดเจน ก่อนจะรายงานให้จิ๋งจิ่วฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว ในใจคิดว่าเรื่องเหล่านี้มีแต่จะทำให้เขาหงุดหงิด
จิ๋งจิ่วมิได้หงุดหงิด
เขารู้แต่แรกแล้วว่าหากเป็นเจ้าสำนัก สักวันต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จึงกล่าวกับกู้ชิงว่า “ต่อไปเรื่องแบบนี้ไม่ต้องมารายงานข้า เจ้าจัดการเองเลย”
ถึงแม้กู้ชิงจะคาดเดาถึงความเป็นไปได้นี้ได้แต่แรกแล้ว แต่ในตอนที่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ เขาก็ยังรู้สึกไม่อาจยอมรับได้
มิน่าอาจารย์ถึงได้พาตัวเองกลับมาจากเมืองเจาเกอ — เมื่อเทียบกับการเป็นตัวแทนของเจ้าสำนักชิงซานแล้ว การสอนจิ่งซินว่าควรจะเป็นฮ่องเต้อย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยจริงๆ
แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่มีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นถึงจะตัดสินใจได้ ท่านโยนมันมาให้ข้าจัดการง่ายๆ เช่นนี้ มันไม่ไร้ความรับผิดชอบไปหน่อยหรือ?
เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกกดดันที่หนักอึ้ง จึงกล่าวอย่างขมขื่นออกไปว่า “ข้าไม่ใช่ขันทีจดบันทึกแซ่เหอนะขอรับ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่ฮ่องเต้แคว้นจ้าว”