มรรคาสู่สวรรค์ - [ภาคที่ 6] ตอนที่ 1 บอกว่าจิ๋งจิ่ว ทำไมถึงเป็นจิ๋งจิ่ว?
นับพันปี : แด่สื่อจื้อเต้าที่ปกป้องจินหลิง
สมัยซ่ง : ซินชี่จี๋
เมื่อมีท่านปกปักษ์รักษา ป้อมปราการปลอดภัยทุกวันคืน ท่านคือผู้ปรีชาสามารถ พิชิตอริราชย์แม้นไม่ลงมือ จินหลิงแข็งแกร่งดุจเหล็กเพราะท่าน เกิดเป็นบรรยากาศใหม่ ฤดูใบไม้ผลิใกล้ มาเยือน ดอกเหมยใกล้ร่วงโรย แต่คนกลับไม่โรยรา
เร่งดื่มกันเสียเถิด อีกไม่นานท่านคงถูกเรียกตัว หากยังคงรั้งอยู่นี่ ยากที่ได้แสดงความสามารถ กลับไม่ยังราชสำนัก ยึดเอาภาคกลางกลับมา จากวันนี้นับพันปี เป็นอัครมหาเสนาบดีที่ มากความสามารถไปตลอดการ
……
……
จากขั้นมีกฎเกณฑ์ไปจนถึงขั้นรักษาจิต จากขั้นปัญญาเห็นแจ้งไปจนถึงขั้นตั้งมั่น จากขั้นสมความนึกคิดไปจนถึงขั้นมิประจักษ์ จากขั้นคเนจรแหวกทะเลไปจนถึงขั้นทะลวงสวรรค์ สภาวะของสำนั กชิงซานถูกแบ่งออกเป็นขั้นๆ เช่นนี้ สำหรับเจ้าล่าเยวี่ย จัวหรูซุ่ยและชื่อที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในเรื่องราวนี้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดา ดูแล้วง่ายดายเป็นอย่างมาก แต่ความจริ งแล้วมันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น
การบำเพ็ญเพียรถือเป็นเรื่องที่มีความยากลำบากอย่างมากเรื่องหนึ่ง สภาวะแต่ละสภาวะสามารถขัดขวางผู้บำเพ็ญพรตเอาไว้ได้มากกว่าครึ่ง ปัญญาเห็นแจ้งไปจนถึงขั้นแหวกทะเลต้องบรรลุสภาวะ ถึงห้าขั้น สามารถคิดคำนวณออกมาได้อย่างง่ายดายเลยว่าผู้บำเพ็ญพรตที่สามารถเดินไปถึงขั้นนั้นได้นั้นเรียกได้ว่ามีแค่หนึ่งในพัน
ผู้บำเพ็ญพรตบางคนมีพรสวรรค์ไม่พอ แต่กลับมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะใช้วันเวลามาทำให้ตนเองก้าวข้ามประตูบานนั้นไปให้ได้ แต่ปัญหาก็คือสภาวะของเจ้าไม่สูงพอ แล้วเจ้าจะมีวันเว วลามากน้อยเท่าไหร่ล่ะ?
ดังนั้นผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากจึงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนเองไม่มีหวังที่จะได้บรรลุกลายเป็นเซียน จากนั้นก็มั่นใจว่าตนเองจะหยุดอยู่ในสภาวะใดสภาวะหนึ่งไม่ก้าวหน้าไปไหน รู้ว่าตนเอง งจะมีชีวิตอยู่ในสภาวะนี้ แล้วก็จะตายไปในสภาวะนี้
เป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังอย่างมาก
แต่ก็เหมือนกับการตายของคนธรรมดา เมื่อเรื่องที่สิ้นหวังเกิดบ่อยครั้งขึ้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องปกติไปโดยปริยาย
นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความด้านชา แต่ความจริงแล้วมันก็คือการที่ไม่ไปคิดถึงมัน
หมิงกั๋วซิ่งก็คือศิษย์ชิงซานคนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ เขาบรรลุเข้าสู่สภาวะขั้นมิประจักษ์ได้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว หลังจากนั้น…ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว
หลายปีมานี้เขารับผิดชอบหน้าที่จดบันทึกรายชื่อผู้ที่มาเยือนชิงซานอยู่ตรงประตูสำนัก ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์เซียน แต่ทำงานของผู้ดูแล จนกระทั่งในช่วงสองปีนี้เขาอาศัยประสบการณ์ใ ในการทำงานมาเป็นระยะเวลายาวนานจนได้เข้ามาเป็นอาจารย์ในศาลาหนานซงในที่สุด แต่ในเรื่องของสภาวะยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่มีหวังใดๆ
เขาไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะโชคดีเหมือนอย่างศิษย์พี่หลี่ว์ที่ได้พบเจอลูกศิษย์แบบนั้น จากนั้นก็ได้กลับไปในยอดเขาทั้งเก้า รับยาวิเศษและพยายามบรรลุสภาวะ
แต่ว่าวันเวลาในศาลาหนานซงเองก็สบายเป็นอย่างมาก ความรู้สึกเคารพเลื่อมใสในสายตาของเด็กหนุ่มสาวเหล่านี้มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขจริงๆ
และเป็นเพราะสายตาที่เคารพเลื่อมใสเหล่านี้ หมิงกั๋วซิ่งจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะเล่าอะไรให้ฟังหน่อย เขาเลิกคิ้วขึ้นมาพลางกล่าวว่า “รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักเสวียนหลิงแล้วใช ช่ไหม?”
ลูกศิษย์นอกสำนักเหล่านั้นพากันพยักหน้า รอฟังคำพูดต่อไปอย่างตื่นเต้น มีบางคนที่ทนไม่ไหวจนตะโกนออกมา
“เป็นอาจารย์อาจิ๋งจิ่ว!”
“อาจารย์อาเล็กยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”
หมิงกั๋วซิ่งยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “พวกเจ้ารู้ว่าเขาเองก็มาจากศาลาหนานซง แต่พวกเจ้าน่าจะไม่รู้ว่าในตอนนั้นข้าคือคนที่พาเขาเข้ามาในชิงซาน”
หากการที่คอยถามชื่อแซ่และจดบันทึกอยู่ตรงหน้าประตูสำนักก็ถือเป็นการพาเข้ามาในสำนักแล้วล่ะก็นะ…เขาคิดอยู่ในใจ เพราะอย่างไรเสียศิษย์พี่หลี่ว์ก็คงไม่มาที่ศาลาหนานซงแล้ว ว
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ศิษย์นอกสำนักเหล่านั้นต่างรู้สึกตกใจ สายตาที่มองดูหมิงกั๋วซิ่งยิ่งดูเร่าร้อน พากันสอบถามว่าอาจารย์อาจิ๋งจิ่วเป็นคนอย่างไรกันแน่ หมิงกั๋วซิ่งลูบเครา ของตัวเอง หรี่ตาเล็กน้อย คล้ายกำลังหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ในเวลานั้น “เด็กหนุ่มในเวลานั้น ชุดขาวพลิ้วไหว งดงามจนมิอาจบรรยายได้ เพียงแค่มองดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา…”
เสียงของเขาพลันหยุดชะงักไป
ศิษย์นอกสำนักรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าเป็นอะไร?
หมิงกั๋วซิ่งเดินไปริมหน้าต่าง ทอดตามองดูหมู่ยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งขึ้นมา
……
……
ท้องฟ้ายามเย็นส่องสว่างธารสี่เจี้ยน ดูคล้ายกับแส้สีทองที่เทพเจ้าถืออยู่ในมือ พร้อมที่จะลอยจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้าทุกเมื่อ สะบัดฟาดไปทั่วทุกที่บนแผ่นดิน
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนยังไม่ได้สืบทอดกระบี่ จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปบนยอดเขาเทียนกวง แต่เมื่อเทียบกับศิษย์นอกสำนักที่อยู่ที่ศาลาหนานซงแล้ว อย่างน้อยพวก กเขาก็ทราบถึงเรื่องใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นเรื่องนั้น ไหนเลยจะมีใจมองดูทิวทัศน์ที่งดงามที่มองดูมาเป็นเวลาหลายปีอีก สายตาของพวกเขาทอดมองไปยังยอดเขาเทียนกวงที่อยู่ห่างไกล พลางถก กเถียงกันเสียงเบาๆ ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นเจ้าสำนักคนใหม่
มีบางคนถึงขนาดคิดไปไกลกว่านั้น พวกเขาคิดว่าหลังจากนี้อีกหลายร้อยปี ในบรรดาศิษย์รุ่นที่สาม ใครกันที่มีโอกาสจะได้กลายเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป?
กั้วหนานซานเป็นศิษย์คนแรกของสำนักชิงซาน จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนัก ดูแล้วมีหวังเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็มีอีกสองสามชื่อที่ถูกพูดถึงขึ้นมา
จากนั้นก็มีลูกศิษย์ที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวก็ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่ามานี้
“พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าอาจารย์อาหญิงล่าเยวี่ยกับอาจารย์อาจิ๋งยังอายุน้อยอยู่”
ถูกต้อง เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วคืออาจารย์ แต่อายุกลับยังน้อยเสียกว่าคนอื่นๆ อย่างกั้วหนานซานและจัวหรูซุ่ยเสียอีก
ลูกศิษย์จะไปแย่งตำแหน่งเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสได้อย่างไร?
ผู้อาวุโสสองคนนี้ยังอายุน้อยขนาดนี้ คิดอยากจะให้พวกเขาแก่ตายนั้นเป็นไปไม่ได้
แบบนี้แล้ว ผ่านไปอีกสักหลายร้อยปี หรืออาจารย์อาเล็กจะเป็นเจ้าสำนักได้จริงๆ?
……
……
ท้องฟ้ายามเย็นปกคลุมหมู่ยอดเขา
ยอดเขาเทียนกวงกำลังรับแสงสุดท้ายของวัน บนยอดเขายังคงสว่างไสว ทุกอย่างยังดูชัดเจน
ไม่มีใครพูดอะไร เพราะว่าตกตะลึง
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังเก้าอี้ตัวนั้น
นั่นคือสิ่งที่เป็นตัวแทนของตำแหน่งเจ้าสำนักของชิงซาน
นี่มันอะไรกัน?
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมจิ๋งจิ่วถึงไปนั่งอยู่ตรงนั้น?
ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองตาลายหรือเปล่า หรือว่าตาบอดแล้ว
หยวนกุยเชื่องช้า กระบี่แบกสวรรค์ถูกดึงออกไปแล้วมันถึงเพิ่งจะรู้สึกตัว จึงร้องไอหยาขึ้นมา
เสียงร้องไอหยานี้ปลุกให้ทุกคนได้สติขึ้นมา
ทุกคนต่างร้องไอหยาภายในใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดสามพยางค์ที่จิ๋งจิ่วเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อครู่นี้
“ข้าเป็นเอง”
……
……
เจ้าจะเป็นอะไร?
เป็นลมเป็นฝน?
เป็นอาจารย์หรือว่าเป็นผู้อาวุโส?
คงไม่ใช่ว่า…เจ้าจะมาเป็นเจ้าสำนักหรอกนะ?
……
……
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก้มหน้ามองดูปลอกกระบี่แบกสวรรค์ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมา
สายตาที่ทุกคนมองดูเขาค่อยๆ เปลี่ยนจากสับสนกลายเป็นความงุนงง จากนั้นกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่สุดท้ายจะกลับเป็นความสับสนอีกครั้ง
เจ้าจะมาเป็นเจ้าสำนักชิงซาน?
นี่มันช่างเหลวไหลสิ้นดี!
ถูกต้อง เรื่องนี้มันเหลวไหลเป็นอย่างมาก กระทั่งเจ้าแห่งยอดเขาและผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะโกรธหรือว่าควรจะหัวเราะออกมาดี
หนานว่างเลิกคิ้วขึ้นมา รู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าสนใจเป็นอย่างมาก จึงกล่าวว่า “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
นักพรตกว่างหยวนเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูจิ๋งจิ่วอย่างสงสัยใคร่รู้
ในเมื่อเป็นเรื่องเหลวไหล เช่นนั้นก็ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นสำนักชิงซานจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
หยวนฉีจิงยังคงนิ่งเงียบอย่างน่าประหลาด แต่สุดท้ายก็มีคนบางคนที่โมโหเร็วกว่าคนอื่นๆ
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
ไป๋หรูจิ้งเดินออกมาจากกลุ่มคน มองดูจิ๋งจิ่วพลางตะคอกเสียงดัง
ไม่มีใครคิดว่าผู้อาวุโสไป๋เสียมารยาท เพราะหลายๆ คนต่างรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วบ้าไปแล้ว หากมิเป็นเพราะวันนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ ความจริงทุกคนนั้นอยากจะพูดคำพูดติดปากของชิงซานประโยค นั้นกับจิ๋งจิ่วเสียด้วยซ้ำ —- การคัดเลือกเจ้าสำนักชิงซานเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความสำคัญขนาดไหน ต่อให้เจ้าเป็นจิ๋งจิ่วก็จะมาทำเหลวไหลแบบนี้ไม่ได้!
ในเวลานี้ศิษย์หนุ่มที่ในเวลาปกติเคารพเลื่อมใสจิ๋งจิ่วเป็นอย่างมากอย่างเยาซงซานและเหลยอี้จิงต่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมาก ถึงกับเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
กระทั่งคนที่หนังหน้าหนาเหมือนอย่างจัวหรูซุ่ยก็ยังรู้สึกร้อนใจขึ้นมา ใช้มือพัดใบหน้า
คนของยอดเขาเสินม่อย่อมต้องยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะทนไม่ไหว ใบหน้าของกู้ชิงค่อนข้างขาวซีด ถึงแม้หยวนฉวี่และผิงหย่งเจียจะไม่ได้กอดกันจริงๆ แต่พวกเขากลับตัวสั่นขึ้นมา
มีเพียงเจ้าล่าเยวี่ยที่ยังมีสีหน้าสงบนิ่ง คล้ายไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันมีความร้ายแรงเพียงใด
……
……
จิ๋งจิ่วเองก็สงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่ใช่คนก่อเรื่อง ไม่ใช่เขาที่ไปเหยียบบนหลังของหยวนกุยแล้วดึงกระบี่แบกสวรรค์ออกมา ไม่ใช่เขาที่นั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวนั้นแล้วพูดว่าข้าเป็นเอ อง
เขาดึงสายตาที่มองดูปลอกกระบี่แบกสวรรค์กลับมา ก่อนจะมองดูลูกศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาและบนท้องฟ้าเหล่านั้น สายตาของเขาประสานเข้ากับสายตานับหลายร้อยคู่
“ทำไมมองข้าแบบนี้ล่ะ?”
เขากล่าวว่า “ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้มิใช่ว่าข้าอยากจะเป็นเองเสียหน่อย”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เอามือตบไปบนปลอกกระบี่แบกสวรรค์ ไม่หนักไม่เบา คล้ายไม่ได้มีอารมณ์อะไรเป็นพิเศษ
นี่ไม่เหมือนกับพวกนักกวีที่ยืนเคาะราวกั้นอยู่บนหอสูง หากแต่เหมือนกับชาวประมงที่เอามือตบกราบเรือแล้วร้องเพลงมากกว่า
เจตน์กระบี่สายหนึ่งลอยออกมาจากในปลอกกระบี่
เจ้าแห่งยอดเขาและเหล่าผู้อาวุโสต่างรับรู้ได้อย่างชัดเจน เจตน์กระบี่นี้คือเจตน์กระบี่แบกสวรรค์ของเจ้าสำนัก ไม่มีใครสามารถปลอมแปลงได้
เจตน์กระบี่สายนั้นเจอกับไอหมอกที่ยังหลงเหลืออยู่บนยอดเขาเทียนกวง จับตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องสว่าง ค่อยๆ เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ทุกคนต่างตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือนี่จะเป็นคำสั่งเสียที่เจ้าสำนักทิ้งเอาไว้?
หยดน้ำเหล่านั้นจับตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตัวหนังสือเหล่านั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
ชื่อที่เจ้าสำนักเขียนเอาไว้ในคำสั่งเสียคือชื่อของใครกันแน่?
ฟางจิ่งเทียนหรือว่านักพรตกว่างหยวน หรือว่าจะเป็นเจ้าแห่งยอดเขาคนไหนที่ไม่มีใครคิดถึง อย่างเช่นหนานว่าง?
หนานว่างมองดูตัวหนังสือที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เหล่านั้น อารมณ์ค่อนข้างหนักอึ้ง
นางไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรในตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ แต่ถ้าหากศิษย์พี่รักนางถึงขนาดนี้ นางก็ย่อมต้องรับเอาไว้อย่างแน่นอน
ในที่สุดตัวอักษรเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาจนหมด
เนื้อหาในคำสั่งเสียของนักพรตหลิ่วฉือเรียบง่ายเป็นอย่างมาก มีเพียงแค่หกพยางค์
“ชิงซานเป็นของจิ๋งจิ่ว”
……
……
ตัวอักษรหกพยางค์นี้ไม่มีทางที่จะอ่านผิดหรือพยายามแปลให้เป็นความหมายอื่นได้
คำสั่งเสียของนักพรตหลิ่วฉือมีความชัดเจนเป็นอย่างมาก เจ้าสำนักชิงซานคนต่อไปก็คือจิ๋งจิ่ว
ทุกคนในชิงซานมองไปยังเก้าอี้ัตัวนั้นอย่างตกตะลึงอีกครั้ง เพียงแต่สายตาแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้
เมื่อครู่พวกเขารู้สึกว่าจิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นบ้าไปแล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าโลกนี้มันบ้าไปแล้ว
เป็นจิ๋งจิ่วจริงๆ อย่างนั้นหรือนี่?
ทำไมถึงเป็นจิ๋งจิ่วได้?
……
……
ก่อนที่เข้าสำนัก ศิษย์ชิงซานทุกคนจะถูกสืบข้อมูลทุกๆ อย่างอย่างละเอียด
ประวัติความเป็นมาของจิ๋งจิ่วชัดเจนเป็นอย่างมาก ยอดเขาซั่งเต๋อได้ข้อสรุปออกมาตั้งนานแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ
เขาคือบุตรชายคนที่สองของตระกูลจิ๋งในเมืองเจาเกอ ก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญพรตตั้งแต่เด็ก ออกมาจากบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย เที่ยวแสวงหาวิถีที่จะกลายเป็นเซียน ก่อนจะถูกศิษย์แซ่หลี ว์คนหนึ่งของยอดเขาซั่งเต๋อพบตัวเข้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงถูกพากลับมายังชิงซาน หลังจากนั้นเขาก็ผ่านการสืบทอดกระบี่ ทดสอบกระบี่ งานชุมนุมเหมยฮุ่ย งานชุมนุมแสวงมรรค คา เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และได้กลายเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในชิงซานและทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
ศิษย์ชิงซานจำนวนมากอย่างเช่นเยาซงซานและเหลยอี้จิงต่างเคารพเลื่อมใสในตัวเขาเป็นอย่างมาก ในสำนักชิงซาน คำว่าอาจารย์อาเล็กได้กลายเป็นคำนามที่ใช้เรียกเขาโดยเฉพาะ
พรสวรรค์ของเขาได้ก้าวข้ามขอบเขตของอัจฉริยะทั่วๆ ไป ความรวดเร็วในการบรรลุสภาวะอาจจะจัดอยู่ในอันดับแรกของประวัติศาสตร์ชิงซานได้ด้วยซ้ำ
หลังจากศึกถล่มสำนักกระบี่ซีไห่ เป็นเพราะเรื่องราวบางอย่าง ทำให้หลายๆ คนต่างพากันคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่างเงียบๆ กระทั่งสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นลูกลับๆ ของนักพรตจิ่งห หยาง
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จิ๋งจิ่วก็เป็นเพียงคนหนุ่มคนหนึ่ง
เขาเข้ามาเรียนกระบี่ในชิงซานได้เพียงสามสิบกว่าปีเท่านั้น สภาวะของเขาเมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงแล้วยังถือว่าห่างไกลนัก
ทำไมนักพรตหลิ่วฉือถึงได้มอบชิงซานให้เขา?
ยอดเขาเทียนกวงเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใดๆ
ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
คำสั่งเสียของเจ้าสำนักเหลวไหลถึงเพียงนี้ พวกเขาจะยอมรับได้อย่างไร?
แต่นั่นมันคือคำสั่งเสียนะ
ในเวลานี้เอง ในที่สุดของมีคนก้าวออกมา
“ข้าคัดค้าน!”
คนที่ก้าวออกมาคัดค้านคำสั่งเสียของนักพรตหลิ่วฉือมิใช่หยวนฉีจิงที่เมื่อครู่นี้ไม่อยากอ่านคำสั่งเสีย แล้วก็ไม่ใช่นักพรตกว่างหยวนที่มีสภาวะสูงที่สุดถัดจากเขา กระทั่งผู้อาวุโสรุ นที่สองก็ไม่ใช่ หากแต่เป็นศิษย์หนุ่มรุ่นที่สามคนหนึ่ง ชื่อของเขาคือเจี่ยนหรูอวิ๋น
เจี่ยนหรูอวิ๋นมาจากยอดเขาอวิ๋นสิง อยู่ในอันดับที่สี่ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง แล้วก็เคยได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะเช่นเดียวกัน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็เป็นแค่เพียงศิษย์หนุ่มธรรม มดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครคิดถึงว่าเขาจะกล้าก้าวออกมาเป็นคนแรก
ศิษย์ชิงซานจำนวนมากต่างรู้สึกตกใจ คนที่รู้เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นกลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
น้องชายแท้ๆ ของเจี่ยนหรูอวิ๋นถูกมารเผ่าหมิงสังหารเพราะไปสืบเรื่องคดีการตายของจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หู หนี้แค้นนี้ถูกเขาโยนมาให้จิ๋งจิ่วกับหลิ่วสือซุ่ย
แล้วเขาจะยืนมองดูจิ๋งจิ่วกลายเป็นเจ้าสำนักชิงซานได้อย่างไร?
ไม่ ต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่เห็นด้วย
จิ๋งจิ่วคิดได้ว่าจะต้องมีคนออกมาคัดค้านอย่างแน่นอน
ไม่ว่าคนที่ออกมาคัดค้านจะเป็นใครเขาก็ล้วนแต่ไม่ใส่ใจ เขาเพียงแต่มองดูหยวนฉีจิงเท่านั้น
ตามกฎสำนักชิงซาน กฎแห่งกระบี่ควรจะเป็นคนตัดสินปัญหานี้
“ตำแหน่งเจ้าสำนักกำหนดตามคำสั่งเสีย นี่คือกฎสำนัก”
หยวนฉ๊จิงมองเจี่ยนหรูอวิ๋นพลางกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไร?”
มีเพียงคำสั่งเสียก็พอแล้ว
อย่างน้อยกฎสำนักก็เขียนเอาไว้แบบนี้
“เป็นศิษย์ชิงซาน ไม่ทำตามคำสั่งเสียของเจ้าสำนักมีโทษถึงตาย”
เจี่ยนหรูอวิ๋นบินลงมาบนยอดเขา คารวะหยวนฉีจิงพลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “หลังเสร็จจากเรื่องนี้ข้าจะใช้ความตายชดเชยความผิด แต่ข้าก็ยังคงคัดค้านอยู่”
นี่หมายความว่าข้าทำข้ารับผิดชอบเอง
ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับกฎแห่งกระบี่ แต่ใบหน้าของเขาก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัว ไม่มีท่าทีว่าจะถอยแม้แต่น้อย
ก็ถูก กระทั่งความตายยังไม่กลัว แล้วยังจะมีอะไรทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้?
การแสดงท่าทีที่ดูน่าโศกเศร้าอาดูรเช่นนี้ ดูแล้วช่างน่าประทับใจจริงๆ
มีผู้บำเพ็ญพรตเพียงไม่กี่คนที่ยอมสละชีวิตเพื่อทำเรื่องเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหยุดยั้งเรื่องๆ หนึ่ง
หยวนฉีจิงกล่าวว่า “การคัดค้านของเจ้าไม่สำคัญ”
ความจริงแล้ว การตายของเจี่ยนหรูอวิ๋นไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อสำนักชิงซานเช่นเดียวกัน
เขายืนอยู่บนยอดเขา ดูค่อนข้างโดดเดี่ยว
ทันใดนั้นมีลมพัดขึ้นมา
ศิษย์ชิงซานที่รูปร่างค่อนข้างอ้วนคนหนึ่งบินลงมาบนยอดเขา ยืนอยู่ข้างๆ เจี่ยนหรูอวิ๋น
หยวนฉีจิงและเหล่าเจ้าแห่งยอดเขาไม่รู้จักเขา ถ้าหากบอกว่าคำพูดของเจี่ยนหรูอวิ๋นยังพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง แล้วเจ้าอ้วนนี่เป็นใคร?
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าเขาชื่อหม่าหวา สภาวะธรรมดา แต่ความคิดกลับซับซ้อน นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่คนผู้นี้ก็ก้าวออกมาเช่นกัน
ในชิงซานมีคนจำนวนมากที่เคารพเลื่อมใสจิ๋งจิ่ว แล้วก็ย่อมต้องมีคนที่ริษยา เกลียดชัง หรือกระทั่งโกรธแค้นเขา
ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป มีศิษย์ชิงซานอีกสิบกว่าคนบินลงมาบนยอดเขา ยืนอยู่ด้านหลังเจี่ยนหรูอวิ๋น
หยวนฉีจิงบอกว่าชีวิตของเจี่ยนหรูอวิ๋นไม่สำคัญ อย่างนั้นชีวิตของศิษย์ชิงซานสิบกว่าชีวิตรวมกันล่ะ?