มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 127
ตอนที่ 127 อันดับหนึ่งของเขตแดนใต้
หยางเย่รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดจนถึงขั้นปล่อยจิ้งจอกขาวลง หัวใจเขาเต้นรัวเมื่อเห็นมันมองมาอย่างดุร้าย ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามันน่ารักอย่างมาก แต่ลืมไปว่ายังไงมันก็คือยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นสตรี!
หยางเย่ยิ้มอย่างเขินอาย “ข้าขอโทษ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก!”
“เจ้าไม่ทราบหรือว่าห้ามแตะหางจิ้งจอก?” จิ้งจอกสีขาวมองไปยังหยางเย่พร้อมเอ่ยด้วยน้ําเสียงไม่พอใจอย่างมาก
“ทําไมกัน?” หยางเย่สับสนเล็กน้อย ” ข้ามักจะกอดสหายตัวจ้อยและจับหางของมันตลอด!”
จิ้งจอกขาวมองหยางเย่อยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนว่าหยางเย่ไม่ได้โกหก จากนั้นมันรีบเปลี่ยนเป็นประกายแสงสีขาวก่อนจะพุ่งเข้าไปในตัวหยางเย่ ทันใดนั้นได้มีเสียงปรากฏดังในหูของเขา ” เอาล่ะ ข้าลืมบอกเจ้าว่าข้ามีศัตรูอยู่เล็กน้อย อย่างเช่นจักรวรรดิต้าฉิน ราชวังบุปผาราชวังหิมะ กล่าวคือมหาอํานาจในแขนแดนใต้แทบทั้งหมดเป็นศัตรูของข้า หากพวกเขาทราบว่าข้าได้ปรากฏตัวเช่นนั้น พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่ เพื่อการดีที่สุดสําหรับความปลอดภัยของพวกเรา เจ้าไม่ควรจะทําให้ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณขุ่นเคืองในอนาคต หรือแม้เกิดเจ้ามีเรื่องขึ้นก็อย่าขอให้ข้าออกไปช่วย เพราะเมื่อทําเช่นนั้นแล้ว เจ้าจะกลายเป็นศัตรูกับเขตแดนใต้อย่างเปิดเผย!”
ทันทีที่กล่าวจบ ภาพตรงหน้าหยางเย่ได้หายไป
เวลานี้หยางเย่ทําได้เพียงครุ่นคิดในใจ “มันเป็นกลอุบาย!”
ผ่านไปชั่วครู่ หยางเย่ได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขากลับมาที่ห้องก่อนหน้านี้ และ มีฉินชี่เยว่กําลังยืนจ้องมองเขาอยู่
“นางใช้ภาพลวงตากับเจ้างั้นหรือ?” ฉินชี่เยว่ถามเมื่อได้เห็นหยางเย่เปิดตา
หยางเย่พยักหน้าก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น แต่เดิมเขาคิดว่าจะได้องครักษ์ที่ร้ายกาจ หารู้ไม่ว่ามันกลับกลายเป็นต้นตอของปัญหา และยังเป็นปัญหาที่ทําให้เขากลายเป็นศัตรูกับเขตแดนใต้หากเลินเล่อ
เขาไม่สงสัยในคําก่อนหน้านี้ของนางแม้แต่น้อย เพราะราชวงศ์ชางได้ถูกเข่นฆ่ากันหมด ดังนั้น มันจึงสมเหตุสมผลที่นางกล่าวมาทั้งหมดว่ามหาอํานาจเหล่านั้นคงไม่ปล่อยนางไป
”นางอยู่ที่ไหนแล้ว?” ฉินชี่เยว่ไม่ได้เอ่ยถามว่าสนทนาอะไรกัน เพราะนางเองก็ทราบสถานะตนเองดี
หยางเย่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว ”นางอยู่กับสหายตัวจ้อย!”
บางอย่างก็ไม่จําเป็นต้องปิดบังสตรีตรงหน้าอีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นถึงแม้เขาจะปกปิด มันก็ไม่สามารถหลอกหลวงสตรีปากร้ายผู้นี้ได้นานนัก เขาเชื่อว่าฉินชี่เยว่ทราบถึงของวิเศษในตัวเขาแล้ว แต่แค่ไม่ทราบข้อมูลที่ละเอียด
ไม่นานมุมปากของนางได้เผยรอยยิ้มเมื่อได้ยินหยางเย่บอกความจริง ” เช่นนั้นพวกเราควรทําอย่างไรต่อไป?”
”นางสัญญาว่าจะพาพวกเราไปยังสุสานหลัก!” หยางเย่เผยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปทางโลงศพและหันไปมองฉินชี่เยว่ ”มาทางนี้!”
ฉินชี่เยว่เดินมาถึงข้างหยางเย่ ทันใดนั้นห้องได้สั่นสะเทือนเล็กน้อย ไม่นาน จุดที่พวกเขาอยู่ได้เริ่มลดระดับลง และในที่สุดพวกเขาก็เข้าไปถึงชั้นใต้ดิน
ไม่ทราบเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แต่หยางเย่รู้สึกได้ว่ามาถึงพื้นแล้วก่อนจะเปิดตากว้าง
ฉากตรงหน้าทําให้เปลือกตาของเขากระตุก
ห้องตรงหน้าเขานั้นใหญ่กว่าห้องที่เคยอยู่เมื่อกี้ถึงสิบเท่า แน่นอนว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดคือห้องนี้ทําจากทอง! ถูกต้อง ทั้งพื้นที่ยืนอยู่หรือกําแพงรอบด้านนั้นเป็นทองคําหมด!
ไม่นานหยางเย่มองไปยังกลางห้อง เหมือนกับห้องก่อนหน้านี้ มันมีโลงศพอยู่ตรงกลาง แต่มันต่างจากฉากก่อนหน้านี้เล็กน้อย เพราะในห้องนี้มีรูปปั้นองครักษ์เกราะทองสิบสองคนยืนอยู่รอบโลงศพ
“นี่คือโลงของจักรพรรดิโจวใช่หรือไม่?” หยางเย่ถามพร้อมมองไปยังโลงศพ
“น่าจะเป็นเช่นนั้น!” ฉินชี่เยว่กล่าวจากด้านข้าง ” หลายปีก่อน จักรพรรดิโจวมีองครักษ์ทองคําอยู่สิบสองคน และรูปปั้นองครักษ์ตรงหน้าก็คงเป็นสิบสองคนนั้น ดังนั้นโลงศพที่ถูกปกป้องโดยองครักษ์ทั้งสิบสองนี้น่าจะเป็นจักรพรรดิโจว
“สิบสององครักษ์ทองคํา?” หยางเย่สับสนเล็กน้อย
ฉินชี่เยว่พยักหน้า ท่าทีของนางดูเคร่งขรึมก่อนจะเอ่ย ” พวกเขาทั้งสิบสองคนเป็นย อดฝีมือขั้นปราณจุติสูงสุด และกล่าวได้ว่าพวกเขาได้ปลูกฝังความหวาดกลัวให้จักรวรรดิต้าฉิน และสํานักต่าง ๆ หากจักรพรรดิโจวไม่คิดจะกําจัดสํานักทั้งหลายทิ้ง ราชวงศ์ชางคงไม่พังพินาศจากการรวมพลังของมหาอํานาจทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนั้น แค่สิบสององครักษ์เหล่านี้ก็สามารถทําให้ราชวงศ์ชางยิ่งใหญ่ได้!”
“กําจัดหกมหาอํานาจ?” หยางเย่ตกตะลึงพร้อมเอ่ย ”นั่นมันเป็นไปได้งั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าเป็นไปได้!” ฉินชี่เยว่กล่าวต่อ ” หลายปีที่ผ่านมา จักรพรรดิโจวเองก็เป็นยอดฝีมืออันดับสองแห่งเขตแดนใต้ และมีสิบสององครักษ์ทองคําอยู่ในบัญชา จากการสนับสนุนของนักพรตเฉินกงเหมากับทักษะในเรื่องไสยศาสตร์และยันต์ ทหารจํานวนนับไม่ถ้วนจึงอยู่ในกํามือ ในตอนนั้นแม้กระทั่งอาณาจักรสัตว์อสูรเองก็ยังเกรงกลัวรางชวงศ์ชาง
” แล้วใครคืออันดับหนึ่งแห่งเขตแดนใต้ล่ะ?” หยางเย่ถามขัดจังหวะ เขาค่อนข้างสนใจยอดฝีมือผู้เป็นอันดับหนึ่งในเขตแดนใต้มากกว่า
” เซียนจอมมาร!” แสงสีขาวส่องประกายก่อนจะมากลายเป็นสตรีจิ้งจอกมาปรากฏตัว “เวลานั้นมีเพียงคนเดียวในเขตแดนใต้ที่สามารถเอาชนะพระราชบิดาของข้า ยอดฝีมือผู้ที่สยบทั้งสวรรค์ และโลกนี้ได้เซียนจอมมาร!”
” เซียนจอมมาร? ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเขตแดนใต้?” หยางเย่ประหลาดใจก่อนแส ดงออกถึงความปรารถนายอดฝีมืออันดับหนึ่งในเขตแดนใต้!”
สตรีจิ้งจอกพยักหน้าพร้อมเอ่ย ”เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทุกแห่งหนในเขตแดนใต้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางมองไปที่หยางเย่ก่อนเผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ ” อย่าอิจฉาไปเลย ข้าเชื่อว่าในอนาคต ความสําเร็จของเจ้าต้องไม่ด้อยไปกว่าพระราชบิดาของข้าหรือเซียนจอมมารหรอก ข้าจะแต่งงานกับเจ้า เมื่อเจ้ากลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเขตแดนใต้ ตกลงหรือไม่?”
หยางเย่ได้สติกลับมาเมื่อได้ยินก่อนจะกล่าวด้วยน้ําเสียงเย้ยหยัน ” เหตุใดถึงไม่แต่งงานกับข้าตอนนี้ไปเลย และรอให้ข้ากลายเป็นอันดับหนึ่งล่ะ?” หยางเย่รู้สึกเหยียดหยามคนที่มั่งคั่งมีฐานะ แต่ไม่คิดจะใช้ชีวิตที่ยากลําบากไปด้วยกัน
“เจ้ากล้าจะแต่งกับข้าตอนนี้งั้นหรือ?” สตรีจิ้งจอกยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะมองหยางเย่
หยางเย่หาได้แสดงกิริยายอมแพ้ไม่ “หากเจ้ากล้าแต่งกับข้า เช่นนั้นข้าก็กล้าจะแต่งกับเจ้า!”
เขาไม่คาดคิดว่าสตรีคนนี้จะแต่งกับเขาจริง และคงทําไปเพื่อหยอกเล่น
สตรีจิ้งจอกกรอกตาก่อนจะหันไปยิ้มให้ “เจ้ากล่าวคํามาแล้วนะ! อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ! มิเช่นนั้นฉวนเอ๋อจะดูถูกเจ้าแน่!”
เมื่อเห็นท่าทีของนาง หยางเย่รู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เขามีสัญชาตญาณว่าสตรีตรงหน้ากําลังใช้เล่ห์เหลี่ยมแน่นอน แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเหตุใดนางถึงบอกว่าเขาจะเสียใจ หยางเย่รีบเอ่ย “ข้าคิดว่าเป็นเจ้านั้นแหละที่จะเสียใจ!”
ฉินชี่เยว่ส่ายหัว ‘ทุกอย่างของเขานั้นยอดเยี่ยม เว้นแต่เรื่องความฉลาดนี้แหละ นางวางกับดักไว้ แต่เจ้าก็ยังกระโดดลงไปโดยง่าย’
สตรีจิ้งจอกยิ้มและไม่กล่าวสิ่งใด นางเดินตรงไปยังโลงศพ เมื่อมาถึงตรงหน้าโลง รอยยิ้มบนหน้านางได้หายไปหมดสิ้น แววตานางเปล่งประกายบางราวกับกําลังหวนนึกถึงอดีต
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ นางสูดลมหายใจลึกก่อนจะกรีดปลายนิ้ว หยดเลือดตกลงไปที่กลางหน้าผากของหัวหน้าองครักษ์ทองคําที่ยืนอยู่หน้าสุด
ทันทีที่หยดเลือดตกโดนหน้าผากของมัน ดวงตาทั้งคู่ที่ปิดอยู่ได้เกิดขึ้น จากนั้นมันคุกเข่าลงตรงหน้าสตรีจิ้งจอกภายใต้สายตาที่งุนงงของทั้งสอง ขณะเดียวกัน รูปปั้นทั้งสิบเอ็ดตัวด้านหลังเองก็ค่อย ๆ คุกเข่าลง
“นี่คือ…” หยางเย่กลืนน้ําลายขณะดวงตาเต็มด้วยความไม่น่าเชื่อ ก่อนหน้านี้ฉินชี่เยว่ได้กล่าวไว้ว่าสิบสององครักษ์อยู่ขั้นปราณจุติระดับสูงสุด และมันคงร้ายกาจมากหากทั้งสิบสององครักษ์ทองคํายังมีชีวิตอยู่
” นี่คือเคล็ดวิชาเชิดหุ่น!” ฉินชี่เยว่ที่ยืนตกตะลึงอยู่ได้เรียกสติกลับมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ําเสียงต่ํา ” พวกเขาหาได้มีชีวิตไม่ พวกเขาถูกควบคุมโดยเคล็ดวิชาเชิดหุ่นที่โด่งดังในเขตแดนใต้เมื่อกาลก่อน!
สตรีจิ้งจองหันไปมองฉินเยว่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ”ความรู้ไม่เลว ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะทราบถึงเคล็ดวิชาเชิดหุ่นที่สูญหายไปนับหลายร้อยศตวรรษ เจ้าคงไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแน่!”
ฉินชี่เยว่เงียบไปชั่วครู่
หยางเย่เอ่ยถาม “วิชาเชิดหุ่น? กล่าวคือหุ่นเชิดพวกนี้ไม่ใช่องครักษ์ทองคําตัวจริง แต่เป็นแค่หุ่นเชิดใช่หรือไม่?”
สตรีจิ้งจอกมองไปที่หยางเย่ก่อนจะสายหัว “นี่ไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดา ทุกตัวถูกสร้างจากของวิเศษที่หายาก และหุ่นเชิดพวกนี้มีจิตวิญญาณขององครักษ์ทองคําทั้งสิบสองคน นอกจากนั้น นักพรตสูงสุดยังใช้เคล็ดวิชาลับสุดยอดในการผนึกสัญชาตญาณในการต่อสู้ของพวกเขาไว้ในหุ่นพวกนี้ ถึงแม้พวกเขาไม่ใช่ขั้นปราณจุติ แต่ความแข็งแกร่งนั้นก็จะดูถูกไม่ได้เช่นกัน กล่าวโดยง่ายคือทุกตัวอยู่ขั้นปราณจิตวิญญาณ!”