มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 143
ตอนที่ 143 ปะทะยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ!
สามเดือนผ่านไป
หยางเย่มองไปที่ต้นไม้ในระยะสามร้อยเมตรข้างหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหลุม ดาบเล่มหนึ่งกําลังลอยอยู่ตรงหน้าเขา แต่หยางเย่ยังคงจ้องเขม็งไปยังต้นไม้
ในช่วงเวลาหนึ่งขณะที่ดวงตาหยางเย่กําลังจ้องเขม็ง เสียง ‘ซึ่ง’ ได้ดังก้องขึ้นในหัว ดาบตรงหน้าเหลือแค่ภาพติดตา และมันยิงตรงไปยังต้นไม้นั้น
“ห้าช่วงลมหายใจ!” หยางเยู่สูดหายใจลึก จากนั้นเขาส่ายหัว หลังจากฝึกฝนจนผ่านไปสามเดือน วิชาควบคุมดาบของเขาได้พัฒนาดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ระยะควบคุมแต่เดิมสามสิบเมตรกลายเป็นสามร้อยเมตร ความเร็วของมันยังเร็วกว่าก่อนนี้หลายเท่า แน่นอนว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณผู้อาวุโสมู่มากมาย
ถึงแม้มันจะเป็นเช่นนั้น หยางเย่ยังคงไม่พอใจตนเอง เพราะผู้อาวุโสมู่ได้กล่าวไว้ว่าเขาจะเข้าใจวิชาควบคุมดาบพื้นฐานได้หลังจากทําได้เพียงช่วงลมหายใจเดียว กล่าวคือเขายังไม่สามารถเข้าใจขั้นพื้นฐานได้…
แต่หยางเย่ไม่มีเวลาเหลือแล้ว เพราะเทียบอันดับสวรรค์จะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
ตอนนี้หยางสามารถบรรลุขั้นปราณสวรรค์ระดับสอง และยังไม่ได้มีเพียงขั้นพลังที่พัฒนา แม้กระทั่งเจตจํานงแห่งดาบยังบรรลุเป็นระดับที่สอง ตราบใดที่เขาสามารถเข้าใจปัจจัยที่สําคัญในการก้าวหน้า เช่นนั้นเขาจะสามารถบรรลุระดับที่สามได้ในทันที
นอกจากนั้นวิชาทลายมังกรยังอยู่ขั้นที่หนึ่งแล้วภายใต้คําชี้แนะของผู้อาวุโสมู่ สําหรับความแข็งแกร่งของมัน หยางเย่เองยังตกตะลึง
หยางเย่เก็บดาบพร้อมเดินไปที่กระท่อมของผู้อาวุโสมู่ จากนั้นเขาประกบมือพร้อมเอ่ย “ผู้อาวุโสมู่ ข้ามาบอกลา!”
ประตูเปิดออกช้า ๆ ก่อนผู้อาวุโสมู่จะเดินออกมา เขายื่นมือออกมาพร้อมเอ่ย “ดาบนี้เป็นของเจ้า!”
แต่ภายในมือของชายชรากลับว่างเปล่า
ขณะที่มองไปยังมือที่ว่างเปล่าของผู้อาวุโสมู่ หยางเย่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ ทันใดนั้นหยางเย่ขมวดคิ้วแน่น เพราะเขาสัมผัสโดนตัวดาบ และมันไม่ใช่เล่ห์กลหรือปราณดาบ มันมีดาบอยู่ในมือเขาจริง ๆ !
หยางเยยื่นมือรับมันมา แน่นอนว่าเขาสัมผัสกับปลอกดาบก่อนจะเอ่ย “ผู้อาวุโสม่ ทําไม… ทําไมดาบนี้ถึงมองไม่เห็น?”
“มันถูกสร้างจากวัตถุพิเศษ และเป็นผลทําให้มันล่องหนได้ ดังนั้นดาบนี้จึงเรียกว่า ดาบเร้นลับ แต่โชคร้ายที่ผู้ตีดาบเล่มนี้ไม่สามารถใช้สมาธิขั้นสูงตีดาบ เพราะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับครอบครัวของเขา ดังนั้นจิตวิญญาณโดยธรรมชาติของดาบจึงไม่เกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ได้แย่ เพราะดาบเล่มนี้กล่าวได้ว่าเป็นขั้นปฐพีระดับกลาง!” ผู้อาวุโสมู่กล่าว
“ขั้นปฐพีระดับกลาง!” หยางเย่ตกตะลึง เขาสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณผู้อาวุโสมู่ยิ่งนัก!”
เขาไม่ปฏิเสธที่จะรับไว้ เพราะหยางเย่ยังขาดดาบที่คู่ควรอยู่ และเห็นได้ชัดว่าดาบเล่มนี้เหมาะสมกับเขามาก!
ผู้อาวุโสนํารายชื่อบางอย่างส่งให้หยางเย่ “นี่คือสมุนไพรวิญญาณที่จําเป็นในการบ่มเพาะพลังกายของเจ้าในอนาคต ข้าไม่มีสมุนไพรวิญญาณเหลืออีก ดังนั้นเจ้าต้องไปหามันเอาเองในโลกภายนอก มันเป็นการดีหากมีสมุนไพรเหล่านี้ช่วย”
ท่าที่หยางเย็ดูเคร่งขรึมอย่างมากขณะมองรายชื่อ เพราะมีสมุนไพรกว่ายี่สิบชนิดที่เป็นสมุนไพรขั้นปฐพี สําหรับขั้นสีดํานั้นยังมีร้อยกว่าชนิด… แต่โชคดีที่เขายังพอมีเงินอยู่มาก หรือไม่ก็สร้างยันต์ไปขายได้
ชายชราขยับมือขวา จากนั้นแสงสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าหยางเย่ “ดาบที่แข็งเกินไปจะง่ายต่อการถูกสะบั้น แต่วิถีดาบของเจ้ากลับต้องการตัวตนเช่นนี้ ดังนั้นข้าไม่อาจชี้แนะเจ้าได้มากไปกว่านี้แล้ว ไม่ว่ายังไงก็อย่ารีบตายล่ะ” ทันทีที่กล่าวจบ ผู้อาวุโสมู่เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าไปในกระท่อม
หยางเย่ทําการโค้งคํานับตรงหน้ากระท่อม จากนั้นเขาไม่เสียเวลาอีกต่อไปพร้อมเดินไปยังแสงสีฟ้าตรงหน้า
เทือกเขาแห่งความตาย ณ บนต้นไม่ใหญ่ สตรีคนหนึ่งสวมชุดดําและหน้ากากสีดํากําลังใช้สัมผัสเทวะค้นหาบางอย่าง สตรีผู้นั้นคือเฟิงอวี่จากราชวังบุปผา
เพราะนางกลัวที่จะต้องปะทะกับหลินชาน เฟิงอวี่จึงยอมจ่ายเงินเพื่อจ้างมือสังหาร แต่นางไม่คาดคิดว่าหยางเย่จะกระโดดลงไปยังใต้หุบเหวมรณะ หากสมาคมมือสังหารไม่มีชื่อเสียง นางคงคิดว่าสมาคมมือสังหารหลอกลวง
นางไม่ทราบว่าเหตุใดหยางเยถึงกระโดดลงไป แต่นางทราบดีว่าหยางเย่คงไม่รนหาที่ตายแน่นอน เพราะหยางเย่ยังต้องการช่วยชีวิตมารดา
หลังจากลังเลอยู่นาน นางไม่อาจคลายความสงสัยเกี่ยวกับวิชาควบคุมสัตว์อสูรได้ และมายังขุนเขาไม่สิ้นสุดด้วยตนเองเพื่อค้นหาหยางเย่
แต่หลังจากอาศัยอยู่ในขุนเขาไม่สิ้นสุดมากกว่าหนึ่งเดือน นอกจากสัตว์อสูรไม่กี่ตัว นางยังไม่เห็นเงาของหยางเยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นนางมาที่หุบเหวมรณะหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่กล้ากระโดดลงไป
ต้องล้อเล่นอยู่แล้ว! ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจุติยังไม่สามารถกลับมาจากการลงไปที่นั่นได้ ดังนั้นแค่ขั้นปราณจิตวิญญาณเล็กน้อยอย่างเราจะกล้าลงไปได้ยังไง?
เฟิงอวี่ถอนหายใจก่อนจะจากไป ไม่ว่ายังไงนางยังเป็นคนของราชวังบุปผา และยังคงมีงานมากมายที่ต้องทํา ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะอยู่นานมากไปกว่านี้
ทันทีที่เฟิงอวี่กําลังจะไป นางหันไปมองด้านขวา จากนั้นประกายแห่งความตื่นเต้นปรากฏผ่านดวงตา ไม่นานนางได้หายไปจากจุดที่อยู่อย่างรวดเร็ว
ท่าที่หยางเย่เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะเขาโดนหยุดโดยสตรีชุดดําหลังจากกําลังจะออกจากหุบเหว ยิ่งกว่านั้นสหายตัวจ้อยยังบอกเขาว่าสตรีชุดดํานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟิงอวี่จากราชวังบุปผา
ในช่วงหลายเดือนที่อยู่ใต้หุบเหวมรณะ ความแข็งแกร่งของเขานับว่าพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ทราบดีว่ายังไม่อาจสังหารยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณได้
“เจ้าออกมาจากที่นั่นแบบปลอดภัยได้ยังไง!?” เฟิงอวี่มองหยางเย่พร้อมเอ่ยถามเสียงต่ํา เสียงของนางเปลี่ยนไปทันที
หยางเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง นางทราบได้อย่างไรว่าเรากระโดดลงไปในหุบเหวมรณะ?” ทันใดนั้นหยางเย่ครุ่นคิด ประกายแห่งความเย็นเยือกปรากฏผ่านดวงตาเขา “เฟิงอวี่ มือสังหารคนนั้นเจ้าจ้างมาสินะ!”
เฟิงอวี่ถอดหน้ากากเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหลังจากหยางเย่ทราบว่าเป็นนาง “เจ้าหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีความลับมากมาย แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณจุติยังไม่กล้าก้าวลงไปในหุบเหวมรณะ แต่เจ้ากลับลงไปและขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย นอกจากนั้นเจ้ายังมีวิชาควบคุมสัตว์อสูรบอกความลับเจ้ามาให้ข้า จากนั้นข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ทรมาน เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
“ปล่อยท่านแม่ข้า และข้าจะบอกความลับทั้งสองให้ เจ้าคิดเห็นเช่นไรล่ะ?” หยางเย่กล่าวย้อน
เฟิงอวี่มองอย่างเย็นชา “มารดาเจ้าแหกกฎของสํานัก แม้จะเป็นเจ้าสํานักของราชวังก็ไม่มีอํานาจปล่อยนางไปได้ ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับเจ้า คายความลับทั้งสองมา และข้าจะสังหารเจ้าอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นข้าจะไม่ให้เจ้าตายแม้ต้องการจะตาย ถึงแม้วิธีทรมานของราชวังบุปผาไม่อาจทัดเทียมได้กับของสํานักภูตผี แต่ข้าก็เชื่อว่าเจ้าไม่ต้องการลองแน่!”
“ต้องการให้ข้าบอกความลับงั้นหรือ ได้อยู่แล้ว! บอกมาสิว่ามารดาข้าเป็นยังไงในราชวังบุปผา!” หยางเย่กล่าว “ถึงแม้จะฆ่าข้า เจ้าก็ไม่สามารถทราบความลับนี้ เชื่อข้าสิถึงแม้เจ้าจะใช้วิธีของสํานักภูตผี เจ้าก็ทําได้แค่ฝันไปเท่านั้น!”
ดวงตาเฟิงอวี่หรี่เล็กลง “ข้าบอกเจ้าไปแล้ว มารดาของเจ้าทรมานจากลมหนาวสุดขั้วอยาใต้หุบเหวสิ้นรัก ด้วยสถานะปัจจุบันของมารดาเจ้า นางคงทนได้ไม่กี่ปี แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ราชวังบุปผาไม่ปล่อยให้นางตายง่าย ๆ หรอก ราชวังบุปผาจะใช้สมุนไพรวิญญาณกันไว้ไม่ให้นางตายเพื่อจะได้เพลิดเพลินกับลมหนาวด้านล่างนั้นไงล่ะ ผู้คนที่ฝ่าฝืนกฎของสํานักในอดีตพวกเขาปรารถนาความตายหลังจากทนได้สองถึงสามปี พวกเขาทุกคนจะถูกทรมานให้ถึงจุดที่พอใจแล้วถึงจะปล่อยให้ตาย!”
หยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะมองไปที่เฟิงอวี่ “เฟิงอวี่กล่าวได้ว่าเป็นเพราะเจ้า มารดาข้าถึงต้องทุกข์ทรมาน อย่ากังวล ข้าจะทําให้เจ้าต้องทรมานกว่านางร้อยเท่า ข้า หยางเย่ ขอประกาศไว้ว่าวันหนึ่งข้าจะทําลายราชวังบุปผาให้สิ้นซากเสีย”
ถึงแม้เขาจะดูสงบ แต่น้ําเสียงนั้นราวกับภูเขาไฟที่กําลังปะทุ
“ฮ่าฮ่า…”เฟิงอวี่หัวเราะลั่น “กําจัดราชวังบุปผา เจ้านะหรือ? ลืมไปแล้วหรือไงว่าเจ้าอยู่แค่ขั้นปราณสวรรค์ ถึงแม้จะเป็นขั้นปราณจักรพรรดิก็ทําอะไรไม่ได้ ทรัพยากรและการเงินของราชวังบุปผานั้นยากที่จะจินตนการได้ ข้าว่าจจะเปลืองเวลาเปล่า ๆ เมื่อเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงเช่นนั้นอย่ามาโทษ…”
เฟิงอวี่ยังกล่าวไม่จบ หยางเย่ก็ได้ทําการลงมือ
หยางเย่นยันต์ทั้งสามติดตัวไว้ก่อนจะพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่
ใบหน้าเย้ยหยันของนางมืดครึมทันทีที่เห็นหยางเย่โจมตี แต่เมื่อหยางเย่มาถึงในระยะยี่สิบเจ็ดเมตร ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง