มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 158 เก้าสิบสาม!
ซีตุหรงเดินตรงไปยังเสาวัดพลัง ขณะที่เขากําลังจะวัดพลัง ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ได้ดังมาอีกครั้ง “สํานักภูตผีมาถึงแล้ว!”
เมื่อพวกเขาได้ยิน สายตาทุกคู่ได้หันไปมองยังค่ายกลเคลื่อนย้าย แม้กระทั้งสํานักดาบราชั้นก็หันไปมอง แต่สายตาพวกเขาไม่เหมือนกับฝูงคนมากมาย มันเป็นแววตาแห่งความเกลียดชัง
มีเพียงแค่สี่คนจากสานักภูตผี พวกเขาสวมผ้าคลุมด่าและมีลวดลายกระดูก กลุ่มของพวกเขาประกอบไปด้วยชายชราผมแดงถือไม้เท้าสีดําสนิท และชายหนุ่มอีกสามคนอายุราวสิบเจ็ดปี
“นั่นคือผู้อาวุโสคุก และเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจติ!” มู่หรงเหยาที่ยืนข้างหยางเย่กล่าวเสียงต่ำ
“ผู้อาวุโสคูก?” หยางเย่เอ่ย “ข้าไม่รู้จักเขา!”
“เขาเป็นรุ่นเดียวกับผู้อาวุโสบัญชาดาบของพวกเรา และความแข็งแกร่งของเขายังร้ายกาจมาก ศิษย์จํานวนนับไม่ถ้วนของสํานักดาบราชันได้ตายด้วยน้ํามือเขา” มู่หรงเหยาเอ่ย “กล่าวคือ ถ้าเจ้าปะทะกับเขา… เฮ้อ อย่าดีกว่า เพราะการเผชิญหน้ากับเขาก็เท่ากับตายแล้ว”
หยางเย่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะยอดฝีมือขั้นปราณจติหาใช่คนที่จะสู้ด้วยได้โดยง่าย
“เห็นชายหนุ่มข้างคุกหรือไม่? เขาคือโฉวลู่ ตามที่ผู้อาวุกล่าวไว้ เขามีเจตจํานงแห่งการฆ่า และยังเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้!” มู่หรงเหยามองไปที่หยางเย่ก่อนจะเผยท่าที่เคร่งขรึม แต่หาได้มีความกลัวปรากฏผ่านดวงตานางไม่
หยางเย่มองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มคนนั้นอายุคราวเดียวกับเขา ทั้งยังมีรูปลักษณ์หล่อเหลา เขารู้สึกไม่พอใจเล็กเมื่อมองไปยังศิษย์ของสํานักภูตผี และยังดูเหมือนชายคนนั้นจะทําท่าที่ไร้เดียงสา แต่หยางเย่ไม่เชื่อว่าเขาไร้เดียงสา เพราะมันเป็นไปไม่ได้สําหรับคนที่มีเจตจํานงแห่งการฆ่าอยู่ และมือของเขาต้องย้อมไปด้วยเลือดผู้คนมากมาย!
“ถึงแม้เขาจะดูไร้เดียงสา แต่ความโหดเหี้ยมของเขานั้นไม่ธรรมดาตามที่ลือกัน นอกจากจะสังหารคนในครอบครัวตามเจตจํานงแห่งการฆ่าแล้ว เขายังสังหารคนไปมากกว่าพันแปดร้อยคนที่อยู่ในตระกูล กล่าวคือ เขาสังหารทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ท้ายที่สุด ยอดฝีมือสํานักภูตผีรู้สึกพึงพอใจอย่างมากจึงรับเป็นศิษย์ แต่ก็ไม่มีใครในสํานักภูตผีกล้าเป็นอาจารย์ของเขา…” มู่หรงเหยากล่าวเสียงต่ํา
“เขาสังหารทั้งบิดามารดาเลยงั้นหรือ?” หยางเย่เผยท่าที่เคร่งขรึม หากเป็นเช่นนั้นจริง ความวิปริตของเขานั้นนับว่าอยู่ในขั้นสูงสุด เราต้องระวังคนโรคจิตเช่นนี้ไว้ให้
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หยางเย่รู้สึกว่าคนทั้งสองด้านข้างโฉวลู่นั้นอันตรายกว่าทั้งสองอายุมากกว่าโฉวลู่เล็กน้อย แต่กลับเผยท่าที่ไร้เดียงสามากกว่าโฉวลู่ หยางเย่ รู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดาแน่นอน
พวกเขาทั้งสี่ของสํานักภูตผีไม่สนใจผู้คนรอบข้างก่อนจะเดินตรงมาหาพวกสํานักดาบราชัน ชายชราผมแดงกวาดสายตาผ่านมู่หรงเหยา จากนั้นได้มองไปที่อวี่เหิง พร้อมเผยรอยยิ้มเย็นเยือก “อวี่เหิง ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะได้เป็นคนนํากลุ่มศิษย์ครั้งนี้ อะไร? หรือเจ้ากลัวว่าศิษย์สํานักดาบราชันจะตายก่อนถึงเวลาอันควร?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” อวีเพิ่งเย้ยหยัน “คุก หากสํานักภูตผีเข้าร่วมการประลองอย่าง ซื่อสัตย์ ข้าคงไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดหรอก แต่สานักภูตผีของเจ้ามักจะมีวิธีกระทําอันต่ำช้า ดังนั้นสํานักข้าจึงต้องกลัวเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเด็กพวกนี้คงไม่สามารถสู้กับยอดฝีมือขั้นจิตวิญญาณสํานักเจ้าได้หรอก”
คูกูมองหยางเย่และคนอื่น ๆ ข้างอวี่เพิ่งก่อนจะกล่าว “พวกเขามีค่าพอจะให้ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณสํานักข้าต้องลงมือด้วยหรือ? อวี่เหิง เจ้าสําคัญตัวพวกเขาสูงเกินไปแล้ว”
ซีตูหรงรู้สึกโกรธเกรี้ยวทันทีที่ได้ยินแต่ก็ไม่กล้าขัดจังหวะ
“คุกอย่ามาบอกว่าสํานักภูตผีไม่ได้ส่งยอดฝีมือมาสังหารศิษย์สานักดาบราชัน อย่ามาบอกว่าพวกเจ้าไม่ได้วางแผนชั่วร้ายเพื่อจะให้ศิษย์สํานักข้าไม่สามารถเข้าร่วมเทียบอันดับได้ หากไม่ใช่เพราะศิษย์สํานักภูตผีกลัวศิษย์สํานักดาบราชัน เช่นนั้นจาเป็นต้องใช้วิธีแบบนั้นหรือ?” อวี่เหิงกล่าวอย่างเย็นชา
“กลัวศิษย์สํานักดาบราชัน?” คูกยิ้มอย่างประหลาด “อวี่เหิง โต้เถียงกับเจ้าที่นี่ก็ได้ ค่าเสาวัดพลังก็อยู่ตรงนั้น และศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นก็อยู่ที่นี่ ทําไม่พวกเราไม่มาวัดกันหน่อยล่ะ? จากนั้นก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าใครกันแน่ที่กลัวใคร?”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ!” อวี่เพิ่งมองไปที่ศิษย์ทั้งสามก่อนจะเอ่ย “เจ้าก่อน?”
“เจ้ามาที่นี่ก่อน ดังนั้นเจ้าเริ่มก่อน!” คูกทําตัวดูสภาพ
อวี่เพิ่งหันไปมองซีตหรงก่อนจะกล่าว “อย่าออมแรง!”
ซีตุหรงพยักหน้า เขาไม่คิดจะออมแรงอยู่แล้วเพราะมันขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของสํานักดาบราชัน เขาสูดหายใจลึกก่อนจะโคจรพลังปราณในร่างกาย จากนั้นเรียกดาบออกมา พลังปราณของเขาพุ่งเข้าไปที่ดาบจนมันหอนดัง
ทันใดนั้น ซีตุหรงครามดังลั่นก่อนจะแทงดาบตรงไปที่เสา ไม่นานพลังปราณอัน รุนแรงกระแทกเข้ากับเสาจนเกิดประกายแสง
ปัง!
ในช่วงลมหายใจหนึ่ง แสงที่อยู่ช่วงล่างของเสาก็ได้เปล่งแสงขึ้น ทุกคนกวาดสายตามองดู พวกเขาเห็นว่ามีทั้งหมดเก้าสิบเอ็ดมณีที่เปล่งแสงอยู่
“เก้าสิบเอ็ด… ร้ายกาจนัก ช่างสมกับเป็นศิษย์ของหกมหาอํานาจ ใช่สิ เจ้าคนที่บอกว่าจะแสดงให้ศิษย์ของสํานักดูในตอนแรกไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?”
“เขาร้ายกาจจริง แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณราชนธรรมดายังไม่สามารถทําได้ถึงเก้าสิบเอ็ดก่อน ศิษย์สํานักช่างไม่ธรรมดา!”
“ผู้ฝึกฝนไร้สังกัดไม่อาจทัดเทียมได้กับพวกศิษย์สํานักจริง ๆ เฮ้อ ข้าน่าจะฝึกให้หนักและมองหาสํานักเพื่อเข้าร่วม ช่างน่าเสียดายนัก…”
ซีตหรงแสดงความดีใจออกมาผ่านใบหน้าเมื่อได้ยินพวกเขา จากนั้นมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสามคนของสํานักภูตผี เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าซูชิงฉือและอวี่เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนนี้ เพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าซีตุหรงไม่ได้ออกแรงเต็มที่และปกปิดพลังแท้จริงไว้
เก้าสิบเอ็ดก้อนนั้นนับว่ายอดเยี่ยมสําหรับผู้ฝึกฝนไร้สังกัด แต่สําหรับศิษย์ของสำนักนั้นนับว่าแค่ผ่าเกณฑ์เท่านั้น หากเป็นเวลาอื่นซูชิงฉือและอวี่เพิ่งคงยอมให้ซีตูหรงออมแรง แต่การออมแรงตอนนี้มันเท่ากับได้กระทําโง่ ๆ ออกไป เพราะมันขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของสํานักดาบราชัน
“นี่คือความแข็งแกร่งของศิษย์สํานักดาบราชั้นงั้นหรือ? ช่างน่าผิดหวังนัก!” ผู้อาวุโสคูกเย้ยหยันก่อนจะหันไปมองศิษย์ทั้งสาม “ผู้ใดจะลองก่อน?”
โฉวล่เดินออกมา เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองซีตหรงขณะเดินไปที่เสา เมื่อมาถึง เขาขยับนิ้วเล็กน้อย ประกายสีเลือดถูกยิงออกไปยังเสาวัดพลัง ผ่านไปชั่วครู่แสงที่เสาได้เปล่งประกายจนนับได้เก้าสิบสามก้อน!
“สวรรค์! เก้าสิบสามก่อนได้เปล่งแสงขึ้น นี่เป็นคะแนนที่ดีที่สุดตอนนี้ใช่หรือไม่? มันยังสงกว่าทั้งสองก้อนของสํานักดาบราชัน น่าสะพรึงนัก…”
“เก้าสิบสาม! ถึงแม้จะเป็นขั้นปราณราชั้นระดับห้าหรือต่ํากว่าก็ยากที่จะทําได้ เขาเป็นใครกัน? ช่างเป็นชายหนุ่มผู้มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา!”
“ข้าจาได้แล้ว เขามีนามว่าโฉวลู่ ชายผู้มีเจตจํานงแห่งการฆ่า หากเขาใช้มัน เช่นนั้นน่าจะได้มากกว่าเก้าสิบห้าก่อน!”
“เจตจํานงแห่งการฆ่า!” คนรอบด้านอ้าปากค้างเมื่อได้ยิน
ใบหน้าซีดูหรงร้อนรุ่มจากการถูกตบหน้ากลางสาธารณะ!
ใบหน้าของอวี่เพิ่งและซูชิงฉือเองก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก ถึงแม้ผู้คนรอบข้างจะไม่กล่าวถึงสํานักดาบราชัน แต่ก็ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าสํานักดาบราชันนั้นเสียหน้าเพียงใด
ทันใดนั้นโฉวลุ่มองไปยังมู่หรงเหยาก่อนจะมองไปที่ซีตหรง “หากทุกคนในสํานักดาบราชันที่อยู่รุ่นเดียวกับเจ้ามีพลังเท่านี้ เช่นนั้นก็คงน่าเบื่อ” ทันทีที่กล่าวจบเขาเดินกลับไปยืนข้างชายทั้งสอง
“รอเดี๋ยว!” ทันใดนั้นมู่หรงเหยาได้เดินออกมา โฉวลู่ได้หันมามองนางพร้อมเอ่ย “อะไร?”
มู่หรงเหยาไม่กล่าวสิ่งใด นางเดินตรงไปยังเสาวัดพลัง จากนั้นยื่นมือออกไปข้างก่อน จากนั้นเริ่มก่านิ้วเข้าหากันเบา ๆ ปราณดาบจากพลังปราณได้ปรากฏขึ้น นางถ่ายเทพลังปราณอย่างไม่หยุดหย่อนจนมันเริ่มก่อตัวชัดเจนขึ้น หลังจากสองช่วงลมหายใจ ปราณดาบที่ดูเหมือนดาบจริงได้ปรากฏขึ้น
“ไป!” มู่หรงเหยาขยับข้อมือทําให้พลังปราณดาบยิงตรงไปที่เสา
ปิ้ง!
เสียงระเบิดดังก้อง แสงที่เสาวัดพลังเปล่งขึ้นจนทําให้สายตาทุกคู่เปิดกว้าง
“เก้าสิบห้า!” ใครบางคนตะโกนออกมาจากฝูงคน
แสงที่เปล่งประกายที่ทั้งหมดเก้าสิบห้าก่อน! นางนับว่าเป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวจนสามารถทัดเทียมได้กับโรงเรียนปราชญ์
ท่าที่ซีตหรงดูไม่สู้ดี เพราะถึงแม้เขาจะใช้กําลังอย่างเต็มแรงก็ไม่มั่นใจว่าจะถึงเก้าสิบห้าหรือไม่ แต่ศิษย์น้องคนนี้ได้ทําไปเรียบร้อยแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งนางมากกว่าเขางั้นหรือ?
อวี่เหิงและซูชิงฉือรู้สึกดีขึ้นมากเพราะสํานักดาบราชันยังไม่เสียศักดิ์ศรีทั้งหมดไป
ดูเหมือนเราจะประเมินนางต่ําไปหน่อย! หยางเย่มองไปที่มู่หรงเหยาก่อนจะเอ่ยในใจ แม้แต่เขาก็ไม่คิดจะใช้ร่างกายทดสอบพลังนั้นโดยตรง เขาเคยมั่นใจว่าความสามารถที่จะต้านทานนางได้ แต่เมื่อเห็นท่าทีของมู่หรงเหยา หยางเย่ก็ทราบทันที ว่านางยังไม่ได้ใช้แรงเต็มกําลัง!