มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 97
มหากาพย์ดาบเทวะ! ตอนที่ 97 เริ่มการต่อสู้
ปั้ง!
ทันทีที่หมัดหยางเยกระแทกเข้ากับหัวของราชันหมาป่า ทันใดนั้นท่าทีของหยางเยู่ก็ได้เปลี่ยนไป เพราะพลังมหาศาลที่กระแทกกับแขนอย่างหนักหน่วง ไม่นานร่างของหยางเยู่ได้กระเด็นออกไปไกล
ปั้ง!
หลังจากลอยมาได้ยี่สิบห้าเมตร หยางเย่กระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างแรง
อีกด้านหนึ่ง ร่างของราชันหมาป่าได้หยุดลอยกลางอากาศพร้อมลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าแรงปะทะก่อนหน้าไม่สามารถทําอะไรมันได้เลย แต่หมัดของหยางเย่หาได้ไร้ประโยชน์ไม่เพราะอย่างน้อยมันก็ทําให้เกิดรอยหมัดอยู่บนหัวของราชันหมาป่า!
หยางเย่พยายามคลานขึ้นจากพื้น ความเจ็บปวดและความบอบซ้ำเริ่มรู้สึกขึ้นได้ทั่วร่างกาย ทันใดนั้นตันเถียนน้ำวนในร่างเริ่มทํางาน พลังปราณสีทองเริ่มไหลเวียนออกมา ขณะตันเถียนนวนหมุนอย่างรวดเร็ว ไม่นานมันไหลเข้าสู่เส้นพลังปราณและเริ่มฟื้นฟูหยางเย่
ขณะที่สัมผัสว่าร่างกายกําลังเริ่มฟื้นฟู หยางเย่สูดหายใจลึกพร้อมมองไปที่ราชันหมาป่า หยางเย่ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของมันนั้นน่าสะพรึงอย่างแท้จริง หากเป็นยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์โดนการโจมตีนั้นเข้าไป แม้ยอดฝีมือผู้นั้นจะไม่ตายแต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บอย่างหนักแน่นอน ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าราชันหมาป่าจะไม่สะดุ้งสะเทือนเท่าไหร่นัก
ถึงแม้หยางเย่จะไม่ได้คาดหวังกับหมัดแรกมาก แต่เขาก็รู้สึกหดหูเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามันไม่สามารถทําให้มันบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย โชคดีที่ราชันหมาป่ายังด้อยกว่าสัตว์อสูรราชันในหอคอยผู้รับใช้ดาบอยู่เล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่ได้ใช้หมัดกับสัตว์อสูรราชันในหอคอยผู้รับใช้ดาบ!
หยางเย่ระงับความคิดไว้พร้อมสูดลมหายใจลึก เขาถอดเสื้อผ้าที่ขาดรุ่ยจากการกระแทกกับพื้นออกเผยให้เห็นถึงเกราะที่เขาสวมอยู่ เขายื่นหมัดออกไปเล็กน้อยเพื่อโคจรพลังปราณล้ำลึกในร่างกาย ไม่นานหมัดของเขาเริ่มถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณสีทองอีกครั้ง
เขาคิดจะสู้ให้เต็มที่ในวันนี้!
เมื่อมันเห็นหยางเย่สามารถยืนขึ้นได้ หมาป่าในฝูงเริ่มส่งเสียงเห่าหอนทันทีราวกับกําลังกล่าวว่า “มันเป็นไปได้ยังไง?”
ในส่วนของสหายตัวจ้อยกับหมาป่าสีหมอกไม่ค่อยตกใจเท่าไรนัก โดยเฉพาะหมาป่าสีหมอกที่เคยสู้กับหยางเย่มาก่อน มันทราบดีถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพของหยางเย่ อย่างไรก็ตาม การต่อสู้กับสัตว์อสูรราชันนั้นต่างกันมากนัก เพราะตอนนั้นมันยังเป็นแค่สัตว์อสูรทมิฬระดับเก้าเท่า
ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยชอบหยางเย่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะทําร้ายลับหลัง เพราะสหายตัวจ้อยไม่ชอบให้ใครมามองเหยียดหยามหยางเย่
เมื่อมันเห็นหยางเย่ยืนขึ้นมา ประกายแห่งความตื่นเต้นปรากฏผ่านดวงตามิงค์ม่วง มันดูราวกับต้องการจะเข้าไปร่วมสู้ด้วย!
เวลานี้ราชันหมาป่าเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เพราะมันไม่คิดว่ามนุษย์ตรงหน้าจะสามารถรอดจากความตายหลังจากปะทะกัน และนอกจากจะไม่ตายแล้ว ยังดูเหมือนจะไม่บาดเจ็บมากเท่าไหร่ด้วย เมื่อนึกได้เช่นนั้นมันจึงรู้สึกโกรธเพิ่มขึ้นไปอีก! สิ่งนี้ราวกับว่ามันถูกตบหน้าโดยมนุษย์ไปหนึ่งครั้ง!
บรู๊ว!
เสียงหอนอันทรงพลังเปล่งออกมาก่อนจะพุ่งไปทางหยางเย่
ร่างของราชันหมาป่าใหญ่กว่าหยางเยถึงสิบเท่า มันจึงราวกับภูเขาขนาดเล็กกําลังพุ่งเข้ามาพื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนทุกครั้งที่มันก้าว ความรุนแรงที่พุ่งเข้ามานั้นน่าประหลาดใจนัก
ดวงตาหยางเย่หรี่ลงเมื่อเห็นราชันหมาป่าพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เขากระทืบพื้นด้วยเท้าขวาและใช้แรงส่งจากตรงนี้พุ่งใส่ราชันหมาป่าราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
เมื่ออยู่ในระยะสามเมตร หยางเย่คํารามดังก้องออกมาพร้อมปล่อยหมัดที่เต็มไปด้วยพลังปราณทองคํา มันตรงเข้าไปที่หัวของราชันหมาป่าโดยตรง
กล่าวได้ว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเขาแทบจะฉีกขาดขณะโจมตี ขณะที่หมัดพุ่งผ่านอากาศโดยรอบ มันทําให้เกิดเสียงเสียดสีกันจนแทงทะลุเข้าหู
ภายใต้สายตาทุกคู่ที่จ้องมองอยู่ ชายหนุ่มและหมาป่าได้เข้าน้ำนั่นกันอย่างดุเดือด
ปั้ง!
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่ว หยางเย่กระเด็นลอยไปอีกครั้ง
ราชันหมาป่าถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นหยางเย่กระเด็นไป แต่ไม่นานมนุษย์ผู้นั้นก็ยืนขึ้นอีกหลังจากกระทบกับพื้นดิน ทั้งยังดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมาก ไม่พอเขายังทําท่าที่เหมือนจะโจมตีต่ออีกรอบ
ราชันหมาป่าสับสนอย่างมาก มันสับสนโดยแท้จริง เพราะมันได้ใช้พลังพุ่งชนอย่างเต็มที่ไปแล้ว แต่มนุษย์ตรงหน้ากลับสามารถยืนขึ้นได้หลังจากปะทะกันอย่างรุนแรง? “มันยังกล้าที่จะโจมตีเรากลับอีกงั้นหรือ!
มันเป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูรกันแน่?”
ราชันหมาป่าหยุดนึกคิดเพราะมันมนุษย์ผู้นั้นได้เข้าอยู่ตรงหน้าแล้ว
ปั้ง!
แต่ก็เหมือนเดิม หยางเย่กระเด็นลอยไปอีกครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมพุ่งเข้าโจมตีอีก
ปั้ง!
ปั้ง!
…
การต่อสู้ดําเนินมาสองชั่วยาม ตลอดเวลาหยางเย่จะกระเด็นทันทีที่ปะทะกับราชันหมาป่า แต่หยางเย่ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะเช่นกัน เพราะระยะทางที่เขากระเด็นนั้นเริ่มใกล้ขึ้นทุกที
จากกระเด็นยี่สิบห้าเมตรในตอนแรก มันลดลงมาเป็นสิบแปดเมตรในตอนนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะไม่เรียกว่าแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร?
หยางเย่หาใช่คนชอบความพ่ายแพ้ไม่ เหตุผลเดียวที่เขาไม่ใช้ดาบ เพราะต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งทางกายให้ถึงขีดสุด ถูกต้อง ยิ่งเขาได้รับบาดเจ็บมากเท่าไหร่ ตันเถียนน้ำวนในร่างกายก็เริ่มหมุนเวียนเร็วขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกัน พลังปราณห้าธาตุทองคําก็เริ่มมากขึ้นทุกที
แม้จะต้องเจ็บตัวเล็กน้อย แต่ผลที่ได้รับนั้นนับว่าคุ้มค่า ซึ่งตอนนี้หยางเย่เองก็เริ่มคุ้นชินกับพลังของราชันหมาป่าแล้ว แต่ก็แค่คุ้นชิน เขายังไม่สามารถต้านทานพลังนั้นได้ มันจึงทําให้หยางเย่เจ็บปวดเมื่อนึกถึงสิ่งนี้
หลังจากมองดูหยางเย่กระเด็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และก็พุ่งกลับมาโจมตีราชันหมาป่าอยู่อย่างนั้น ฝูงหมาป่าด้านหลังได้ตกอยู่ในภวังค์พร้อมตัวที่แข็งที่อ เพราะพวกมันทราบดีว่าพวกมันไม่อาจรับการโจมตีของราชันหมาป่าได้ขนาดนี้ แต่มนุษย์ผู้นี้กลับทําได้!
“มันเป็นมนุษย์จริง ๆ ใช่หรือไม่? หรือมันเป็นสัตว์อสูร?”
ขณะนี้ความคิดที่ราชันหมาป่าเคยคิดได้เกิดกับฝูงหมาป่าด้านหลังแล้ว
อีกด้านหนึ่งหมาป่าสีหมอกเองก็เปิดตากว้าง มันแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันทราบดีว่าร่างกายหยางเย่นั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่คาดคิดว่าจะสามารถรับการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนจากราชันหมาป่าได้เช่นนี้ “เขาเริ่มแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่ของมนุษย์กับสัตว์อสูรแล้ว มันเป็นการต่อสู้ของสัตว์อสูรทั้งคู่!
ถูกต้อง มีเพียงสัตว์อสูรเท่านั้นที่ต่อสู้แบบใช้แรงปะทะกันเหมือนหยางเยู่กับราชันหมาป่าทําอยู่!
ในความคิดของหมาป่าสีหมอก ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหยางเยู่นั้นทัดเทียมได้กับราชันหมาป่า แต่ก็มีเพียงหยางเย่เท่านั้นที่ทราบดีว่าร่างกายของเขายังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
ถึงแม้ราชันหมาป่าจะกระแทกให้เขากระเด็นกี่ครั้ง มันก็ไม่ได้เข้าไปโจมตีจุดสําคัญอย่างศีรษะ ยิ่งกว่านั้นมันยังไม่ได้ใช้กรงเล็บที่คมราวกับใบมีดด้วย หยางเย่ทราบดีว่าราชันหมาป่ายังเกรงกลัวสหายตัวจ้อย
เมื่อไตร่ตรองอย่างดี เขาทราบว่ายังไม่ได้ทําอันตรายมันแม้แต่น้อยตั้งแต่เริ่มต่อสู้มา กล่าวคือเขายังไม่สามารถทลวงการป้องกันของราชันหมาป่าได้ บางทีเขาอาจทําได้หากใช้ยันต์เสริมกําลังระดับสูง แต่มันก็จะไร้ความหมายอยู่ดี
แน่นอนว่าแม้ราชันหมาป่าจะไม่ใช่พลังเต็มที่ หยางเย่เองก็ไม่ได้ใช้เช่นกัน หากมีดาบอยู่ในมือ เขามั่นใจว่าสามารถผ่าราชันหมาป่าได้เป็นสองซีกอย่างง่ายดาย
ส่วนเหตุผลที่ราชันหมาป่าไม่ได้ใช้กําลังอย่างเต็มที่ เพราะมันต้องการเห็นว่ามนุษย์ตรงหน้าจะทนรับเช่นนั้นได้อีกกี่ครั้ง มันเป็นถึงราชนของฝูงหมาป่า ถึงแม้สติปัญญาจะไม่ทัดเทียมกับมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้โง่เขลาแน่นอน เพราะตั้งแต่ที่มิงค์ม่วงลึกลับกับราชันหมาป่าอีกตัวเต็มใจที่จะติดตามมนุษย์ผู้นี้ แสดงว่าเขาต้องมีบางอย่างที่ร้ายกาจแน่นอน
ซึ่งมันพิสูจน์ได้แล้วว่ามนุษย์ผู้นี้มีความสามารถบางอย่างจริง ดังนั้นมันจึงยับยั้งความหยิ่งผยองไว้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรหรือมนุษย์ เขาผู้นี้ก็สมควรค่าแก่การได้รับความเคารพ แต่ความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถทําให้มันยอมแพ้ได้
มันรับได้ถ้ามนุษย์ผู้นี้สามารถทําให้มันยอมจํานนหากเขาแข็งแกร่งพอ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ดูจะไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย
เวลานี้ความคิดบางอย่างของทั้งสองได้ปรากฏขึ้นบนหัว และดูเหมือนว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่องเท่านั้น
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม
ปั้ง!
หยางเย่กระเด็นไปอีกครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ราชันหมาป่าเองก็เริ่มเห่าหอนขึ้นฟ้า จากนั้นมันเหวี่ยงกรงเล็บที่แหลมคมลงบนพื้น
ฟู่!
รอยกรงเล็บสองสามรอยขนาดเท่าปรากฏบนพื้น
หยางเย่หยุดเคลื่อนไหวเมื่อเห็นเช่นนั้นพร้อมกล่าว “เจ้าคิดจะสู้อย่างจริงจังแล้วสินะ?”
หยางเยู่สูดหายใจลึก จากนั้นเขาพลิกข้อมือเรียกดาบออกมา ทันทีที่ดาบปรากฏในมือ พลังปราณในตัวหยางเย่เริ่มเปลี่ยนไปทันที เจตจํานงแห่งดาบก็เริ่มทํางานและมันแผ่พุ่งไปโอบล้อมราชันหมาป่า
ตอนนี้ การต่อสู้ที่แท้จริงกําลังจะเริ่มต้น!