มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1960
แต่ทว่าบางคนก็ไม่ถึงขั้นมั่นใจอย่างไม่ลืมหูลืมตา อย่างไรเสียเรื่องที่โอรสสวรรค์โชคลาภได้รับกระบี่ผงาดตรีภพนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างเห็นเป็นประจักษ์ ในส่วนของเรื่องที่ว่าดาวร้ายชุดคลุมยาวดำนั่นได้รับหินนิรันดร์จริงหรือไม่นั้น ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงข่าวลือและการคาดคะเนเท่านั้น
“หินนิรันดร์อยู่ในมือท่านจริง ๆ หรือ?”เสิ่นปิงหยูก็ได้ยินข่าวคราวดังกล่าวแล้วเช่นกัน นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามหลัวซิว
ปัจจุบันวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจากมหาโลกาต่าง ๆ ล้วนส้องสุมคนตั้งเป็นแก๊งเป็นพันธมิตรเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ แล้ว ภายใต้การร้องขอของเสิ่นปิงหยู หลัวซิวจึงพาจีเสี่ยวจื่อพร้อมกับเสิ่นปิงหยูจัดตั้งเป็นทีมเล็ก ๆ หนึ่งทีม
“ไม่ได้อยู่ในมือข้าแต่อย่างใด”หลัวซิวส่ายหน้า แล้วพูด: “ถึงแม้ข้าจะเคยแก่งแย่งหินนิรันดร์กับมู่ช่าวหวง แต่ว่าความเร็วของมนุษย์หินนั่นเร็วเกินไป ข้าตามไม่ทันเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นปิงหยูจึงจ้องจ้องเขม็งดวงตาของหลัวซิว แต่ทว่ากลับไม่พบพิรุธใด ๆ เลย
สำหรับคำอธิบายของหลัวซิวนั้น นางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ทว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของมนุษย์หินนั่นรวดเร็วมากจริง ๆ อดีตก็เคยมีคนพยายามไล่ตามมันเช่นกัน แต่กลับไม่มีผู้ใดเคยไล่ตามทันเลย
แต่ปัจจุบันหลัวซิวแทบจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแดนเทวนิรันกาลอย่างไร้ข้อกังขาเลย ถึงแม้โอรสสวรรค์โชคลาภนั่นที่มีกระบี่ผงาดตรีภพในกำมือก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน
ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นโอรสสวรรค์โชคลาภหรือพระโอรสจ้านเทียน มีวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจากมหาโลกาสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ รวมตัวกันอยู่ข้างกายพวกเขา มีเพียงฝั่งหลัวซิวเท่านั้นที่มีเพียงสี่คน
กระบี่ตรีภพบังเกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งยังถูกผู้อื่นเอาไปแล้วด้วย บัดนี้ก็เหลือเพียงมนุษย์หินนิรันดร์ที่มีข่าวคราวเล่ากันว่าเคยปรากฏขึ้น รวมไปถึงดอกถานฮวาเทียนเต้าที่ยังไม่เคยปรากฏ
ทุกคนค้นหาในทุกมุมแดนเทวนิรันกาลแล้ว ต่างตามหาเบาะแสของดอกถานฮวาเทียนเต้าและหินนิรันดร์ แต่หลัวซิวกลับเลือกที่จะปิดขังในเวลานี้
ใช้เงาสะท้อนวัฏสงสารยืมพลังเกณฑ์วัฏสงสาร วิธีการเช่นนี้แข็งแกร่งมากก็จริง แต่ทว่าสำหรับหลัวซิวแล้ว สุดท้ายมันก็เป็นการหยิบยืมกำลังภายนอกอยู่ดี
รวมไปถึงเกณฑ์นิรันดร์ที่ซ่อนอยู่ในหินนิรันดร์ก็เป็นเช่นเดียวกัน อีกทั้งเขาก็ยังไม่ทราบวิธีการใช้เกณฑ์นิรันดร์ มีเพียงครั้นเมื่อปะทะกับกระบี่ตรีภพเท่านั้นที่มนุษย์หินนิรันดร์ปลดปล่อยพลังแห่งเกณฑ์ออกมาเองเสี้ยวหนึ่ง ช่วยเหลือเขาเพียงแรงหนึ่ง
มิเช่นนั้นละก็ แค่อาศัยพลังแห่งเกณฑ์ที่หยิบยืมมาจากเงาสะท้อนของวัฏสงสาร เกรงว่าคงทำให้โอรสสวรรค์โชคลาภที่ยึดกุมกระบี่ตรีภพถดถอยง่าย ๆ ไม่ได้แน่นอน
ดังนั้นหลัวซิวจึงวางแผนที่จะฝึกบทที่สองของเคล็ดวิชาจุดลมปราณให้ถึงแดนบริบูรณ์ ซึ่งเหลือเพียงสองจุดลมปราณสุดท้ายแล้ว
เวลาผ่านพ้นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตั้งแต่ที่วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจากมหาโลกาสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เข้ามาในแดนเทวนิรันกาล เวลาก็ล่วงเลยไปสองปีกว่าแล้ว
ในระยะนี้ วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทุกคนที่มีชีวิตรอดต่อมาได้นั้น ล้วนเผชิญหน้ากับการขัดเกลาไปไม่รู้ตั้งกี่หน ผลการฝึกตนของตัวเองก็ดีและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน มีแนวโน้มเข้าใกล้บริบูรณ์แล้ว
ครั้นเมื่อเข้ามาในแดนเทวนิรันกาล ศักยภาพของวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศเหล่านี้ล้วนอยู่ในแดนกึ่งมกุฎเทพ หลังจากผ่านพ้นการขัดเกลาครั้งแล้วครั้งเล่า รวมไปถึงพบเจอโอกาสและสมบัติต่าง ๆ แล้ว คนจำนวนมากก็เริ่มมีความมั่นใจในการเลื่อนขึ้นไปแดนมกุฎเทพ
ดังนั้นจึงไม่ได้มีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้นที่เลือกที่จะปิดขัง เสิ่นปิงหยูรวมไปถึงศิษย์น้องของนางก็เลือกที่จะปิดขังเช่นกัน วางแผนที่จะปรับปรุงสภาวะตน ทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ของแดนมกุฎเทพ
ส่วนจีเสี่ยวจื่อนั้นก็เข้าสู่สภาวะปิดขังเช่นกัน นอกเหนือจากการทำให้กฎปริภูมิของตนดีและลึกซึ้งขึ้นหนึ่งก้าวแล้ว นางก็อยากฝึกเซ่นสำนักเต๋าเสวียนเทียนให้กลายเป็นของขลังมรรคผลของตนเช่นกัน
สำนักเต๋าเสวียนเทียนเป็นสมบัติที่กำเนิดมาจากอัญมณีดั้งเดิม แม้ระดับขั้นในช่วงแรกเริ่มจะค่อนข้างต่ำ แต่ทว่าข้อดีของมันอยู่ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตวิวัฒนาการ อีกทั้งสอดคล้องกับกฎปริภูมิ ซึ่งเหมาะกับการให้จีเสี่ยวจื่อฝึกเซ่นเป็นของขลังมรรคผลพอดี
ทันทีที่ฝึกเซ่นให้มันกลายเป็นของขลังมรรคผล แล้วเชื่อมโยงกับจิตใจของจีเสี่ยวจื่อ พลานุภาพของของขลังชิ้นนี้จะยังยกระดับได้อีกขั้น อีกทั้งจากการที่ผลการฝึกตนของจีเสี่ยวจื่อก้าวทะยานในอนาคต ระดับของของขลังก็จะถูกยกระดับตามเช่นกัน