มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1962
หลัวซิวทำการคำนวณโดยคร่าว ๆ เองรอบหนึ่ง หากเขาอยากเปิดจุดลมปราณที่ 18 บนแขนขวา อย่างน้อยก็ต้องใช้ยาเซียนระดับมกุฎประมาณห้าร้อยเม็ด ซึ่งจำนวนอันน่าสยองนี้ ถึงแม้จะเอายาเซียนยาสมุนไพรที่เพียงพอให้เขา ก็ต้องใช้เวลาที่นานมาก ๆ ถึงจะสามารถกลั่นสกัดออกมาได้ ต้องสูญเสียแรงกายและแรงใจ
ยิ่งไปกว่านั้นคือวัตถุดิบในการกลั่นยาเซียนหนึ่งเตานั้นซับซ้อนอย่างมาก จะไปเอาวัตถุดิบที่มากมายเช่นนั้นมากลั่นได้อย่างไร?
แน่นอนอยู่แล้วว่าหลัวซิวยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถนำมาเปิดจุดลมปราณจุดสุดท้ายได้ ซึ่งนั่นก็คือการเข่นฆ่า!
ใช้กฎการเวียนว่ายตายเกิดยึดครองแก่นแท้ดั้งเดิมของอสูรจิตอื่น ๆ จากนั้นค่อยอาศัยแก่นแท้เหล่านั้นมาทลายระลอกจุดลมปราณ เพื่อเปิดโลการ่างใน
แต่ทว่าหลัวซิวรู้ตัวเองอยู่ว่าตนเป็นคนที่ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์มั่วซั่วมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาไม่กล้าบอกว่าตนไม่มีบ่วงแค้นต่อทุกคนที่ตนฆ่า แต่ทว่าอย่างน้อยตนเองก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจตนเอง
การที่อยากเปิดจุดลมปราณสุดท้ายออกนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้ว หลัวซิวจึงทำได้เพียงเลือกที่จะออกจากการปิดขัง
ในขณะเดียวกัน จีเสี่ยวจื่อและเสิ่นปิงหยูก็ออกจากการปิดขังพร้อมกัน ออร่าที่อยู่บนตัวเสิ่นปิงหยูหนาแน่นขึ้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางปรับสภาวะของตัวเองขึ้นไปถึงสภาวะที่ดีที่สุดแล้ว เตรียมตัวสำหรับการทลายสู่แดนมกุฎเทพพร้อมแล้ว
“เจ้าบรรลุ ข้าจักช่วยคุ้มกันให้แก่เจ้าเอง”เมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าที่อยู่บนตัวเสิ่นปิงหยู หลัวซิวจึงเอ่ยปากพูดโดยตรง
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าของเสิ่นปิงหยูจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ต้องท้าวความก่อนว่า ณ ช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ หากนางจะบรรลุสู่แดนมกุฎเทพ ขณะที่ข้ามผ่านทัณฑ์ซูปินนั่นไม่มีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน
นางได้ยินมาแล้วว่าซูปินพาผู้ติดตามอีกสองคนของเขาเข้าร่วมกองกำลังในบังคับบัญชาของโอรสสวรรค์โชคลาภ ถึงครานั้นต้องมีศึกสงครามที่โหดร้ายเกิดขึ้นแน่นอน
“ศิษย์พี่เหยียนโม่ บุญคุณในครั้งนี้ ข้าเสิ่นปิงหยูจักจารึกไว้ในขั้วหัวใจ”เสิ่นปิงหยูก้มคำนับให้หลัวซิวพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจจริงมาก
การบรรลุสู่มกุฎเทพสำคัญต่อนางมาก ๆ หากมีเหยียนโม่มาคุ้มกันให้ โอกาสที่นางข้ามผ่านทัณฑ์สำเร็จก็จะมีมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินว่านางยังคงเรียกตนว่าเหยียนโม่ หลัวซิวแค่อมยิ้ม แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกหมดคำจะพูดเล็กน้อย แท้จริงแล้วชื่อเหยียนโม่นี้เป็นการบอกใบ้แล้วว่า เหยียนโม่ก็คือเหยียนโม๋ซึ่งหมายถึงช่วงกรรมครั้นเมื่ออยู่ในตำหนักปีศาจเพลิง
แต่ทว่าเสิ่นปิงหยูก็คงคาดไม่ถึงเช่นกันว่านักยุทธ์แห่งโลกามนุษย์เมื่อครั้นนั้นจะมาถึงที่นี่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้โยงชื่อเหยียนโม่เข้ากับ(เหยียนโม๋=ปีศาจเพลิง)เลยด้วยซ้ำ
เสิ่นปิงหยูไม่ได้นำเรื่องนี้มาคาดคะเนตัวตนของเขา หลัวซิวก็จะไม่เป็นฝ่ายที่พูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหลังจากที่เรื่องราวของแดนเทวนิรันกาลจบลงแล้ว เขาต้องถูกผู้คนในกองกำลังใหญ่จำนวนมากหมายตาไว้แน่นอน
ไม่นานนัก เสิ่นปิงหยูก็เลือกสถานที่ข้ามผ่านทัณฑ์ได้หนึ่งแห่ง หลัวซิวและจีเสี่ยวจื่อ รวมไปถึงศิษย์น้องคนนั้นของนางใช้การณ์สามเหลี่ยมคอยคุ้มกันให้นาง
“โครมคราม……”
จากการที่เสิ่นปิงหยูเริ่มทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ บนฟ้าก็มีเมฆครึ้มปกคลุมอย่างหนาแน่น เมฆแห่งทัณฑ์สายฟ้ากลิ้งไหลมา
ยิ่งศักยภาพของตัวนักยุทธ์แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธก็ทรงพลังมากเท่านั้น แค่ดูจากเสียงและอิทธิพลในช่วงเริ่มต้น ก็ดูออกแล้วว่าพลานุภาพของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธนี้ทรงพลังกว่าของจีเสี่ยวจื่อเมื่อครั้นเมื่อมาก!
การที่อยากข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าเช่นนี้ได้อย่างปลอดภัยนั้น เป็นสิ่งที่เครียดอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำยังมีคนต่ำทรามอย่างซูปินนั่นที่คอยจ้องตาเป็นมันอีก
“ศิษย์พี่เหยียนโม่ ท่านคิดว่าศิษย์พี่จักทำสำเร็จหรือไม่เจ้าคะ?”ศิษย์น้องของเสิ่นปิงหยูถามอย่างกังวลใจเล็กน้อย
“นางต้องทำสำเร็จอยู่แล้ว”หลัวซิวยิ้มอย่างสุขุมมาก
ทว่าในเวลานี้เอง สายตาเขาก็ดูเยือกเย็นลงไปเล็กน้อย พลางมองไปทางขอบฟ้าที่ห่างออกไปไกล
ภายในเวลาชั่วขณะ แสงกลสิบกว่าดวงก็บินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสิบกว่าคนจุติลงมาจากฟ้า รวมตัวอยู่ด้วยกันพลางมองมาทางเสิ่นปิงหยูที่กำลังทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์อยู่