มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2828 เซียนธรรมกถา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2828 เซียนธรรมกถา
ย่างเท้าเดินอยู่ในปริภูมิพื้นที่ที่มีแสงเซียนสาดซัด หลัวซิวมองเห็นตำหนักพระราชวังที่กว้างขวางยิ่งใหญ่ติดต่อกันหลายหลัง
ที่นี่มีเมฆหมอกลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป แสงเซียนตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ ตำหนักพระราชวังทั้งหลายตั้งตระหง่าน ราวกับที่อยู่ของเทพเจ้าในตำนานเทพนิยาย
หอมิราจเป็นสถานที่พักของเซียนนอกนภา เป็นสถานที่ที่เขาเคยฝึกตน ไม่นานนัก หลัวซิวก็เดินเข้าไปในพระราชวังอีกหลังหนึ่ง ซึ่งพระราชวังหลังดังกล่าวมีนามว่าตำหนักหงฮวง(ล้นร้าง)
คำว่าหงฮวงหรือล้นร้างมีความหมายที่ล้ำลึกอย่างไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ เพราะสองพยางค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของธรรมดั้งเดิมสองประเภท โดยแบ่งออกเป็นวิถีกลั่นแปรเตาอหังการ และวิถีกลั่นร่างหอคอยฮวง
อันหนึ่งกลั่นร่าง อันหนึ่งกลั่นแปร คำว่าหงฮวงได้แสดงเอกลักษณ์ธรรมดั้งเดิมสองประเภทบนวิถียุทธ์ออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจ
ขณะที่หลัวซิวมาถึงที่นี่ ก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ผู้คนที่อยู่ในหอมิราจไม่ได้รับดอกผลอะไรเลย แต่ในตำหนักหงฮวงแห่งนี้กลับแตกต่างกัน ที่นี่มีร่องรอยที่เซียนทิ้งไว้จำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่นเตาเพลิงที่ใหญ่โตปานดาวเคราะห์ดวงหนึ่งลอยอยู่กลางนภาพระราชวัง บริเวณรอบ ๆ เตาเพลิงมีแก่นสารไฟล้นที่ผนึกรวมมาจากมหาวิถีอหังการหรือธรรมเวชกาลล้นโอบล้อม
ซึ่งแก่นสารไฟล้นประเภทนี้เป็นสิ่งที่ผนึกรวมออกมาจากเกณฑ์ธรรมเวชกาลล้น ได้รับสมญานามว่าเป็นสิ่งที่สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าได้
นอกเหนือจากนี้แล้ว ที่นี่ยังมีอาวุธเทพของขลังที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรองที่ถูกกลั่นจากมือเซียน ภายในอาวุธเทพของขลังเหล่านี้มีความลึกลับมหัศจรรย์และความล้ำลึกของธรรมหงฮวงทั้งสองประเภทแฝงซ่อนอยู่ แต่บริเวณรอบ ๆ กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวต้องห้ามที่แน่นหนา ซึ่งไม่สามารถเอามันไปได้เลยด้วยซ้ำ
แม้นจะไม่สามารถนำสิ่งของที่อยู่ในนี้กลับไป ทว่าแม้จักทำได้เพียงศึกษาเรียนรู้ แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนตระหนักได้ถึงความประณีตสวยวิจิตรของธรรมเวชหงฮวงหรือล้นร้าง โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ย ยิ่งตระหนักพลังเต๋าของที่นี่อย่างมัวเมา เพียงเพื่อแสวงหาโอกาสในการบรรลุ
สิ่งที่จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยศึกษาเรียนรู้คือเตาเพลิงที่ใหญ่โตปานดาวเคราะห์นั่น เตาเพลิงนั่นราวกับของเลียนแบบของอัญโลกล้นหากสามารถหลอมรวมธรรมเวชกาลล้นและธรรมเวชเพลิงอัคคีเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถผนึกรวมอัคคีเต๋าล้นที่สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าออกมาได้
และธรรมเวชกาลล้นก็ไม่ได้อยู่ในรูปแบบเพลิงไฟอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีธาราเต๋านภาล้นที่กลายมาจากเกณฑ์ธรรมเวชกาลล้น หากถูกธาราเต๋าประเภทนี้แผ่คลุม ก็สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกได้เช่นกัน นำแก่นสารของมันหลอมรวมเข้ากับธาราเต๋า แล้วบำรุงตัวจอมยุทธ์เอง
หลัวซิวที่มาถึงที่นี่ก็เหมือนเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่น พยายามลองดูว่าสามารถเอาของขลังอาวุธเทพของที่นี่ไปได้หรือไม่ แต่เขาก็ยอมแพ้อย่างรวดเร็ว เพราะจากการยึดกุมและระดับฝีมือในวิถีค่ายกลของเขา สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าบริเวณรอบ ๆ ของขลังอาวุธเทพเหล่านี้มีตัวต้องห้ามที่แข็งแกร่ง มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้า หากจะใช้อำนาจฝืนเอาสมบัติของที่นี่ไป เกรงว่าคงจะถูกพลานุภาพของตัวต้องห้ามเหล่านี้สังหารจนเหลวแหลกแน่
หลัวซิวเดินวนอยู่ภายในตำหนักหงฮวงแห่งนี้รอบหนึ่ง สามารถพูดได้เลยว่าเขาไม่ได้รับอะไรที่มีประโยชน์เลย แม้นที่นี่จะตลบฟุ้งไปด้วยพลังเต๋าสุดลึกลับและมหัศจรรย์ของธรรมเวชหงฮวง แต่เนื่องจากการพันธนาการโดยผลการฝึกตนของตนเอง ทำให้การตระหนักรู้ในธรรมสองประเภทนี้ของเขาบรรลุถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว นอกเสียจากผลการฝึกตนสามารถก้าวเข้าสู่แดนที่สูงกว่า เขาถึงจะสามารถตระหนักเกณฑ์พลังเต๋าได้สูงขึ้น
ซึ่งนี่ก็คือข้อจำกัดของแดน ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับความสามารถในการตระหนักรู้และความสามารถในการอนุมานของเขาเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็หยุดฝีเท้าลง เนื่องจากเขามองเห็นเตากลั่นยาหนึ่งเตา บนฝาเตากลั่นยาดังกล่าวมีพระราชสาส์นวางอยู่หนึ่งม้วน
พระราชสาส์นม้วนนี้ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับอาวุธชิ้นอื่น ๆ ไม่สามารถเอาไปลงไปจากฝาเตาได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งบริเวณรอบ ๆ อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวต้องห้าม
แต่กลับสามารถแผ่ขยายตัวสำนึกไปได้อยู่ ซึ่งจะไม่ถูกตัวต้องห้ามกีดกัน เขาเห็นคนจำนวนมากต่างพากันส่ายหน้า เนื่องจากแม้ตัวสำนึกจะสามารถสัมผัสพระราชสาส์นดังกล่าวได้ แต่ก็สัมผัสไม่ได้อยู่ดีว่าตกลงสิ่งที่บันทึกอยู่ในพระราชสาส์นดังกล่าวคืออะไรกันแน่
เป็นเรื่องที่แม้แต่มกุฎเทพระดับเก้ายังทำไม่ได้ หลัวซิวจึงไม่ได้คิดอะไรมากเช่นกัน เขาแค่ปลดปล่อยตัวสำนึกเสี้ยวหนึ่งของตัวเองออกไปเพื่อลองทดสอบหยั่งเชิงดู
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือ ณ เสี้ยววินาทีที่ตัวสำนึกของเขาสัมผัสกับพระราชสาส์น ห้วงความคิดของเขาก็ถูกฉุดดึงเข้าไปในปริภูมิที่ลึกลับภายในพริบตา
เขากวาดตามองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ อย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งที่สูงเสียดเมฆ พื้นที่บนยอดเขานี้กว้างใหญ่มาก ๆ มีพระราชวังที่เรียบง่ายและโบราณหลังหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า มีหมอกเซียนลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบพระราชวัง มีเสียงร้องของนกกระสาและเสียงคำรามของเสือมังกรดังก้องอยู่ตรงขอบฟ้าอยู่เป็นระยะ ลมปราณสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ตรงหน้าพระราชวังที่เรียบง่ายและโบราณ มีผู้อาวุโสคนหนึ่งนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนก้อนเมฆก้อนหนึ่ง รอบกายเขาตลบฟุ้งไปด้วยแสงเซียนที่เข้มข้น ผมขาวโพลน สีหน้าเสมือนเด็ก ถือแส้เซียนในมือ ดูลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้
ส่วนด้านล่างของผู้อาวุโสคนดังกล่าว มีเบาะนั่งทรงกลมวางอยู่หลายใบ บนเบาะนั่งทรงกลมทุกใบก็มีคนนั่งอยู่หลายร่างเช่นกัน เสียงและอารมณ์ของทุกคนล้วนแตกต่างกันออกไป มีทั้งผู้ที่ขมวดคิ้วกำลังไตร่ตรองคำถามที่ไม่เข้าใจ และมีผู้ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส จุดตีบตันที่พันธนาการมาหลายปีทลาย จิตใจจึงเบิกบาน
หลัวซิวทำการนับโดยคร่าว ๆ พบว่านอกจากเซียนอาวุโสที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆแล้ว เงาร่างที่นั่งอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมด้านล่างมีทั้งหมด 14 คน
ในขณะที่หลัวซิวกำลังรู้สึกแปลกใจและตะลึงงันอยู่นั้น จู่ ๆ เซียนอาวุโสที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆนั่นก็เอ่ยปากพูด เพียงพริบตาเดียวก็ธรรมกถาเป็นน้ำไหลไฟดับ ทุกคำพูดทุกประโยคล้วนวิวัฒนาการปรากฏการณ์แปลกประหลาดต่าง ๆ ออกมา ไม่ก็กลายเป็นดอกบัวทอง หรือกลายเป็นตรีภพ บ้างก็กลายเป็นภาพฉากที่บุกเบิกฟ้าดิน
เสียงเซียนวนเวียนไปมา เสียงธรรมลึกซึ้ง หลัวซิวรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในกฎเกณฑ์ธรรมฟ้าดินดั้งเดิมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จมปลักอยู่ภายใน ตระหนักความลึกลับและมหัศจรรย์จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้
เขานั่งลงตรงตำแหน่งที่อยู่ห่างไม่ไกลจากจุดที่เซียนธรรมกถาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตั้งใจฟังอย่างสงบ วิถีแห่งเซียนลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ จากแดน ณ ปัจจุบันของหลัวซิวย่อมฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว แต่วิถีไร้ลักษณ์ของเขากลับสามารถบันทึกได้อยู่ ทำการบันทึกความล้ำลึกที่แฝงซ่อนอยู่ในวิถีแห่งเซียนไว้ในกงล้อเทพ เมื่อแดนผลการฝึกตนของตัวเขาเองบรรลุถึงระดับที่แน่นอน เขาก็จะสามารถเข้าใจความล้ำลึกและความหมายที่แฝงซ่อนอยู่ภายในโดยปริยาย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่เป็นจังหวะที่หาพบได้ยากมาก หลัวซิวก็เริ่มเข้าใจได้ลาง ๆ แล้วว่าเหตุใดเมื่อผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ใช้ตัวสำนึกสัมผัสกับพระราชสาส์นจึงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เพราะวิญญาณดั้งเดิมของเขาแปรเปลี่ยนเป็นญาณเทว ดังนั้นตัวสำนักวิญญาณของเขาจึงพิเศษกว่าผู้อื่น ฉะนั้นจึงได้รับการยอมรับจากพระราชสาส์นดังกล่าว เขาถึงสามารถเข้ามาในโลกาแห่งพระราชสาส์น พบเห็นภาพฉากที่เซียนธรรมกถา
“อาจารย์ เราจักตรัสรู้ได้อย่างไรขอรับ?”
ทันใดนั้นเอง ในบรรดาทั้ง 14 คนที่นั่งอยู่บนเบาะนั่งทรงกลม มีชายที่อยู่ในชุดขาวลุกพรวดขึ้นมากะทันหัน ก้มคำนับไปทางผู้อาวุโสอย่างเคารพนบนอบแล้วถามอย่างเคารพรอบคอบ
“การตรัสรู้มีสองหนทาง ซึ่งได้แก่ร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณกลายเซียน เพราะอสูรจิตทั้งปวงในโลกล้วนประกอบมาจากร่างเนื้อและวิญญาณ ร่างเนื้อเป็นที่สถิตของวิญญาณ ส่วนวิญญาณเป็นที่ฝากฝังของร่างเนื้อ ฉะนั้นการฝึกยุทธ์จึงมีวิถีกลั่นร่างและวิถีกลั่นวิญญาณ ในส่วนของผลการฝึกตนที่ยกระดับจากการฝึกตนนั้น เป็นเพียงสิ่งเพิ่มเติมพิเศษของวิถีทั้งสองวิถีนี้”
คำพูดของเซียนทำให้จิตใจหลัวซิวเกิดความงุนงงอย่างแปลกประหลาด เพราะทฤษฎีประเภทนี้ แทบจะเป็นการโค่นล้มระบบการฝึกตนในยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิงเลย
อย่าว่าแต่ในยุคปัจจุบันเลย มาตรแม้นว่าเป็นยุคไท่ชู ระบบการฝึกตนที่เป็นกระแสหลักก็เน้นการยกระดับผลการฝึกตนเช่นกัน ในขณะที่ผลการฝึกตนมีการยกระดับนั้น ร่างเนื้อและพลังวิญญาณก็จะได้รับการยกระดับตาม ผลการฝึกตนเป็นหลัก กลั่นร่างกลั่นวิญญาณเป็นรอง
แม้จะมีจอมยุทธ์ที่เน้นฝึกวิถีกลั่นร่างและกลั่นวิญญาณโดยเฉพาะ แต่เนื่องจากรูปแบบการฝึกตนของทั้งสองวิถีนี้พิเศษและบรรลุยากมาก ดังนั้นมันจึงค่อย ๆ ถูกผู้คนในโลกหล้าทอดทิ้ง แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือหากสามารถยกระดับวิถีการฝึกยุทธ์ทั้งสองประเภทนี้ให้ขึ้นไปถึงแดนสูงสุด ทุกคนล้วนแต่จะมีศักยภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ทว่าเมื่อลองคิดพิจารณาดูดี ๆ หลัวซิวกลับรู้สึกว่าที่เซียนพูดมานั้นมีความหมายมาก ๆ เพราะในขณะที่กลั่นร่างก็ต้องตระหนักรู้เกณฑ์พลังเต๋าเช่นกัน และขอแค่ร่างเนื้อแข็งแกร่งมากพอ เกณฑ์พลังเต๋าที่ตระหนักรู้ได้ลึกซึ้งมากพอ ก็จะยกระดับผลการฝึกตนได้ง่าย ในทางตรงกันข้ามร่างเนื้อยิ่งแข็งแกร่ง ผลการฝึกตนที่ต้องรองรับก็ยิ่งทรงพลังด้วย
ตัวสำนักวิญญาณก็สำคัญเช่นเดียวกัน หากผลการฝึกตนของจอมยุทธ์คนหนึ่งแข็งแกร่ง แต่ตัวสำนึกไม่แข็งแกร่ง ก็จะไม่สามารถควบผลการฝึกตนที่แข็งแกร่ง
ร่างเนื้อเป็นภาชนะที่แบกรับผลการฝึกตน ส่วนตัวสำนักวิญญาณกลับควบคุมผลการฝึกตน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดปล่อดมันให้กลายเป็นกำลังรบ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ระบบการฝึกยุทธ์ของร่างเนื้อและวิญญาณทั้งสองประเภทกลับสำคัญที่สุด ผลการฝึกตนเป็นสิ่งที่รองลงมา ซึ่งเป็นเพียงของเพิ่มเติมพิเศษ!
“อะไรคือร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ?”
“อะไรคือวิญญาณกลายเซียนขอรับ?”
“……”
ผู้คนที่นั่งอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมต่างพากันยิงคำถาม และสิ่งที่เซียนอาวุโสบรรยายถัดจากนี้ ก็เป็นสิ่งที่หลัวซิวฟังไม่รู้เรื่องแล้ว เพราะมันเกี่ยวเนื่องถึงความล้ำลึกของแดนที่อยู่เหนือประมุขเต๋า
แต่หลัวซิวก็พอจับใจความได้โดยคร่าว ๆ เช่นกัน อ้างอิงจากการตัดสินระบบการฝึกยุทธ์ของเซียน ก็มีการแบ่งระดับเช่นกัน ซึ่งแดนประมุขเต๋าก็คือปลายทางของระดับสาม และหากต้องการอยู่เหนือแดนประมุขเต๋า ก้าวเข้าสู่ระดับสี่ ก็จะมีเส้นทางให้เลือกสองทาง
ทางแรกก็คือร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งความหมายของมันก็เหมือนดั่งสิ่งที่กล่าวมา นั่นก็คือฝึกร่างเนื้อให้ถึงขีดสูงสุด อยู่เหนือร่างเทวประมุขเต๋า บรรลุเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ หรือแคนชาวศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
ส่วนอีกเส้นทางลงก็คือวิญญาณกลายเซียน วิญญาณดั้งเดิมค่อย ๆ แปรเปลี่ยนทีละขั้นจนกลายเป็นช่องจิต สุดท้ายก็กลายเป็นญาณเซียนซึ่งเรียกว่าเซียนนั่นเอง
ชาวศักดิ์สิทธิ์และเซียนเป็นการคงอยู่ที่อยู่ในแดนเดียวกัน สิ่งที่แตกต่างกันคือคนหนึ่งมีร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง ส่วนอีกคนหนึ่งมีวิญญาณที่แข็งแกร่ง
ส่วนญาณเทวของหลัวซิวนั้น แม้นระดับของมันจะอยู่สูงกว่าช่องจิตทั่วไป ทว่าก็ยังห่างไกลจากญาณเซียนมาก ๆ พูดได้แค่ว่าเป็นการเริ่มย่างกรายสู่เส้นทางแห่งการเป็นเซียน
ในขณะเดียวกันนี่ก็หมายความว่าตัวบรมครูวิถีค่ายผู้ริเริ่มเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ ก็ไม่ได้บรรลุถึงแดนเซียนเช่นกัน
ธรรมกถาของเซียนทำให้หลัวซิวได้เปิดประตูสู่โลกแห่งการฝึกยุทธ์ที่ชัดเจน หากพูดถึงในอดีต เขายังรู้สึกสับสนและงุนงงต่อเส้นทางการฝึกยุทธ์ในอนาคตของตัวเองมาก ๆ เช่นนั้นหลังจากฟังธรรมกถาในครั้งนี้ คำถามและความสับสนมากมายก็ได้รับการคลี่คลาย ราวกับแหวกเมฆหมอกออกแล้วเจอท้องฟ้าที่สดใส
หลังจากที่ผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ภาพฉากที่อยู่รอบกายก็ค่อย ๆ เลือนลาง จิตสำนึกของหลัวซิวก็ถอนออกมาจากภาพฉากที่เซียนธรรมกถาเช่นกัน กลับมาถึงร่างดั้งเดิมของเขา
เขาอยากฟังเซียนธรรมกถาอีกครั้งมาก ๆ แต่เมื่อตัวสำนึกของเขาสัมผัสกับพระราชสาส์น กลับไม่มีโอกาสอย่างในเมื่อครู่นี้ปรากฏอีก
นี่จึงทำให้หลัวซิวเข้าใจว่าโอกาสเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาพบได้แต่ร้องขอไม่ได้
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารหนึ่งดวง เขาหันหน้ากลับไปมอง จากนั้นก็มองเห็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ซึ่งจิตสังหารดังกล่าวก็ส่งตรงมาจากตัวเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนี่แหละ
แต่ว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็น่าจะไม่มีความมั่นใจในการกำราบเขาเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือคาที่แต่อย่างใด
หลัวซิวหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ ขอแค่อยู่บนพสุดารานอกนภา ศักยภาพของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนจะฟื้นฟูกลับมาช้ามาก ส่วนศักยภาพของเขากลับเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะหลังจากได้รับโชคโอกาสในแดนเซียนนอกนภาครั้งแล้วครั้งเล่า ศักยภาพของเขา ณ วินาทีนี้แข็งแกร่งกว่าครั้นเมื่อประมือกับเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนในก่อนหน้านี้มาก ๆ แล้ว
แต่เขาก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะสามารถกำราบเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนได้ ดังนั้นหลังจากสบตากันเสี้ยววินาที ทั้งสองก็ดึงสายตากลับมา ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัวซึ่งกันและกัน
ดังคำกล่าวที่ว่าอูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า คนรวยเมื่อยามเข้าตาจนก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่าคนจน อย่างไรเสียเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนี่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า แม้นจะอยู่ภายใต้สภาวะที่ผลการฝึกตนถูกกดอัด เขาต้องมีอุบายและไพ่เด็ดที่แข็งแกร่งจำนวนมากแน่นอน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้หลัวซิวหวาดกลัวอย่างแท้จริงต่างหาก
“เป็นเพียงผู้น้อยกระจอก ๆ ที่แม้แต่เทพมารระดับเก้ายังบรรลุไม่ถึง หากสหายสิงต้องการละก็ ข้าสามารถช่วยเจ้าลงมือกำจัดมันทิ้งได้”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ชายชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็เอ่ยปากพูด “ข้ามาถึงพสุดารานอกนภาตั้งแต่เมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อนแล้ว แม้ศักยภาพยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนไปถึงมกุฎเทพระดับเก้า ทว่าขอเพียงเจ้าและข้าร่วมมือกัน ต้องสามารถกำจัดมันทิ้งได้อย่างง่ายดายแน่นอน”
ขณะที่ชายชุดขาวพูด หลัวซิวก็สังเกตเห็นฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน หลังศีรษะของคนดังกล่าวก็มีกงล้อเทพลอยอยู่ห้าวง กงล้อเทพทุกวงล้วนผนึกรวมได้แข็งแกร่งมาก คุณภาพบรรลุถึงระดับสมบูรณ์แบบ อีกทั้งรอบกงล้อเทพทั้งห้าวงนั้นยังมีเงาลวงของกงล้อเทพปรากฏอีกสามวง แต่ทว่าพลานุภาพของกงล้อเทพทั้งสามวงนั้นล้วนถูกเกณฑ์ฟ้าดินของพสุดารานอกนภากดอัดอยู่
เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่านั่นคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อที่มาจากห้วงดารานอกพสุดารานอกนภา!
“สองหมื่นปีแต่ศักยภาพยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนไปถึงมกุฎเทพระดับเก้า ทางที่ดีกูแนะนำให้มึงระมัดระวังคำพูดคำจาของตัวเองหน่อยจักดีกว่า มิเช่นนั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งก็มีโอกาสตายอยู่ในเงื้อมมือผู้น้อยคนหนึ่งสูงมาก”หลัวซิวกวาดตามองคนดังกล่าวด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง แล้วพูดด้วยคำพูดที่มีการข่มขู่ปนอยู่เล็กน้อย
แค่เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนคนเดียวก็ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นแล้ว แม้นชายชุดขาวนั่นจักด้อยกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเล็กน้อย แต่กลับใช้เวลาสองหมื่นปีก็คุ้นเคยและเข้ากับเกณฑ์ฟ้าดินบนพสุดารานอกนภาได้แล้ว ดังนั้นศักยภาพที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมาได้ในพสุดารานอกนภาต้องไม่ด้อยกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนแน่นอน
หากคนสองคนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นร่วมมือกัน เช่นนั้นสถานการณ์ต้องไม่ดีต่อหลัวซิวมากอย่างแน่นอน