มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2829 ศิษย์ของมกุฎเต๋า
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2829 ศิษย์ของมกุฎเต๋า
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว สีหน้าอารมณ์ของชายชุดขาวนั่นก็ดูผงะเล็กน้อย ต่อมาก็มีรังสีแห่งความโกรธปรากฏบนใบหน้า แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูด: “ช่างเป็นผู้น้อยที่โอหังยิ่งนัก สหายสิง โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของพวกเจ้ามีพวกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้อุบัติขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
คนดังกล่าวคำก็บอกว่าโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของพวกเจ้า สองคำก็บอกว่าโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของพวกเจ้า นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกตะลึงและสงสัยอย่างอดไม่ได้ และมีการคาดคะเนลาง ๆ ในใจ
“มึงไม่ใช่จอมยุทธ์จากโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของเราหรือ?”หลัวซิวถามหยั่งเชิง
“ดูท่ามึงไม่เพียงเป็นผู้น้อยที่โอหังอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นพวกบ้านนอกคอกนาที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย อย่าบอกนะว่ามึงคิดว่าในดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีเพียงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดรวมไปถึงสรรพโลกที่ระดับต่ำกว่า?”
ชายชุดขาวยิ้มเยาะ แล้วพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ที่หยิ่งยโส “โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือสามารถพูดได้เลยว่าสรรพโลกที่มีโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเป็นจุดศูนย์กลาง ก็เป็นเพียงส่วนต่อหนึ่งของดาราจักรวาล!”
“จักรพรรดิอย่างกูมาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง ในโลกาฟ้าดินหลิงหลงของเราเปี่ยมไปด้วยอันตรายในความมืดมิดที่อาจมีพยัคฆ์ซุ่มซ่อน มังกรเร้นกาย มีผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วน จากอุบายของจักรพรรดิอย่างกู สามารถบดขยี้มึงให้ตายได้ง่ายดังปอกกล้วยเข้าปากเลยล่ะ!”
นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่หลัวซิวได้ยินโลกาฟ้าดินหลิงหลง จากคำพูดคำจาของชายชุดขาวสามารถดูออกอยู่ว่าโลกาฟ้าดินหลิงหลงน่าจะเป็นส่วนต่อหนึ่งที่อยู่ในระดับเดียวกันกับโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ยิ่งกว่านั้นคืออาจมีระดับสูงกว่าโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็เป็นได้!
หลัวซิวหรี่ตาลง แต่เขากลับไม่ได้พัวพันอยู่ที่นี่ต่อ และไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินจากไป
จากสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของเขา ไม่อยากให้มีเรื่องราวที่ไม่มีความจำเป็นเกิดขึ้นมากเท่าไหร่นัก ต่อให้จะแตกหักและลงไม้ลงมือกับเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน ก็ต้องรอให้ออกไปจากแดนเซียนนอกนภาก่อนค่อยว่ากันอีกที บัดนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือต้องได้รับโอกาสที่มากกว่า พยายามบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ขอแค่เขาสามารถบรรลุ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อหรือมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ เมื่ออยู่บนพสุดารานอกนภา ขอแค่ไม่สามารถใช้อานุภาพแห่งกงล้อเทพหกวง เช่นนั้นเมื่อตกอยู่ในกำมือเขาก็ไม่ต่างอะไรจากของไร้ประโยชน์ เป็นเพียงขยะที่เปราะบางมากจนไม่อาจทนแรงกระแทกเดียว!
เมื่อเห็นหลัวซิวหันหลังจากไป ก็มีความอาฆาตมาดร้ายปรากฏบนใบหน้าชายชุดขาว ในขณะที่เขากำลังจะลงมืออยู่นั้น แต่กลับถูกเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนห้ามปรามไว้ก่อน ส่ายหน้าแล้วพูด: “สหายยู่เหมิน อย่าริอ่านดูถูกคนดังกล่าวเป็นอันขาด มันดูเหมือนเป็นวัยรุ่นผู้น้อย แท้จริงแล้วกลับเป็นร่างที่ผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งเมื่อหนึ่งยุคตรีภพก่อนกลับชาติมาเกิด มิหนำซ้ำนี่ก็เป็นบุญคุณความแค้นระหว่างข้าและมัน ข้าไม่อยากให้สหายยู่เหมินเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยแต่อย่างใด”
“แค่ร่างผู้สูงส่งกระจอก ๆ กลับชาติมาเกิดเท่านั้นเอง อย่าว่าแต่โลกาฟ้าดินหลิงหลงของเราเลย ต่อให้เป็นโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของพวกเจ้า ตั้งแต่โบราณกาลมาก็มีผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ในจำนวนผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่กลับชาติมาเกิดก็มีผู้ที่ตายก่อนวัยอันควรเยอะมาก ตลอดจนผู้ที่ไม่สามารถฟื้นฟูผลการฝึกตนในอดีตชาติ ดังนั้นเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องเอาคนต่ำต้อยเช่นนั้นมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ”
ชายชุดขาวเบ้ปาก ราวกับในสายตาเขา ผู้ที่มีภูมิฐานกลับชาติมาเกิดเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงยังไงอย่างนั้น
“แต่ว่าในเมื่อสหหายสิงพูดเช่นนี้แล้ว ข้าย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว”ชายชุดขาวพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน เขาก็ทราบเช่นกันว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนคือมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งประเภทนี้ ทุกคนล้วนมีความหยิ่งผยองของตัวเอง การที่ไม่ไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่สหายยู่เหมินเข้าใจ”เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนยิ้มพลางพยักหน้า “ช่วงนี้เจ้าสำนักน้อยแห่งตระกูลเจ้าสบายดีหรือไม่?”
เมื่อพูดถึงเจ้าสำนักน้อย ใบหน้าของชายชุดขาวก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพน้อมน้อมทันที ก่อนจะตอบกลับว่า: “เจ้าสำนักน้อยของเราย่อมสบายดีอยู่แล้ว อีกทั้งผลการฝึกตนของเจ้าสำนักน้อยบรรลุถึงแดนราชาเทพระดับเก้าตั้งแต่หนึ่งร้อยกว่าปีก่อนแล้ว สหายสิง เจ้าก็น่าจะทราบอยู่ว่าเจ้าสำนักน้อยแตกต่างจากเรา ๆ เจ้าสำนักน้อยฝึกตนหนึ่งร้อยปี ก็แทบจะสามารถเทียบเท่าเราทั้งสองตบะเป็นหมื่นปีตลอดจนล้านปีแล้ว เกรงว่าใช้เวลาอีกไม่กี่ปี เจ้าสำนักน้อยก็น่าจะสามารถบรรลุถึงแดนมกุฎเทพระดับเก้าแล้ว”
“เซียนนอกนภาเป็นผู้แข็งแกร่งที่เก่าแก่อย่างยิ่ง เล่ากันว่าเขาประสบความสำเร็จบนวิถีเซียนแล้ว ครั้งนี้ข้าก็ได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักน้อยเพื่อมาสำรวจพสุดารานอกนภาเช่นกัน หากที่นี่มีการถ่ายทอดสืบสานของเซียนคงอยู่จริง ๆ ไม่แน่เจ้าสำนักน้อยก็อาจจะเดินทางมาด้วยตนเองหนึ่งเที่ยว”
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อคนหนึ่ง เมื่อมองในมุมโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ก็ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่หาพบได้ยากมากแล้ว
อย่างไรก็ตามผู้แข็งแกร่งเช่นนี้กลับเลื่อมใสและเคารพในตัวชายหนุ่มที่เพิ่งบรรลุสู่แดนราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่งมาก ๆ เช่นนั้นเจ้าสำนักน้อยที่พวกเขากล่าวถึงนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิหลังน่าสยดสยองอย่างยิ่งแน่นอน
แต่เจ้าสำนักน้อยนั่นใช้เวลาเพียงร้อยกว่าปี ก็ใกล้จะบรรลุสู่แดนมกุฎเทพระดับเก้าแล้ว ความเร็วในการฝึกตนและพรสวรรค์ปัญญาเช่นนี้ ก็พอจะพูดได้เลยว่าสะเทือนฟ้าสะเทือนมากแล้ว
หลัวซิวไม่ได้อยู่ในตำหนักหงฮวงนานเท่าไหร่นัก จากการที่ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่ในนี้ไม่ได้รับดอกผลอะไร ดังนั้นจึงต่างพากันเลือกที่ออกจากที่นี่
ดินแดนนอกนภากว้างใหญ่มาก เดินทางข้ามผ่านกลุ่มตำหนักพระราชวังที่กว้างใหญ่ จากนั้นด้านหน้าก็มีตรีภพโกลาหลที่มโหฬารพันลึกปรากฏเป็นวงกว้าง
ผลการฝึกตนยิ่งสูง แดนยิ่งสูง ก็จะยิ่งสามารถสัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่และความลึกซึ้งที่ไม่อาจคาดเดาได้ของตรีภพโกลาหล
จอมยุทธ์ทั่วไปส่วนมากล้วนคิดว่าวิถีตรีภพไม่แข็งแกร่งเท่ากฎชั้นยอดอย่างการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลา ทว่าแท้จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้จอมยุทธ์ส่วนมากคิดเช่นนี้นั้น อันที่จริงมันเป็นเพราะวิถีตรีภพฝึกยากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่นอัจฉริยะไร้เทียมทานคนหนึ่ง ถ้าเกิดเขาฝึกวิถีห้วงเวลา แค่ต้องใช้เวลาหมื่นปีก็สามารถฝึกถึงแดนเทพมารแล้ว
และถ้าเกิดให้เขาฝึกวิถีตรีภพละก็ ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานกว่ามาตกตะกอน และยิ่งอาจจะทำให้หยุดอยู่ในแดนใดแดนหนึ่ง ไม่สามารถบรรลุสู่แดนที่สูงยิ่งกว่า
เพราะตรีภพครอบจักรวาล ตำนานเล่ากันว่าทั้งดาราจักรวาลก็กำเนิดและวิวัฒนาการออกมาจากตรีภพโกลาหลนี่แหละ ยิ่งกว่านั้นคือสามารถพูดได้เลยว่ากฎเกณฑ์ต่าง ๆ นานาในจักรวาลฟ้าดิน ล้วนวิวัฒนาการออกมาจากตรีภพ
ตรีภพกำเนิดสรรพสิ่ง และสามารถทำลายสรรพสิ่งได้เช่นกัน ลักษณะพิเศษประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับวิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิว แต่ในด้านเนื้อแท้ก็แตกต่างจากวิถีไร้ลักษณ์อยู่
เพราะตรีภพนั้นมีรูปร่าง เป็นการวิวัฒนาการและทำลายอย่างมีรูปร่าง ส่วนไร้ลักษณ์กลับไม่มีรูปร่าง ซึ่งนี่ก็หมายความว่าหากวิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิวสามารถบรรลุถึงแดนที่แน่นอน เช่นนั้นแม้แต่ตรีภพ วิถีไร้ลักษณ์สามารถวิวัฒนาการออกมาได้
ทางหินชนวนสีเขียวที่ยาวเหยียดเส้นหนึ่งได้มุ่งไปสู่ตรีภพโกลาหล ตรีภพที่ปรากฏคือสภาพกระแสอากาศสีเทา ภายในมีปราณม่วงล่องลอย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโกลาหล
ตรีภพและโกลาหลเป็นร่างเดียวกัน ส่วนโกลาหลเป็นลักษณะการผนึกรวมประเภทหนึ่งที่เหนือชั้นกว่าตรีภพ ซึ่งถูกเรียกว่าชี่โกลาหิตหรือชี่ม่วงโกลาหล
ในอดีตหลัวซิวเคยคบค้าสมาคมกับตระกูลหง แม้นวรยุทธ์ที่ฝึกจะเป็นวรยุทธ์ตรีภพ แต่แท้จริงแล้วมันแค่เป็นการสัมผัสกับจุดที่ตื้นที่สุดของวิถีตรีภพเท่านั้น ไม่ถือเป็นตรีภพเบื้องต้นด้วยซ้ำ
และเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่ลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ของตรีภพนี่เอง ดังนั้นยักษ์อสูรจิตทุกดวงที่กำเนิดในตรีภพ จึงมีกำลังรบที่น่าสยดสยองมาตั้งแต่กำเนิด
ทุกคนล้วนมองเห็นภาพเหตุการณ์สุดระทึกนี้ เพราะตรีภพแห่งนี้มันกว้างใหญ่มากเกินไปแล้วจริง ๆ ยิ่งมีคนมองเห็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างยิ่งกำเนิดในตรีภพ มีเหล็กเซียนตรีภพก้อนหนึ่งที่มีขนาดเท่าภูเขาที่สูงใหญ่ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ สามารถพูดได้เลยว่าเหล็กเซียนตรีภพประเภทนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่กำเนิดในตรีภพ ซึ่งสามารถเรียกของขลังอาวุธเทพที่ทรงพลังที่สุดออกมา
เล่ากันว่าอาวุธเทพประมุขเต๋าที่ตกทอดมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ก็เป็นสมบัติที่หลอมสร้างมาจากเหล็กเซียนตรีภพนี่แหละ
ถัดจากนั้นก็มีคนมองเห็นต้นไม้เล็กที่ดูโบราณและเรียบง่ายต้นหนึ่งลอยผ่านไปในตรีภพ ต้นไม้ดังกล่าวเป็นสีม่วงล้วน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นต้นไม้เทพโกลาหลที่ผนึกรวมมาจากโกลาหลบริสุทธิ์!
โกลาหล คือรูปแบบของตรีภพระดับสูงสุด ส่วนต้นเทวที่ชี่ม่วงโกลาหลหล่อเลี้ยงออกมายิ่งมีพลังตรีภพที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งแฝงซ่อนอยู่ มูลค่าของต้นเทวต้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหล็กเซียนตรีภพในเมื่อครู่นี้สามารถเทียบเคียงได้
“ตู้มม!”
จู่ ๆ ก็มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งระเบิดแตก เมื่อจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยมองเห็นเหล็กเซียนตรีภพ เขาแค่รู้สึกหวั่นไหวเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม ทว่าเมื่อต้นไม้เทพโกลาหลลอยผ่านไป เขาก็ลงมืออย่างไม่ลังเลใจเลย
เมื่อเดินอยู่บนทางหินชนวนสีเขียว ผู้คนสัมผัสความอันตรายใด ๆ ไม่ได้เลย เพราะบริเวณรอบทางหินชนวนสายนี้มีแสงเซียนเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้พื้นที่บนทางหินชนวนตัดขาดกับปริภูมิตรีภพของโลกาภายนอก
ทว่าหลังจากจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยใช้มือใหญ่ที่ผนึกรวมออกมาจากแรงเต๋ายื่นออกไปจากทางหินชนวน ก็ถูกกระแสอากาศตรีภพม้วนซัดจนพังทลายแตกสลาย ยิ่งกว่านั้นคือยังมีพลังตรีภพที่มากมายมหาศาลทะลุเข้ามา ทำให้แขนของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพอาวุโสคนนี้ระเบิดแตกคาที่ เลือดสีแดงสดสาดกระเด็น
จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยร้องเฮือกทีหนึ่ง แขนข้างที่ขาดถูกพลังตรีภพทำให้สลายหายไปแล้ว บาดแผลตรงแขนที่ขาดมีออร่าตรีภพลอยวนเวียนไปมา ทำให้ต่อให้เขาจะโคจรเคล็ดวิชาพลังอมตะ ก็ไม่สามารถฟื้นฟูแขนข้างนี้ให้กลับคืนมาได้
ทุกคนที่เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวต่างสั่นสะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยยังถูกโจมตีจนบาดเจ็บเช่นนี้ แล้วจักยังมีผู้ใดกล้ามุ่งหวังเหล็กเซียนสมบัติล้ำค่าที่กำเนิดในตรีภพนั่นอีก?
ใบหน้าของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยหม่นหมอง ไม่พูดอะไรสักคำ คนอื่นที่เหลือย่อมไม่กล้าพูดจาไร้สาระอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าต่ออย่างเงียบ ๆ
ระหว่างทาง ผู้คนจะมองเห็นสมบัติล้ำค่าค่าง ๆ นานาที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนลอยผ่านไปในตรีภพ แม้จะตาร้อนผ่าวหัวใจเต้นแรง แต่กลับทำได้เพียงมองดูอย่างตาละห้อย ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรผลีผลาม
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีเจตนาแฝงก็ค่อย ๆ ค้นพบเช่นกันว่าตั้งแต่มาถึงดินแดนนอกนภาเป็นต้นมา ดูเหมือนจะไม่สามารถนำสิ่งของที่อยู่ภายในนี้ออกไปได้เลย แล้วโอกาสที่อยู่ในแดนเซียนนอกนภาคืออะไรกันแน่นะ?
หลัวซิวก็ย่อมค้นพบจุดนี้อยู่แล้ว ทว่าเขากลับได้รับโอกาสที่นี่สองครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งคือการตระหนักธรรมในหอมิราจ ส่วนอีกครั้งหนึ่งคือเซียนธรรมกถาในตำหนักหงฮวง
โอกาสทั้งสองครั้งนี้มีประโยชน์ต่อเขาอย่างยิ่ง ทำให้เขายืนยันเส้นทางที่จะพัฒนาในอนาคต ขาดโอกาสโชคอีกเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ก็จะสามารถทลายพันธนาการของเทพมารระดับเก้า ก้าวเข้าสู่ระดับสามของการฝึกยุทธ์!
หลังจากที่ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไหร่ ก็มีหอคอยเทวสีทองเก้าชั้นปรากฏตรงหน้า ส่วนภายในเสี้ยววินาทีที่หลัวซิวมองเห็นหอคอยหลังดังกล่าว แววตาเขาก็เหม่อลอยไปอย่างควบคุมไม่ได้
“หอคอยฮวง?”
ไม่เพียงหลัวซิวเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่มาจากโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็เคยพบเห็นหอคอยฮวงเช่นกัน หรือไม่ก็เคยได้ยินหอคอยฮวง ดังนั้นเมื่อเห็นหอคอยเทวหลังนี้ แววตาของคนเหล่านั้นจึงดูตะลึงอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่หอคอยฮวงที่แท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน ภายในมีเกณฑ์พลังเต๋าของธรรมเวชกาลร้างที่มากมายมหาศาลและลึกซึ้งอย่างยิ่งไหลเวียน”มีผู้แข็งแกร่งพูดกระแทกเสียงต่ำ
“เล่ากันว่าหอคอยฮวงที่แท้จริงเป็นอัญสมบัติที่กำเนิดจากดั้งเดิม เป็นวัตถุพรสวรรค์ ส่วนหอคอยฮวงที่เรามองเห็นในตอนนี้กลับฝึกเซ่นขึ้นมาโดยพรแสวง อุบายในการกลั่นปราดเปรื่องอย่างยิ่ง แทบจะเอาของปลอมมาปนกับของจริงได้แล้ว”
“เวิ่งง!”
ในขณะที่ผู้คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีรัศมีเทวบินออกมาจากหอคอยฮวงสีทองที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะมีชายที่ร่างกายกำยำบึกบึนคนหนึ่งปรากฏตรงตำแหน่งที่รัศมีเทวร่วงลง
เมื่อเห็นว่ามีคนปรากฏ ทุกคนล้วนดูตะลึงงันอย่างมาก มีเพียงจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยที่เคยเข้ามาที่นี่หนึ่งครั้งที่สีหน้าเรียบนิ่งปกติ
“ข้าคือศิษย์เต็มตัวของมกุฎเต๋านอกนภา การที่พวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้นั้น แสดงว่าพวกเจ้ามีวาสนา หากสามารถผ่านด่านข้าไปได้ ก็จะมีโอกาสเข้าเฝ้ามกุฎเต๋า ได้สืบทอดเคล็ดวิเศษเลิศล้ำ”
เสียงของชายร่างยักษ์ก้องกังวาน พร้อมกับอำนาจที่น่าเกรงขาม พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม: “และถ้าหากพวกเจ้าอยากผ่านด่านข้า ก็ต้องโค่นล้มข้าให้ได้ก่อน!”