มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2830 ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2830 ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
มกุฎเต๋านอกนภา?
มีคนทำหน้างุนงง “เซียนนอกนภาเป็นเซียนแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงต้องเรียกท่านว่ามกุฎเต๋า?”
“อาจารย์ยังไม่บรรลุเป็นเซียน”
สำหรับคำถามนี้ ชายร่างยักษ์นั่นตอบกลับได้ตรงไปตรงมามาก พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “แม้นอาจารย์จะยังไม่บรรลุเป็นเซียน ทว่าก็อยู่ไม่ไกลจากเซียนแล้ว สามารถนับได้ว่าอยู่ในแดนกึ่งเซียน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ชายร่างยักษ์ก็ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง แล้วกวาดตามองผู้คน “แต่ทว่าอย่างพวกเจ้าในตอนนี้น่ะ การพูดถึงเรื่องบรรลุเป็นเซียนมันดูไขว่คว้าสิ่งที่เกินตัวไปหน่อย ก่อนที่พวกเจ้าจะผ่านด่านของข้า จำเป็นต้องทดสอบปัญญาและความสามารถในการตระหนักรู้ของพวกเจ้าก่อน!”
“เวิ่ง!”
เห็นเพียงชายร่างยักษ์ยื่นมือปลดปล่อยกระบวนท่าออกมาหนึ่งท่า หอคอยฮวงจึงบินลอยขึ้นฟ้า ลอยอยู่กลางนภา จากนั้นก็มีพลังดูดกลืนวิญญาณที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา
“ในบรรดาพวกเจ้าทั้งหมด มีเพียง 120 คนเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ารอบ ผู้ใดจะสามารถอยู่ต่อ ผู้ใดจะตกรอบ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าเองแล้วล่ะ”
เสียงที่มีอำนาจอันน่าเกรงขามดังก้องอยู่ข้างหูทุกคน มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยก็ไม่สามารถคัดค้านได้เลยแม้แต่น้อย ถูกดึงดูดเข้าไปในหอคอยฮวงภายในพริบตา
หลัวซิวย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้นอยู่แล้ว หลังจากที่เขาเข้าไปในหอคอยฮวง ก็ค้นพบพื้นที่ที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง
ภายในพื้นที่ดังกล่าวมีเพียงสีขาวสีเดียวเท่านั้น หลัวซิวกวาดตามองดูบริเวณรอบ ๆ ก่อนจะเห็นเงาร่างทั้งหลายปรากฏอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนเหล่านี้ก็คือเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เดินอยู่บนทางหินชนวนสีเขียวแล้วทะลุข้ามผ่านตรีภพมาพร้อมกับเขานั่นเอง
“ตู้มม!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดแตกดังขึ้น ทั่วพื้นที่ดังกล่าวก็ราวกับถูกวัตถุมีน้ำหนักกดอัดยังไงอย่างนั้น สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกัน ก็มีพลังอำนาจที่มากมายมหาศาลจุติลงมาเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น ไยผลการฝึกตนของข้าจึงลดต่ำลงแล้ว?”
มีเสียงตะโกนอุทานกะทันหัน จากนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต่างพากันตรวจสอบผลการฝึกตนของตัวเอง เห็นเพียงผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดลงไปที่แดนเทพมารแล้ว ซึ่งแดนเทพมารที่กล่าวถึงไม่ใช่เทพมารระดับเก้า แต่เป็นเทพมารที่แดนยุทธ์เพิ่งมีการบรรลุแล้วผนึกรวมช่องจิตออกมา
เมื่ออยู่ภายใต้แดนประเภทนี้ ไม่สามารถโคจรใช้สอยเกณฑ์พลังเต๋าได้เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ทุกคนสามารถโคจรได้มีเพียงพลังแห่งกฎเท่านั้น
ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็ถูกกดอัดเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ศักยภาพแตกต่างกันเยอะมาก เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ วิถีไร้ลักษณ์ของเขาก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ เช่นกัน
ไม่เพียงเขาเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยก็ถูกกดอัดด้วย แม้แต่จักรพรรดิเทพยังไม่สามารถต่อกรกับพลังแห่งการกดอัดของหอคอยฮวงได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเขาที่เป็นเทพมารระดับแปดเล็ก ๆ คนหนึ่งเล่า?
สิ่งที่หอคอยฮวงชำนาญมากที่สุดก็คือการกดอัด หลัวซิวก็เริ่มเข้าใจเล็กน้อยแล้วว่าเหตุใดจึงต้องดูดทุกคนเข้ามาในหอคอยฮวง ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อกดอัดให้ผลการฝึกตนขอทุกคนอยู่ในแดนเดียวกัน
แม้นผลการฝึกตนถูกกดอัดจะทำให้คนจำนวนมากต่างรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าอย่างไรเสียทุกคนที่มาถึงที่นี่ก็ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่ง จึงฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างระมัดระวังซึ่งกันและกัน
เพราะศิษย์ของมกุฎเต๋าในเมื่อครู่นี้ได้บอกแล้วว่าผู้ที่สามารถผ่านด่านในรอบนี้ได้มีเพียง 120 คนเท่านั้น ซึ่งคนที่เหลือล้วนจะตกรอบ
และวิธีการตกรอบที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดก็คือการเข่นฆ่า!
“ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยประสบมานานเสียจริง……”
หลัวซิวมองดูมือทั้งสองข้างของตัวเอง สัมผัสกับผลการฝึกตนในร่างกายที่ถูกกดอัดลงไปที่แดนเทพมาร เขาจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเพิ่งบรรลุถึงเทพมารในภพชาตินี้
อยู่ในแดนเทพมารเหมือนกัน ทว่าเขาในวินาทีนี้กลับแข็งแกร่งกว่าอดีตหลายเท่าตัวมาก
เพราะเขาในตอนนั้นยังไม่ยึดกุมวิถีไร้ลักษณ์ ยังไม่มีระบบการฝึกตนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ และไม่ได้ยึดกุมมหาอิทธิฤทธิ์ที่ทรงพลังอย่างปัจจุบันด้วย
ศึกการต่อสู้เพื่อคัดผู้เข้ารอบไม่ได้เริ่มต้นทันทีแต่อย่างใด เพราะทุกคนล้วนระมัดระวังอย่างมาก เมื่ออยู่ที่นี่ต่อให้เป็นผู้แข็งแรงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าก็ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดอยู่ที่แดนเทพมาร ต่อให้ศักยภาพของเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ต้านทานต่อการถูกรุมโจมตีไม่ไหว
“ชัวะ! ชัวะ! ชัวะ! ……”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาดำทั้งหลายลอยขึ้นฟ้า แล้วบินไปยังทั่วทุกสารทิศของพื้นที่ปริภูมิแห่งนี้ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคนจำนวนมากต่างวางแผนที่จะหาสถานที่หลบภัยก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตะลุมบอนรุมโจมตีแล้วตกรอบ
อีกทั้งผู้คนต่างคุ้นเคยกับผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งแล้ว จึงต้องใช้เวลามาทำความคุ้นเคยกับการใช้สอยพลังแห่งกฎในแดนเทพมาร มีเพียงปรับสภาพจิตใจและสถานการณ์ของตัวเองให้ขึ้นไปถึงจุดที่ดีที่สุด ถึงจะมีโอกาสโค่นล้มคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ ได้สูงขึ้น
มีจอมยุทธ์สิบกว่าคนรวมตัวเข้าด้วยกัน โดยที่มีชายชุดขาวผู้มีนามว่ายู่เหมินนั่นเป็นผู้นำของคนกลุ่มนั้น พวกเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือที่มาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดอยู่ที่แดนเทพมาร เมื่อจำนวนคนสิบกว่าคนรวมตัวเข้าด้วยกัน ก็พอจะพูดได้เลยว่าสามารถกวาดล้างทุกคนที่อยู่ในนี้ได้แล้ว
“เหอะ ๆ ไม่นึกเลยว่าในแดนเซียนนอกนภานี้จะยังมีการกำหนดผู้ตกรอบเช่นนี้ด้วย ผลการฝึกตนถูกกดอัด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งมาถึงก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรจากเทพมารทั่วไปอยู่ดีมิใช่หรือ?”
ชายชุดขาวหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง พัดโบกพัดกระดาษที่อยู่ในมือเบา ๆ ดั่งท่านชายที่สะอาดสะอง พลางยิ้มพลางพูด: “วันนี้พวกเราจะทำให้เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากที่อยู่ในนี้ตกรอบให้หมด ทำให้พวกบ้านนอกคอกนาจากโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดได้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์จากโลกาฟ้าดินหลิงหลงอย่างเรา!”
จอมยุทธ์สิบกว่าคนโห่ร้องเสียงดังพร้อมกัน ต่อมาจากการที่ชายชุดขาวนั่นโบกมือทีหนึ่ง แต่ละคนก็ระเบิดพลังออร่าออกมา ก่อนจะไล่ล่าไปยังทิศทางที่จอมยุทธ์คนอื่น ๆ หลบหนีไปอย่างมโหฬารพันลึก
“หยุด!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงตะคอกดังลั่นสะท้อนเข้าไปในหูหลัวซิว ชายวัยกลางคนที่ร่างกายบึกบึนคนหนึ่งหกระเหินเดินฟ้ามา จ้องมองเงาร่างของหลัวซิวด้วยสายตาที่ร้อนผ่าวดั่งคบเพลิง
“ที่แท้ก็เป็นมกุฎเทพเฟยหงนี่เอง”
หลัวซิวมองไปทางต้นต่อของเสียง เพียงแวบเดียวก็จำตัวตนของผู้มาเยือนได้แล้ว ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา: “ไม่ทราบว่ามกุฎเทพเฟยหงเรียกข้อน้อยไว้เพราะมีเรื่องอันใดหรือ?”
ในบรรดาจอมยุทธ์จำนวนมากที่เดินขึ้นสะพานเซียนแล้วมาถึงแดนเซียนนอกนภาในครั้งนี้ จำนวนผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพนั้นมีไม่น้อยเลย ซึ่งมกุฎเทพเฟยหงนี่ก็คือหนึ่งในมกุฎเทพ แต่ทว่าศักยภาพของมกุฎเทพเฟยหงนี่แตกต่างจากมกุฎเทพหยุนเซวียนรวมไปถึงมกุฎเทพทวนแสงและมกุฎเทพเนตรกาฬทั้งสามคนไม่น้อยเลย
“เจ้าคิดว่ามกุฎอย่างข้าเรียกเจ้าไว้จักมีเรื่องอันใดได้เล่า? ก็ต้องทำให้ผู้น้อยอย่างเจ้าตกรอบก่อนอยู่แล้วสิ จำนวนคนที่ตกรอบยิ่งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่มีประโยชน์ต่อข้ามากเท่านั้น!”
มกุฎเทพเฟยหงหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะย่างเท้าเดินตรงไปทางหลัวซิว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างเขายังกังวลว่าจะถูกผู้อื่นรุมโจมตีเลย ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามีคนเคลื่อนไหวตัวคนเดียว จึงต้องลงมือกำจัดทิ้งเป็นเวลาแรกอยู่แล้ว
มองดูมกุฎเทพเฟยหงที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาทีละก้าว หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้: “มกุฎเทพเฟยหง ข้ารู้สึกสงสัยจริง ๆ ว่าคนโง่เง่าอย่างเจ้าฝึกตนขึ้นมาถึงแดนมกุฎเทพได้อย่างไรกันนะ หรือเจ้าไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่แดนของทุกคนล้วนถูกกดอัด ข้านั้นมีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุด?”
“ช่างเป็นผู้น้อยที่โอหังยิ่งนัก!”
มกุฎเทพเฟยหงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ร่างกายเคลื่อนไหวทีหนึ่ง ก็กลายเป็นแสงรุ้งหลายดวง แสงรุ้งทั้งหลายกลายเป็นปราณกระบี่ ฉีกกระชากแผ่นฟ้าและผืนดิน เฉือนสับไปทางหลัวซิวอย่างมโหฬารพันลึก
หลัวซิวยืนนิ่งอยู่กับที่ ใช้จิตนึกคิดทีหนึ่ง รัศมีของยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ที่อยู่รอบกายก็สว่างขึ้น พลังของยันต์ค่ายเหล่านี้ก็ถูกกดอัดอยู่ที่ระดับเทพมารเช่นกัน
เตี๊ยง! เตี๊ยง! เตี๊ยง!
ปราณกระบี่แสงรุ้งทั้งหลายฟาดฟันลงบนตัวหลัวซิว เห็นเพียงมีสะเก็ดไฟที่นับไม่ถ้วนแตกกระเด็น แต่กลับไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ร่างเนื้อของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“จอมยุทธ์กลั่นร่างหรือ? ดูซิว่าเจ้าจะต้านทานกระบวนท่านี้ของข้าอย่างไร!”
ระดับความเร็วของมกุฎเทพเฟยหงรวดเร็วอย่างยิ่ง มาถึงเหนือศีรษะหลัวซิวภายในเสี้ยววินาที ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประสานอิน วิชาตราประทับหนึ่งราวกับผันเป็นฟ้าดิน กดอัดลงมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
และในเวลานี้เอง หลัวซิวยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมากะทันหัน เห็นเพียงเขาพลิกฝ่ามืออยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าครั้งหนึ่ง ก็เหมือนดั่งพลิกฟ้าดินยังไงอย่างนั้น ฟ้าดินที่มกุฎเทพเฟยหงวิวัฒนาการออกมาจากพลังวิชาตราประทับก็ถูกพังทลายภายในพริบตา ไม่คงอยู่อีกต่อไป
ฝ่ามือของหลัวซิวเคลื่อนผ่านกลางแสงรุ้งที่แตกสลาย บีบคอของมกุฎเทพเฟยหงเอาไว้ภายในพริบตา ยกร่างผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพคนนี้ให้ลอยขึ้นกลางอากาศปานหิ้วลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง
“เยี่ยงนี้ก็คู่ควรกับคำว่ามกุฎหรือ? อ่อนแอชะมัด”
เมื่อปฏิบัติต่อศัตรู หลัวซิวไม่เคยออมมือมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตราต้าฮวงหนึ่งโจมตีเข้ากับร่างกายของมกุฎเทพเฟยหงจนแตกสลายกลายเป็นหมอกเลือด
“จากจำนวนคนนับพัน สุดท้ายจะตกรอบจนเหลือเพียง 120 คน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าจะมีคนนับพันได้ตายอยู่ในนี้”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย รูปแบบการคัดออกเช่นนี้มันโหดเหี้ยมไปหน่อย ต้องท้าวความก่อนว่าผู้แข็งแกร่งที่มาถึงแดนเซียนนอกนภาล้วนสูงกว่าเทพมารระดับเก้า เมื่อมีคนนับพันดับสลายสูญสิ้นในครั้งเดียว มันจึงเป็นความเสียหายที่หนักหน่วงมากอย่างแน่นอน
โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่จอมยุทธ์คนหนึ่งอยากเริ่มต้นฝึกตนจนค่อย ๆ เดินขึ้นมาถึงแดนเทพมารระดับเก้านั้น อัจฉริยะไร้เทียมทานต้องใช้เวลาเป็นหมื่นปี ซึ่งจอมยุทธ์ทั่วไปส่วนมากอาจต้องใช้เวลาต่อสู้ดิ้นรนเป็นสิบล้าน ตลอดจนร้อยล้านปีเลยทีเดียว
ในกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดแห่งหนึ่ง มากสุดก็มีเทพมารระดับเก้าแค่นับพันคนเท่านั้น ซึ่งนี่ก็หมายความว่าแค่การคัดออกในรอบแรก ก็เท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดแห่งหนึ่งถูกทำให้ล่มสลายแล้ว
ยิ่งกว่านั้นคือไม่สามารถใช้คำว่าโหดเหี้ยมมาอุปมากฎเกณฑ์ประเภทนี้แล้ว ควรจะบอกว่ามันเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง ทว่าเส้นทางการฝึกยุทธ์มันก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผู้อ่อนแอมีแต่จะถูกคัดออก ผู้ที่จะได้รับขวัญกำลังใจอันฮึกเหิม มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น!
ซึ่งนี่ก็คือความคิดที่ผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้าของโลกแห่งการฝึกยุทธ์!
สำหรับหลัวซิวแล้ว การสังหารผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรด้วยซ้ำ ภายใต้สถานการณ์ที่แดนล้วนถูกกดอัดอยู่ที่ระดับเทพมาร มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า ก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเสมอไป
ในบรรดาคนนับพัน ผลการฝึกตนของเขาต่ำที่สุด แต่เมื่ออยู่ภายใต้แดนเทพมารเหมือนกัน เขากลับเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งนี่ไม่ใช่เขาโม้อวดดี แต่เป็นความเชื่อใจ และความศรัทธาประเภทหนึ่งที่ไร้เทียมทานในหมู่คนแดนเดียวกัน!
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ หลัวซิวไม่เคยเป็นฝ่ายไปตามหาคู่ต่อสู้ด้วยตนเองเลย ขอแค่เขาเคลื่อนไหวอยู่ภายในพื้นที่แห่งนี้ ก็จะมีคนอื่น ๆ มาตามหาเขาถึงที่เอง
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ค้นพบปัญหาหนึ่งด้วย นั่นก็คือจากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป พื้นที่ที่ขาวโพลนแห่งนี้ก็ค่อย ๆ หดเล็กลง
เพราะสุดท้ายเหลือแค่ 120 คนเท่านั้นที่สามารถอยู่ต่อ เช่นนั้นจึงไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นมีเวลาหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อถ่วงเวลาแน่นอน พื้นที่ยิ่งเล็ก โอกาสที่ผู้คนจะได้พบหน้ากันก็จะยิ่งสูง
“อั่ก!”
อี้หยูกระอักเลือดเฮือกใหญ่ เขาเป็นเพียงราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่ง ศักยภาพที่อยู่ในคนนับพันไม่ถือว่าโดดเด่นมากเท่าไหร่นัก จึงถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 120 ไม่ได้ด้วยซ้ำ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาต้องตกรอบแน่นอน ร่างตายดับสลายสูญสิ้นอยู่ที่นี่
เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น เมื่อย่างกรายสู่เส้นทางนี้ ก็เท่ากับใช้ชีวิตตัวเองมาเดิมพัน ทุกครั้งที่ตามหาโชคและโอกาส ก็มีความเสี่ยงที่สามารถดับสลายสูญสิ้นได้ตลอดเวลาเลย
และเป็นเพราะกฎตายตัวอย่างโอกาสและความอันตรายคงอยู่ร่วมกันนั่นเอง จำนวนผู้แข็งแกร่งของสรรพโลกจึงรักษาอยู่ในตัวเลขที่คงที่ตลอดมา จะมีอัจฉริยะไร้เทียมทานอุบัติขึ้นมาในทุกยุคสมัย แต่กลับไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายอัจฉริยะทุกคนจะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้
บนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์นี้ อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่นับไม่ถ้วนต่างสับเปลี่ยนขึ้นมาทดแทนคนรุ่นก่อนอย่างต่อเนื่อง จำนวนคนเก้าส่วนสิบล้วนจะดับสลายสูญสิ้นอยู่ระหว่างทาง
หลัวซิวเริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่าสาเหตุที่รูปแบบการตกรอบในด่านแรกเหี้ยมโหดและทารุณเช่นนั้น แท้จริงแล้วก็เพื่อจะบรรยายหลักการนี้นี่เอง
ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะมาแสวงหาโชคโอกาสในแดนเซียนนอกนภาแล้ว ก็ต้องใช้ชีวิตของตัวเองมาเดิมพัน ต้องเตรียมใจไว้ว่าอาจได้ดับสลายสูญสิ้นอยู่ในนี้
“ตู้มม!”
มีแสงอัสนีดวงหนึ่งที่เหมือนดั่งรุ้งพุ่งสังหารเข้ามา อี้หยูที่บาดเจ็บทั่วตัวหลับตาลงแล้ว เพราะเขารู้อยู่ว่าตนต้องต้านทานพลังโจมตีนี้ไม่ได้แน่นอน และผลของการต้านทานไม่ได้ ก็มีเพียงความตายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในเวลานี้เอง จู่ ๆ กลับมีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏตรงหน้าเขา ในระหว่างที่พลิกมือทีเดียวก็ทำให้แสงอัสนีดับสลายหายไปแล้ว
“พี่ใหญ่อี้หยู เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”เสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหู ถัดจากนั้นอี้หยูก็มองเห็นหลัวซิว
“น้องซิวหลัว!”เมื่ออี้หยูมองเห็นหลัวซิวอย่างไม่คาดคิด จึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ครั้นเมื่อสะพานเซียนบังเกิดขึ้น เขาก็มองเห็นศึกการต่อสู้ระหว่างหลัวซิวและเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเช่นกัน รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของน้องซิวหลัวคนนี้อยู่
“หลัวซิว! เจ้าอีกแล้ว!”
เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวสะท้อนมา ถัดจากนั้นหลัวซิวก็มองเห็นคนคุ้นเคยอีกคนหนึ่ง ซึ่งคนดังกล่าวก็คือเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนั่นเอง
หากไม่ใช่เพราะเขามาได้ทันท่วงที อี้หยูคงจะได้ตายอยู่ในกำมือเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนแล้ว
“พี่ใหญ่อี้หยู เจ้าถอยหลังไปก่อน คนดังกล่าวเดี๋ยวฝากให้ข้าจัดการเอง”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง
อี้หยูรีบพยักหน้า ก่อนจะถอยออกไปไกลอย่างรวดเร็ว เขาก็เข้าใจดีมากเช่นกันว่าสภาพอาการบาดเจ็บของตัวเองสาหัสเกินไป บัดนี้ตนช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นคืออาจกลายเป็นตัวถ่วงของหลัวซิวด้วย
ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่ออริเจอหน้ากันความบาดหมางก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องพูดจาไร้สาระอะไรเลยด้วยซ้ำ หลัวซิวและเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็แทบจะลงมือพร้อมกันเลย
“เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน ครั้นผลการฝึกตนของข้าเทียบเคียงกับเจ้าไม่ได้ ข้าก็สามารถต่อกรกับเจ้าได้แล้ว ปัจจุบันเจ้าและข้าต่างอยู่ในแดนเทพมาร วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!”
ทันทีที่พุ่งเข้าไป หลัวซิวก็ปลดปล่อยพลังออร่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาทันที ภายใต้การกดอัดจากพลานุภาพอันแข็งแกร่งของเขา ห้วงเวลาที่อยู่รอบกายถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะ มีแสงสีทองที่แวววาวจับตาแย้มบานออกมาจากตัวเขา ราวกับหอคอยฮวงที่โบราณหลังหนึ่งคงอยู่มาตั้งแต่โบราณกาล
“ตราหงฮวง!”
หลัวซิวใช้มือทั้งสองข้างประสานอิน แล้วปลดปล่อยวิชาตราประหนึ่งออกไป ธรรมดั้งเดิมทั้งสองประเภทผสมผสานกัน วิวัฒนาการเตาเพลิงและหอคอยฮวงออกมา หอคอยฮวงกดอัดทุกสรรพสิ่ง ส่วนเตาเพลิงนั้นกลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง
เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็ปลดปล่อยพลังอมตะวิชาหนึ่งออกมาเช่นกัน ทว่าเสี้ยววินาทีที่พุ่งชนเข้ากับตราหงฮวง เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีพลังที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้พรั่งพรูเข้ามา ร่างกายสั่นเทิ้มทีหนึ่ง แล้วถอยออกไปไกลหลายร้อยฟุตภายในพริบตา
อย่างไรก็ตามสถานการณ์การบุกโจมตีของหลัวซิวกลับไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ เขาก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว ก่อนจะปรากฏตรงหน้าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนอีกครั้ง แล้วปลดปล่อยพลังอมตะของตราสรรพสิทธิ์ออกไป!