มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2832 ทะยานเซียน
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2832
ขณะที่เสียงของชายร่างยักษ์ที่เฝ้าดูแลด่านแรกยังไม่ทันจบลง กงล้อเทพทั้งหลายก็สั่นเทิ้มแล้วปรากฏหลังศีรษะเขา เห็นเพียงหลังศีรษะเขาถึงขั้นมีกงล้อเทพปรากฏเก้าวง ซึ่งหมายความว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น กงล้อเทพทุกวงของเขาก็ล้วนมีคุณภาพสมบูรณ์แบบด้วย ออร่าที่แพร่กระจายออกมาจากร่างกายเหนือชั้นกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่อยู่ในสภาวะเฟื่องฟูที่สุดเสียอีก!
“ผู้ใดจะเริ่มก่อน!”
เสียงของชายร่างยักษ์ค่อย ๆ สะท้อนมา พูดอย่างเย็นชา: “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจักไม่ใช้ผลการฝึกตนมาข่มพวกเจ้า แต่จะระงับผลการฝึกตนอยู่ที่แดนเทพมารด้วย”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น กงล้อเทพทั้งหลายก็ซึมหายเข้าไปในร่างกายเขา พลังออร่าอันมากมายมหาศาลบนตัวชายร่างยักษ์ก็ลดฮวบลงไปทันที ราวกับห้วงเวลาหยุดนิ่ง กระทั่งหลังจากเขาระงับผลการฝึกตนไว้ที่แดนเทพมารโดยสิ้นเชิงแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนห้วงเวลาหยุดนิ่งถึงจะสลายหายไป
“ข้าเอง!”
ศึกการต่อสู้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนมากต่างตัดสินใจรับคำท้าอย่างเด็ดเดี่ยว
อย่างไรก็ตามกำลังรบของชายร่างยักษ์กลับอึ้งทึ่งจนน่ากลัว ในบรรดายอดฝีมือ 30 กว่าคนที่เข้าไปทดลองหยั่งเชิงก่อน เพียงกระบวนท่าเดียวก็ตกรอบไปแล้ว
แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ได้ดับสลายสูญสิ้นแต่อย่างใด ทว่า ณ เสี้ยววินาทีที่ถูกโค่นล้ม ก็ถูกส่งออกไปทันที
“พวกเจ้าสามารถผ่านการคัดเลือกในรอบคัดออก แสดงว่าล้วนแต่เป็นบุคคลอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะผู้แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้แม้นจะไม่สามารถผ่านด่าน แต่ก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้เช่นกัน”สำหรับเรื่องนี้ชายร่างยักษ์ก็ได้ให้คำอธิบายเช่นกัน
ยอดฝีมือแต่ละคนต่างพากันเข้าไปรับคำท้า เมื่อถึงคราวหลัวซิว ภายในสีมาปริภูมิแห่งหนึ่งที่ตัดขาดกับโลกาภายนอก มีชายร่างยักษ์ที่อยู่ในแดนเทพมารปรากฏตรงหน้าเขา
ชายร่างยักษ์คนดังกล่าวบอกว่าตนเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋านอกนภา
แต่กลับไม่เคยพูดถึงชื่อของตัวเองมาก่อนเลย จากผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อของเขา ย่อมไม่มีทางใช่ผู้ที่ชื่อเสียงชุ่มเงียบอยู่แล้ว
เมื่ออยู่ในแดนเทพมารเหมือนกัน หลัวซิวก็จักไม่เกรงกลัวผู้ใด ทั้งสองแทบจะลงมือในเวลาเดียวกัน เพียงพริบตาเดียวการต่อสู้เข่นฆ่าก็ยกระดับถึงระดับที่รุนแรงดุเดือดอย่างยิ่ง
ร่างกายของชายร่างยักษ์บึกบึน บวกกับฝึกธรรมเวชร่างเนื้อร้างโดยเฉพาะ แม้นจะอยู่ในแดนเทพมาร แต่ร่างเนื้อของเขาก็เกะกะระรานจนน่าสยดสยอง ความเร็วในการลงมือโจมตีเร็วปานสายฟ้า
หลัวซิวก็ถือเป็นจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านความเร็วเช่นกัน แต่ความเร็วของชายร่างยักษ์กลับไม่ช้ากว่าเขาเลย ทั้งสองต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าที่เร็วปานลมกรด กำลังพัลวันพัลเก
“ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ……”
รังสีของพลังอมตะต่าง ๆ นานาแย้มบานอยู่กลางฝ่ามือทั้งสอง เพียงพริบตาเดียว ทั้งคู่ก็ปลดปล่อยพลังอมตะออกไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว พลังอมตะนับหมื่นแสนดังสะเทือนเลื่อนลั่น มืดฟ้ามัวดิน อนัตตาสั่นสะเทือน
“ไม่ว่าจะเป็นพลัง ความเร็วหรือเกราะป้องกันล้วนไม่มีที่ติเลย ระดับฝีมือด้านกลั่นร่างดั่งภัณฑ์กลั่นของคนดังกล่าวปราดเปรื่องกว่าข้ามาก”
รูม่านตาหลัวซิวหดลง วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการธรรมเวชหงฮวงหรือธรรมเวชกาลล้นร้างออกมา เห็นเพียงจู่ ๆ ร่างกายเขาก็ดูทรงพลังมาก ฝ่ามือประสานอินเสร็จสิ้น วิชาตราประทับหนึ่งยังไม่ทันได้ปลดปล่อยออกไป อนัตตาที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็เริ่มพังทลาย
พลังของอนัตตาที่พังทลายทำให้ชายร่างยักษ์ที่พุ่งสังหารเข้ามาถูกบีบจนต้องหยุดการเคลื่อนที่ และ ณ เสี้ยววินาทีที่เขาหยุดการเคลื่อนที่ ดวงตาหลัวซิวก็เป็นประกายขึ้นมา ตราหงฮวงพุ่งออกไป
“ไม่นึกเลยว่าจะนำธรรมเวชหงฮวงหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วบุกเบิกพลังอมตะออกมาได้ ความสามารถในการตระหนักรู้ของเจ้าสูงมากเลยนี่!”
ร่างกายของชายร่างยักษ์สั่นเทิ้มทีหนึ่ง ลายเส้นของธรรมเวชกาลร้างปรากฏบนผิวหนังชั้นนอก ทำให้ร่างกายเขาราวกับกลายเป็นหอคอยฮวง ปล่อยให้ตราหงฮวงกระหน่ำลงร่างตนอย่างดุดันอย่างยิ่ง
“โครม!”
เสียงดังลั่นที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังก้องกังวาน ร่างกายที่สูงใหญ่ของชายร่างยักษ์ก้าวเดินออกมาจากฝุ่นที่ตลบฟุ้งไปทั่ว พลางยิ้มอ่อนพลางพูด: “พลังอมตะตราหงฮวงนี้ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่การตระหนักรู้ในธรรมเกณฑ์ทั้งสองประเภทนี้ของเจ้ายังลึกซึ้งไม่มากพอ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสามารถในการอนุมานและความสามารถในการตระหนักรู้ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่หลัวซิวรู้สึกภาคภูมิใจมาโดยตลอด ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาในภพชาตินี้จะเป็นเพียงเทพมารระดับแปด แต่เมื่ออาศัยความสามารถในการอนุมานและวิวัฒนาการอันแข็งแกร่งของวิถีไร้ลักษณ์ การตระหนักรู้และยึดกุมในธรรมเกณฑ์ทั้งปวงในจักรวาลของเขากลับไม่ด้อยกว่าผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้า
อย่างไรก็ตามผลการฝึกตนของเขากลับต่ำเกินไป ท้ายที่สุดแล้วพันธนาการก็ผูกมัดศักยภาพที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมาได้อยู่ดี
“พลังอมตะที่ข้าริเริ่มไม่ได้มีเพียงพลังเดียว”
นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ตราหงฮวงพลาดท่าเสียทีขณะที่ต่อสู้กับผู้อื่น แต่หลัวซิวกลับไม่ได้รู้สึกท้อใจเพราะเหตุนี้ เขาก้าวเดินอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า ยิ้มอย่างทะนงองอาจแล้วพูดว่า: “ข้ายังมีพลังอมตะอีกหลายวิชา ผู้เพื่อนยุทธ์โปรดกรุณาให้คำแนะนำด้วย!”
“ดี! เจ้าลงมือเถิด!”แววตาของชายร่างยักษ์เป็นประกายขึ้นมา อมยิ้มพลางพยักหน้า
แม้นตราหงฮวงในเมื่อครู่นี้จะสร้างความเสียหายให้แก่ตนไม่ได้ก็ตาม ทว่าแม้แต่เขาเองก็ปฏิเสธความงดงามของพลังอมตะอย่างตราหงฮวงไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่เขาเน้นฝึกธรรมเวชกาลร้างโดยเฉพาะ จึงไม่สามารถหลอมรวมธรรมเวชกาลล้นร้างเข้าด้วยกัน และไม่สามารถฝึกพลังอมตะวิชานี้ให้สำเร็จได้ด้วย ในใจจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
หากตระหนักรู้ยกระดับแดนของธรรมเวชกาลล้นร้างขึ้นไปถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า เช่นนั้นเมื่อปลดปล่อยวิชาตราประทับนี้ออกมา เกรงว่าคงสามารถสร้างภัยคุกคามให้แก่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งได้แล้วกระมัง?
“ตราสรรพสิทธิ์!”
และในเวลานี้เอง หลัวซิวก็ลงมือโจมตีอย่างเหี้ยมโหด ปล่อยวิชาตราประทับออกไปหนึ่งวิชา พลังอมตะนับหมื่นแสนจึงถูกวิวัฒนาการออกมาภายในพริบตา มืดฟ้ามัวดิน ไม่ดับไม่สิ้นดังการเวียนว่ายตายเกิด มโหฬารพันลึก
เมื่อปลดปล่อยพลังอมตะนี้ออกมา สีหน้าของชายร่างยักษ์ก็ตึงเครียดขึ้นมาภายในพริบตาเช่นกัน “ช่างเป็นความสามารถในการตระหนักรู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าจะสามารถตระหนักเกณฑ์ทั้งปวงในฟ้าดินได้แล้วอย่างนั้นหรือ? นี่คือความล้ำลึกของวิถีเบญจธาตุ ยังมีวิถีการเวียนว่ายตายเกิดห้วงเวลา และตรีภพ……”
สามารถพูดได้เลยว่าพลังอมตะอย่างตราสรรพสิทธิ์ของหลัวซิวน่าสยดสยองถึงขีดสุดเลย วิชาตราประทับหนึ่งวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นแสน เมื่อประมือกับผู้ที่อยู่ในแดนเดียวกันด้วยกระบวนท่าเช่นนี้ มันก็แทบจะเป็นกระบวนท่าไร้เทียมทานเลย โดยส่วนใหญ่แล้วศักยภาพของจอมยุทธ์ที่อยู่ในแดนเดียวกันจะแตกต่างกันไม่มากนัก คนอื่นทำได้เพียงปลดปล่อยกระตุ้นพลังอมตะออกมาทีละท่า แต่เจ้าหมอนี่กลับสามารถปลดปล่อยกระบวนท่านับหมื่นออกมาได้ในทีเดียว ช่วงระยะความต่างจึงแตกต่างกันมากถึงมากที่สุด
“มิน่าล่ะเจ้าที่อาศัยผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดถึงสามารถฝ่าฟันมาถึงที่นี่ได้ ดูท่าเจ้าเป็นคนที่มีความคิดที่น่าสนใจมาก ๆ ไม่เพียงตระหนักเกณฑ์พลังเต๋าทั้งปวงในฟ้าดินได้ อีกทั้งยังสามารถริเริ่มพลังอมตะที่ประณีตสวยวิจิตรจนทำให้ผู้คนต้องตบโต๊ะชมเชยเช่นนี้ออกมาได้”
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าเช่นนี้ มาตรแม้นว่าเป็นชายร่างยักษ์ก็ทำได้เพียงฝืนใช้อำนาจต้านทาน เขาโคจรธรรมเวชกาลร้าง ทำให้ร่างกายกลายเป็นหอคอยฮวง ทว่าเขาสามารถต้านทานพลังโจมตีจากพลังอมตะกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองได้ แต่กลับไม่สามารถต้านทานพลังโจมตีกลุ่มที่สี่ กลุ่มที่ห้า……
เพราะในพลังอมตะของตราสรรพสิทธิ์มีลักษณะพิเศษอย่างการเวียนว่ายตายเกิดของธรรมเวชชีวีแฝงซ่อนด้วย ซึ่งแรงเต๋าชิงเทียนที่ประมุขเต๋าสวรรค์ชิงเทียนยุคแรกฝึกก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากธรรมเวชชีวีนี่แหละ
“ฟึ่บ!”
ภายใต้การโจมตีของพลังอมตะที่ไร้ขอบเขต พลังอมตะป้องกันของร่างกายที่ผันเป็นหอคอยฮวงล้วนถูกทำลายล้าง ภายใต้การสยบจากพลังอมตะนับหมื่นแสน ร่างกายของชายร่างยักษ์จึงแตกละเอียดเป็นเสี่ยง ๆ แล้วสลายหายไป
สีมาที่อยู่รอบ ๆ สลายหายไปแล้ว ก่อนจะมีรัศมีเทวดวงหนึ่งปรากฏ และมีรูปร่างของชายร่างยักษ์ปรากฏอีกครั้ง
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่ผ่านด่านนี้ของข้า เจ้าสามารถมุ่งหน้าเดินต่อไปได้เลย”
ชายร่างยักษ์มองหลัวซิวรอบหนึ่ง ประสานมือทำท่าคารวะ “ในเมื่อผู้เพื่อนยุทธ์สามารถโค่นล้มข้า จึงมีสิทธิ์ทราบชื่อของข้า ข้ามีนามว่าลู่ฮวง!”
“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่ฮวงเกรงใจเกินไปแล้ว”หลัวซิวก็ประสานมือทำท่าคารวะตอบกลับ จากนั้นเขาก็ย่างเท้าเดินไปข้างหน้า มุ่งหน้าเดินอยู่บนทางหินชนวนสีเขียวนี่ต่อ
แค่ด่านแรกด่านเดียว จากจำนวนคนนับพันที่เข้ามาในแดนเซียนนอกนภา และถูกการประเมินปัญญาในรอบแรกคัดออกจนเหลือเพียง 120 คน
และในบรรดา 120 คนนี้ จากการประเมินความสามารถในการตระหนักรู้ มีเพียง 50 กว่าคนเท่านั้นที่ผ่านด่านแรกไปได้
อัตราการตกรอบนี้ค่อนข้างน่าทึ่ง และรูปแบบการประเมินเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากผู้แข็งแกร่งรับศิษย์เลย บางทีผู้ที่สามารถผ่านการประเมินจำนวนมากไปได้ ก็อาจจะมีโอกาสได้พบเจอกับมกุฎเต๋านอกนภาท่านนั้นในตำนานที่บรรลุถึงแดนกึ่งเซียน แล้วได้รับโชคโอกาสในการกลายเป็นศิษย์สนิทของเขา!
ภายในตรีภพโกลาหลที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต มีเพียงทางหินชนวนสีเขียวทางเดียวเท่านั้นที่เป็นสถานที่ปลอดภัย มีสมบัติตรีภพล้ำค่าที่น่าทึ่งปรากฏและลอยผ่านนอกทางหินชนวนที่มีแสงเซียนเปล่งประกายอยู่เป็นระยะ ๆ ดึงดูดจิตใจของผู้คนไป แต่ทว่ากลับทำได้เพียงมองดูอย่างเดียว ไม่มีผู้ใดกล้าลงมืออย่างบุ่มบ่ามเลย
ในบรรดา 50 กว่าคนที่ผ่านด่านแรก หลัวซิวไม่เห็นเงาร่างของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยแต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นเลยว่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพคนนี้ไม่สามารถโค่นล้มลู่ฮวงได้เมื่ออยู่ในแดนเดียวกัน
แต่หลัวซิวกลับมองเห็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่อยู่ในจำนวนคนทั้งหมดอยู่ ปัญญาความสามารถในการตระหนักรู้ของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนั่นน่าทึ่งอย่างยิ่ง แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเขาแต่อย่างใด อนาคตหากไม่มีอะไรผิดพลาด เขามีโอกาสบรรลุเป็นผู้สูงส่งสูงมาก
หลังจากที่เดินไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ก็มีระฆังทองแดงที่ผุพังลูกหนึ่งปรากฏตรงหน้า บนระฆังทองแดงลูกนี้เต็มไปด้วยสนิม ไม่รู้ว่ามันผ่านการชะล้างจากกาลเวลามานานเท่าไหร่แล้ว บนผิวระฆังยิ่งผุพังมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยขีดข่วน
ระฆังทองแดงที่ผุพังลูกนี้ใหญ่โตมากจนเหลือเชื่อ หลัวซิวที่ยืนอยู่ในละแวกใกล้เคียงของมัน ก็เหมือนมดตัวหนึ่งกำลังแหงนมองช้างยังไงอย่างนั้น
และมีเงาดำร่างหนึ่งนั่งท่าขัดสมาธิด้านล่างระฆังทองแดงผุพังลูกนี้ ชายวัยกำลังคนที่อยู่ในชุดดำกำลังหลับตาอย่างสงบ
เมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ ชายวัยกลางคนชุดดำก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา เสี้ยววินาทีที่เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ราวกับทั่วทั้งฟ้าดินตลบฟุ้งไปด้วยอัคคีเต๋าที่ไร้ขอบเขตยังไงอย่างนั้น ซึ่งสามารถแผดเผากลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง
ธรรมเวชกาลล้น! อัคคีเต๋าอหังการ!
เพียงพริบตาเดียว หลัวซิวก็วินิจฉัยได้แล้วว่าสิ่งที่คนตรงหน้านี้ฝึกคือหนึ่งในธรรมดั้งเดิมอย่างธรรมเวชกาลล้น!
“ข้าเป็นศิษย์เต็มตัวของมกุฎเต๋านอกนภา เซียวเหยาเค่อ บนระฆังทองแดงลูกนี้ของข้ามีวรยุทธ์เซียนแฝงซ่อนอยู่ ให้เวลาพวกเจ้าตระหนักรู้สามปี สุดท้ายข้าจักเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าผู้ใดจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้”
สายตาของเซียวเหยาเค่อกวาดมองทุกคน พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งประโยคหนึ่ง จากนั้นเขาก็หลับตาลง
“วรยุทธ์เซียน!?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แววตาของทุกคนก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ต้องท้าวความก่อนว่าในยุคปัจจุบัน พลังอมตะเคล็ดวิชาระดับประมุขเต๋าก็ถือเป็นวรยุทธ์ขั้นสูงสุดแล้ว พลังอมตะวรยุทธ์เซียนเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันมาโดยตลอด ซึ่งไม่มีอยู่ในโลกนี้เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามบนระฆังทองแดงผุพังที่ดูไม่โดดเด่นอะไรนี้กลับมีวรยุทธ์เซียนแฝงซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ อีกทั้งยังให้เวลาตระหนักรู้สามปีด้วย นี่เป็นโชคโอกาสที่ดีมากเพียงใดกันนะ?
หากสามารถฝึกวรยุทธ์เซียนของที่นี่สำเร็จ อนาคตแม้นจะไม่สามารถฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียน แต่เมื่ออาศัยวรยุทธ์เซียนหนึ่งวิชา เช่นนั้นก็สามารถเป็นผู้ไร้เทียมทานในยุคปัจจุบันได้อย่างแน่นอน เป็นผู้แข็งแกร่งที่หาคู่ต่อสู้ได้ยาก
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว สายตาและตัวสำนึกของทุกคนก็ล้วนพากันผนึกรวมไปที่ลายเส้นที่ประทับอยู่บนระฆังทองแดงอันผุพัง
สำหรับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับขั้นอย่างพวกเขาแล้ว ระยะเวลาสามปีมันเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย ภายในระยะเวลาที่สั้นเช่นนี้ อย่าว่าแต่พลังอมตะระดับวรยุทธ์เซียนเลย ต่อให้เป็นพลังอมตะระดับประมุขเต๋าก็อย่าคิดว่าจะสามารถฝึกสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็ไม่ได้คาดหวังเช่นกันว่าจะสามารถฝึกวรยุทธ์เซียนสำเร็จได้จริง ๆ หวังแค่ว่าจะมีการตระหนักรู้จากภายใน แล้วปรับปรุงริเริ่มพลังอมตะที่ทรงพลังยิ่งกว่าออกมา
กงล้อเทพไร้ลักษณ์ปรากฏหลังศีรษะหลัวซิว ซึ่งกงล้อเทพของเขาแตกต่างจากกงล้อเทพที่เป็นรูปเป็นร่างและมีออร่าน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ กงล้อเทพวงนี้ของเขาเลือนรางไม่ชัดเจน ราวกับขอแค่มีลมพัดมามันก็จะถูกพัดจนสลายหายไปยังไงอย่างนั้น
แต่ทว่าคนอย่างเขาที่ดูไม่โดดเด่นอะไรในหมู่คน วินาทีนี้กลับโคจรวิถีไร้ลักษณ์จนถึงขีดสุด แล้วตระหนักความมหัศจรรย์ของวรยุทธ์เซียนจากร่องรอยตราประทับที่อยู่บนระฆังทองแดง
ทันใดนั้น หลัวซิวก็สังเกตเห็นลายเส้นแถบหนึ่งบนระฆังทองแดง ลายเส้นที่อยู่บริเวณนั้นผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้คนรู้สึกลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้
ด้วยตัวสำนึกที่ได้รับการปลุกเสกจากพลังญาณเทว เขาใช้ตัวสำนึกแนบติดลงลายเส้นเหล่านั้น จู่ ๆ เขาก็เหมือนมองเห็นรัศมีที่ไร้ขอบเขตแย้มบานออกมาจากลายเส้นเหล่านั้น ก่อนจะทำให้ห้วงความคิดของเขาถูกนำพาเข้าไปในโลกพลังจิตแห่งหนึ่ง
ภายในโลกพลังจิตแห่งนี้ มีเมฆหมอกลอยเป็นเกลียวอยู่บนท้องฟ้า แสงเซียนตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ มีเงาร่างของเซียนองค์หนึ่งบินออกมาจากแสงเซียนที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ แล้วพุ่งตรงไปยังเก้าสวรรค์
“ทะยานเซียน!”
ร่างกายของหลัวซิวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สีหน้าอารมณ์แปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เพราะ ณ เสี้ยววินาทีที่เขามองเห็นร่างเซียนบินขึ้นไปยังเก้าสวรรค์ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังเต๋าที่คุ้นเคยประเภทหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือวิชาดาบทะยานเซียนที่จี้หวูชวงริเริ่มในอดีตชาตินั่นเอง!