มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2834 ประมุขเต๋าเฟิงเทียน
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2834
หลัวซิวไม่เคยได้ยินชื่อและสมญานามเทียนชูมาก่อนเลย แต่เขากลับไม่ได้คิดว่าผู้เฒ่าเทียนชูคนนี้เป็นคนต่ำต้อยไร้ชื่อ
สองด่านแรกในแดนเซียนนอกนภาได้ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงด่านที่สาม
ผู้ที่เฝ้าดูแลด่านที่สามคือชายที่อยู่ในชุดขาวคนหนึ่ง กิริยาท่าทางของคนดังกล่าวดูดีมีระดับ อากัปกิริยาสุภาพงดงาม หลัวซิวสัมผัสออร่าเกณฑ์ห้วงเวลาได้จากตัวเขา จึงแสดงให้เห็นเลยว่านี่คือผู้แข็งแกร่งที่ธรรมเวชวาลเกณฑ์เวลา ชายชุดขาวก็บอกว่าตนเป็นศิษย์ของมกุฎเซียนนอกนภาเช่นกัน ซึ่งมีนามว่าจอมมกุฎหยูชื่อ
มีผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์นับพันเข้ามาในแดนเซียนนอกนภา กระทั่งปัจจุบันก็เหลือเพียงสามคนสุดท้ายแล้ว นอกเหนือจากหลัวซิว ยังมีผู้เฒ่าเทียนชูที่ลึกลับจนไม่อาจคาดเดาได้ รวมไปถึงมกุฎเทพหยุนเซวียนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่มาก
เนื้อหาที่ประเมินในด่านนี้คือการตระหนักรู้ในธรรมเวชวาลกาลเวลาเวลา จอมมกุฎหยูชื่อบุกเบิกสีมาเพลาออกมา ผู้ผ่านด่านจำเป็นต้องตระหนักพลังอมตะของเกณฑ์เวลาออกมาจากสีเมาเพลา สุดท้ายจอมมกุฎหยูชื่อจะเป็นผู้ตัดสินว่าจักผ่านด่านหรือไม่
ในบรรดาเกณฑ์ทั้งปวงในโลกหล้า เกณฑ์เวลาสอดคล้องกับธรรมเวชวาล ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ฝึกยากที่สุดอย่างไร้ข้อสงสัยเลย เกณฑ์ประเภทนี้ไม่ซับซ้อนปานตรีภพ แต่กลับว่างเปล่ากว่าตรีภพ หากไม่มีความสามารถในการตระหนักรู้และโชคที่สูงส่ง ก็ตระหนักและยึดกุมเกณฑ์ประเภทนี้ได้ยากมาก
ตั้งแต่โบราณกาลมา ขอแค่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถประสบความสำเร็จบนธรรมเวชวาล ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีชื่อประทับอยู่ในประวัติศาสตร์
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาที่กำหนดในสีมาเพลาคือสามปี ระยะเวลาสามปีสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว หลัวซิวทั้งสามคนต่างมีการตระหนักรู้ในเกณฑ์เวลาของตัวเอง และริเริ่มพลังอมตะออกมาได้หนึ่งวิชา
พลังอมตะที่หลัวซิวริเริ่มมีนามว่าเทียนหย่ง ซึ่งถือเป็นการรำลึกและระลึกถึงโจ้วเทียนหย่ง ทันทีที่ปลดปล่อยพลังอมตะนี้ออกมา ธรรมทั้งปวงก็จะถูกกีดกัน คุมขังห้วงเวลาในพื้นที่หนึ่งตลอดกาล ทำให้ห้วงเวลาในพื้นที่ดังกล่าวหยุดนิ่งตลอดกาล พอจะพูดได้เลยว่าเป็นเคล็ดวิชาผนึกที่ล้ำเลิศมาก
หลังจากที่ออกมาจากสถานแหล่งเต๋า ฮู๋ชิงชิงก็ซ่อนตัวอยู่ในเตากลั่นนภาจื่อเซียวของหลัวซิวมาโดยตลอด ขณะที่หลัวซิวได้รับโชคโอกาสจำนวนมากในแดนเซียนนอกนภา ฮู๋ชิงชิงไม่ได้รับประโยชน์เยอะมากเหมือนกัน
หลังจากผ่านด่านที่สามไปแล้ว มกุฎเทพหยุนเซวียนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ก็ได้รับความสนใจจากผู้เฒ่าเทียนชูเช่นกัน ความเป็นมาของทั้งสองคนนี้ต่างไม่ธรรมดา แต่หลัวซิวกลับสังเกตเห็นว่าภายในแววตาของมกุฎเทพหยุนเซวียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อผู้เฒ่าเทียนชู
“ด่านแรกคือธรรมเวชกาลร้าง ด่านที่สองของเซียวเหยาเค่อคือธรรมเวชกาลล้น ด่านที่สามของจอมมกุฎหยูชื่อคือธรรมเวชวาล เช่นนั้นหากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ ผู้ฝึกตนที่เฝ้าดูแลอยู่ในด่านที่สี่น่าจะเป็นธรรมเวชจักรที่สอดคล้องกับเกณฑ์ปริภูมิแล้วล่ะ”
และมันก็เป็นอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ เมื่อมาถึงด่านที่สี่ เขาก็มองเห็นระฆังจักรลูกหนึ่ง ซึ่งเป็นอาวุธเทพที่หลอมสร้างขึ้นมาโดยการอ้างอิงจากอัญโลกจักรอย่างระฆังสรรพจักร
สิ่งที่ทั้งสามคนต้องทำในด่านนี้ก็คือตระหนักรู้และริเริ่มพลังอมตะเกณฑ์ปริภูมิ หลัวซิวเชี่ยวชาญด้านการอนุมานสร้างสรรค์พลังอมตะอย่างยิ่ง บวกกับผลการฝึกตนของเขาค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วระดับความยากก็ไม่ค่อยยากเช่นกัน ดังนั้นการที่จะผ่านด่านนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว
ส่วนมกุฎเทพหยุนเซวียนและผู้เฒ่าเทียนชูก็ไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย ผ่านด่านไปได้อย่างง่ายดาย
ทุกด่านในแดนเซียนนอกนภาดูเหมือนจะง่าย ทว่าแท้จริงแล้วผู้ผ่านด่านต้องมีปัญญาและความสามารถในการตระหนักรู้ที่สูงมาก และยิ่งต้องมีความเกี่ยวโยงกับการตระหนักรู้และริเริ่มพลังงานอมตะของธรรมดั้งเดิมทั้งแปดประเภทของโลกสวรรค์ ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ท่วมท้น ล้นและโลกร้าง
วิถีเกณฑ์ทั้งปวงในจักรวาลล้วนสอดคล้องกับธรรมดั้งเดิม ครั้นเมื่ออยู่ในหอคอยนภากาศ หลัวซิวก็ทราบมาจากปากลู่ยู่จื่อแล้วว่าในจักรวาลทั้งปวงมีธรรมดั้งเดิมคงอยู่ 33 ประเภท
และธรรมดั้งเดิมอย่าง สวรรค์ ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ท่วมท้นล้นและร้าง เป็นธรรมดั้งเดิมที่เป็นแกนกลาง ในขณะเดียวกันก็เป็นธรรมดั้งเดิมที่ตระหนักรู้และยึดกุมยากที่สุดเช่นกัน
ธรรมเวชกาลร้างเป็นสัญลักษณ์ของขีดสูงสุดแห่งวิถีการกลั่นร่างเนื้อ
ธรรมเวชกาลล้นเป็นสัญลักษณ์ของการกลั่นแปร ซึ่งสามารถกลั่นทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
ธรรมเวชวาลสอดคล้องกับเกณฑ์เวลา หากคนคนหนึ่งสามารถยึดกุมเวลาได้โดยสิ้นเชิง ศักยภาพก็จะสยดสยองถึงระดับความสูงที่จินตนาการได้ยากมาก
ธรรมเวชจักรสอดคล้องกับปริภูมิ ในดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล เวลาและปริภูมิเป็นสิ่งที่คงอยู่ร่วมกัน ต่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดแคลนได้
ธรรมเวชเหลืองสอดคล้องกับพลังอมตะทั้งปวงในหมื่นจักรวาล ในอัญสมบัติอย่างคัมภีร์ร้อยแปดหวงถิงที่กำเนิดในธรรมเวชเหลือง ดั้งเดิม มีคัมภีร์เคล็ดเซียนเลิศล้ำบันทึกอยู่แปดร้อยประเภท หากสามารถฝึกคัมภีร์เคล็ดเซียนทุกประเภทให้บริบูรณ์ ก็จะสามารถบรรลุเป็นผู้สูงส่งได้อย่างง่ายดาย ตลอดจนฝึกจนบรรลุเป็นประมุขเต๋า
เล่ากันว่าหากสามารถฝึกคัมภีร์ร้อยแปดหวงถิงจนสำเร็จทุกวิชา อีกทั้งผสมผสานคัมภีร์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถบรรลุมรรคผลกลายเป็นเซียน!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วธรรมเวชเสวียนก็จะซับซ้อนกว่ามาก สิ่งที่ธรรมประเภทนี้สอดคล้องคือการผสมผสานของปริภูมิและเวลา ดั่งคำกล่าวที่ว่าลึกซึ้งแล้วลึกซึ้งอีก ทำให้คนคาดเดาไม่ได้ ซึ่งนี่ก็คือแก่นแท้ของธรรมประเภทนี้นั่นเอง
วิชาอัญเต๋าถูกหล่อเลี้ยงออกมาในธรรมเวชเสวียน ก็แสดงเอกลักษณ์ของธรรมประเภทนี้ออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจเช่นกัน วิชาอัญเต๋าสามารถดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง ซึ่งความสามารถในการดูดกลืนเช่นนี้ก็มีต้นกำเนิดมาจากเกณฑ์ปริภูมินี่แหละ ทุกสรรพสิ่งที่ถูกวิชาอัญเต๋าดูดกลืนล้วนจะถูกผนึกไว้ในอีกปริภูมิมิติหนึ่ง ซึ่งเวลาภายในมิตินั้นไม่มีการเคลื่อนไหว เสมือนถูกเนรเทศตลอดกาล
พลังอมตะเทียนหย่งที่หลัวซิวริเริ่มในด่านที่สาม อันที่จริงเขาก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิชาอัญเต๋าที่เขาเคยสัมผัสในอดีตชาตินี่แหละ
สิ่งที่ธรรมเวชดินสอดคล้องด้วยคือเต๋าเส้นปราณไข่มุกมังกรเก้าลูกที่กำเนิดในธรรมเวชดิน ภายในไข่มุกมังกรทุกลูกล้วนมีโลหิตเต๋าที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุดแฝงซ่อนอยู่หนึ่งหยด ซึ่งคำว่ามังกรในไข่มุกมังกรแตกต่างจากสายเลือดสืบสานของเผ่ามังกรรุ่นหลังอย่างอสูรดูดจิต ซึ่งมันเป็นสัญลักษณ์ของความสูงศักดิ์ประเภทหนึ่ง เป็นความสูงศักดิ์ทางสายเลือด!
ในบรรดาธรรมดั้งเดิมทั้งแปดประเภท สิ่งที่ลึกลับที่สุดก็คือธรรมเวชสวรรค์และถูกเรียกว่าเทียนเต้าหรือวิถีสวรรค์นั่นเอง
เทียนเต้าครอบจักรวาล ครอบคลุมไปถึงเกณฑ์ทั้งปวงในหมื่นจักรวาล เบญจธาตุ หยินหยาง ตรีภพ ลมอัสนี การเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลาก็ล้วนครอบคลุมอยู่ภายใน ส่วนคัมภีร์อัญสวรรค์ที่ถูกหล่อเลี้ยงออกมาจากเทียนเต้าดั้งเดิมนั้น เล่ากันว่ามี 12 หน้า ประมุขเต๋าสวรรค์ทั้ง 12 ในยุคไท่ชูก็ต่างได้รับการตระหนักรู้จากคัมภีร์สวรรค์ทั้ง 12 หน้านี่แหละ ถึงสามารถฝึกตนถึงแดนประมุขเต๋าได้สำเร็จ อาศัยประมุขเต๋าสวรรค์ยึดกุมสรรพโลก!
ในระบบการฝึกยุทธ์ ความหมายโดยรวมของเกณฑ์และธรรมแตกต่างกันอยู่ เกณฑ์คือธาตุลักษณะพิเศษประเภทหนึ่ง คือพลังประเภทหนึ่ง ส่วนธรรมกลับเป็นรูปแบบรูปแบบหนึ่ง เป็นเส้นทางหนึ่ง
บนวิถีแห่งการฝึกยุทธ์ เราต้องยืนยันเส้นทางที่ตัวเองจะเดินในอนาคต ถึงจะสามารถเลือกเกณฑ์ที่จะฝึกโดยการอ้างอิงจากเส้นทางที่ตัวเองเลือก
ในระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลัวซิวก็ใช้เวลาอยู่ในแดนเซียนนอกนภามานาน 20 กว่าปีแล้ว ส่วนเวลานี้ เขาและมกุฎเทพหยุนเซวียนรวมไปถึงผู้เฒ่าเทียนชูก็มาถึงด่านที่เก้าของแดนเซียนนอกนภาแห่งนี้!
ทั้งแปดด่านในก่อนหน้านี้ ต่างสอดคล้องกับสวรรค์ ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ท่วมท้นหรือล้นและร้าง
และวินาทีนี้เขาก็มองเห็นผู้แข็งแกร่งที่เฝ้าดูแลในด่านที่เก้า คนดังกล่าวก็บอกว่าตนเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋านอกนภาเช่นกัน ซึ่งมีนามว่านักพรตเฟิงเทียน!
เขานั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่า สายตาเบิ่งมองหลัวซิวทั้งสามคนที่เดินตรงมา พลังออร่าลึกซึ้งมากล้น แค่สบตากันก็ทำให้หลัวซิวเกิดภาพลวงตาราวกับกำลังเผชิญหน้ากับปีศาจยุคดึกดำบรรพ์ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเล็กน้อยและต่ำต้อยของตัวเอง!
เหนือศีรษะนักพรตเฟิงเทียนมีจานหยกลอยอยู่หนึ่งใบ บนจานหยกมีลายเส้นถี่ยิบของธรรมที่ลึกลับและมหัศจรรย์ตัดสลับไปมา
“ประมุขเต๋าเฟิงเทียน!”
เสี้ยววินาทีที่มองเห็นคนดังกล่าว แม้แต่มกุฎเทพหยุนเซวียนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ก็แสดงสีหน้าตะลึงงันออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“เทพธิดาหยุนเซวียน ข้าจำได้ว่าครั้นข้าพบเจ้าในยุคไท่ชู เจ้าก็อยู่ในรูปร่างลักษณะของเด็กหญิงคนหนึ่งแล้ว กาลเวลาผ่านพ้นมาไม่รู้ตั้งกี่ยุคตรีภพ เจ้ายังคงเป็นสภาพเดิมอยู่เช่นเคยเลยนะ”
สายตาของนักพรตเฟิงเทียนร่วงลงบนตัวมกุฎเทพหยุนเซวียน ตรงมุมปากมีรอยยิ้มจาง ๆ ทำให้คนมองรู้สึกชื่นบาน
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าเขาก็ดูเข้มงวดขึ้นมาเช่นกัน ในบรรดา 12 ทั้งสวรรค์แห่งยุคไท่ชู ก็มีหนึ่งคนที่มีนามว่าเฟิงเทียนเช่นกัน
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าที่เป็นหนึ่งในประมุขเต๋าสวรรค์ 12 จักกลายเป็นศิษย์ของตาบ้านอกนภา”มกุฎเทพหยุนเซวียนส่ายหน้าไปมา ราวกับรู้สึกเสียดายมาก
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวจึงไม่สงสัยการคาดคะเนของตัวเองอีก สำหรับเขาแล้วประมุขเต๋าสวรรค์เป็นการคงอยู่ที่เก่าแก่อย่างยิ่ง ไม่นึกเลยว่าจะได้พบประมุขเต๋าสวรรค์คนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่!
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่ลู่ยู่จื่อเคยบอก หอคอยนภากาศปรากฏให้เห็น 12 ชั้น ซึ่งหมายความว่าในยุคปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคงอยู่ 12 คนจริง ๆ
เมื่อมองจากวินาทีนี้ บางทีคำพูดที่ลู่ยู่จื่อพูดในเมื่อนั้นอาจไม่ใช่การพูดสะเปะสะปะจริง ๆ
แดนประมุขเต๋าแทบจะสามารถคงอยู่ร่วมกับดาราจักรวาลได้แล้ว ในการบันทึกของตำนานที่เก่าแก่ แม้นในยุคสมัยที่ประมุขเต๋าเฟิงเทียนคงอยู่ก็เกิดมหันตภัยเช่นกัน แต่ประมุขเต๋าสวรรค์คนนี้กลับหายไปอย่างลึกลับ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่าประมุขเต๋าสวรรค์คนนี้จะอำพรางอยู่ในนี้ตลอดมา
ในบรรดาทั้งสามคน มีเพียงสีหน้าอารมณ์ของผู้เฒ่าเทียนชูคนเดียวเท่านั้นที่สุขุมเรียบนิ่ง เมื่อสายตาของประมุขเต๋าเฟิงเทียนร่วงลงบนตัวเขา แววตาประมุขเต๋าเฟิงเทียนก็ดูเข้มงวดขึ้นมาเช่นกัน ราวกับศัตรูตัวฉกาจย่างกรายมายังไงอย่างนั้น
“ในเมื่อทั้งสามท่านมาถึงที่แห่งนี้แล้ว ขอแค่ผ่านด่านของข้าไปได้ ก็จะสามารถเข้าเฝ้ามกุฎเต๋า และเงื่อนไขในการผ่านด่านของข้าก็ง่ายมากเช่นกัน ขอแค่ต่อสู้กับข้าในแดนเดียวกัน หากชนะก็จะสามารถผ่านด่านไปได้”ประมุขเต๋าเฟิงเทียนพูดอย่างเรียบนิ่ง
ตั้งแต่ยุคไท่ชูกระทั่งปัจจุบัน สามารถพูดได้เลยว่าประมุขเต๋าสวรรค์เป็นการคงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว แม้ชื่อเสียงของประมุขเต๋าเฟิงเทียนที่อยู่ในสวรรค์ทั้ง 12 จะไม่ได้โด่งดังมากเท่าไหร่นัก แต่ก็ดูถูกไม่ได้เช่นกัน การที่จะเอาชนะเขาในแดนเดียวกันนั้น มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
มาตรแม้นว่ามีสติปัญญาระดับผู้ส่งสูง เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขเต๋าก็ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงด้วยซ้ำ
“เวิ่ง! เวิ่ง! เวิ่ง! ……”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีรัศมีเทวหลายดวงจุติลงมา ก่อนจะปรากฏเป็นเงาร่างทั้งหลาย ซึ่งเงาทุกร่างล้วนเป็นผู้เฝ้าดูแลทั้งแปดด่านในก่อนหน้านี้
เมื่อรวมเข้ากับประมุขเต๋าเฟิงเทียน ศิษย์ทั้งเก้าของมกุฎเต๋านอกนภาก็ถือว่ามากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ในจำนวนคนทั้งหมดนี้ นักพรตเฟิงเทียนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า แถมยังเป็นประมุขเต๋าสวรรค์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งด้วย
ผู้แข็งแกร่งอีกแปดคนที่เหลือก็ต่างไม่ธรรมดาเช่นกัน ต่างฝึกเต๋าสวรรค์ ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ล้นและร้าง ในจำนวนทั้งแปดคนนี้ ผลการฝึกตนของจอมมกุฎธรรมเวชและผู้สูงส่งวิถีดินต่างอยู่ที่แดนผู้สูงส่ง แม้แต่จอมมกุฎวิถีร้างในด่านแรกที่อ่อนที่สุด ก็มีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเช่นกัน
หลังจากผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ย่างกรายมาถึงแล้ว ต่างก็พากันปลดปล่อยพลังออร่าที่ทรงพลังออกมา พลังอำนาจที่น่าสยดสยองและมากมายมหาศาลมืดฟ้ามัวดิน ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนท้องฟ้าและผืนดินพังทลายลงไปภายในพริบตา ทำให้ร่างกายเขาหมอบคลานลงไปกับพื้น
“ให้ตายเถอะ! นี่มันท่าทีอะไรกันเนี่ย……”
หน้าผากหลัวซิวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความอัดอั้นตันใจและความปลง ทั้งใบหน้าแนบติดกับพื้นหินชนวน
“พวกเจ้าจะก่อกบฏรึ?!”
มกุฎเทพหยุนเซวียนก็ตะคอกเสียงดังลั่นเช่นกัน แม้นพลังออร่าจะแข็งแกร่งมากพอ แต่น่าเสียดายที่มีผลการฝึกตนมีไม่เพียงพอ ถูกกดอัดจนคลานอยู่ข้างกายหลัวซิวเช่นกัน
แต่ว่าหลัวซิวและมกุฎเทพหยุนเซวียนก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าพวกเขาทั้งสองต่างเป็นคนดวงซวยเคราะห์ร้ายไปด้วย เมื่อจอมมกุฎผู้เฝ้าดูแลทั้งแปดด่านในก่อนหน้านี้ย่างกรายมา พลังออร่าทั้งหมดของพวกเขาก็ล้วนผนึกไปที่ผู้เฒ่าเทียนชูคนเดียว
เซียวเหยาเค่อที่เฝ้าดูแลอยู่ในด่านสอง หรือจอมมกุฎวิถีล้นใช้นิ้วชี้ไปทางผู้เฒ่าเทียนชูแล้วพูด: “ศิษย์พี่ทุกท่าน คนดังกล่าวแอบลักไก่ผ่านด่านตั้งแต่ด่านของข้า ไม่ได้ผ่านการประเมินของข้า ก็มุ่งหน้าไปด่านต่อไปตามอำเภอใจ”
“ข้าสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าตาแก่นั่นไม่ค่อยปกติ บังอาจไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแดนเซียนนอกนภา บอกความเป็นมาและจุดประสงค์ของเจ้ามา!”จอมมกุฎธรรมเวชตวาดอย่างเยือกเย็น