มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2841 ปะทะมกุฎเทพระดับเก้า
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2841
“สถานที่ฝังกู?”
สีหน้าของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนดูหวาดหวั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็โกรธมากจนหลุดหัวเราะออกมา “มึงนี่มันใกล้จะตายแล้วแต่ยังปากแข็งอีกนะ กูมีผู้เพื่อนยุทธ์สองคนคอยช่วยเหลือ ส่วนมึงกลับทำได้เพียงนั่งงอมืองอตีนรอความตายมาเยือน ซึ่งไม่มีทางขัดขืนได้ด้วยซ้ำ!”
“เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเกรงใจเกินไปแล้ว การที่สามารถรับใช้เจ้าศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น มันเป็นเกียรติยศของข้า!”
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวม่วงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนใช้มือลูบหนวดเคราที่ขาวงอกพลางยิ้มพลางพูด แม้นเมื่ออยู่ในพสุดารานอกนภาศักยภาพของเขาจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็ตาม ทว่ากลับไม่กล้าวางมาดต่อหน้าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนคนนี้เลยแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดแล้วพสุดารานอกนภาก็เป็นเพียงมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ห้วงดาราที่กว้างใหญ่อย่างแท้จริงก็ยังเป็นจักรวาลที่อยู่ภายใต้กฎทวยเทพธรรมอยู่ดี ทันทีที่ออกจากที่นี่ เขาก็ยังคงเป็นมกุฎเทพระดับเก้าอยู่เช่นเคย ส่วนเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนกลับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้แล้วเก้าวง
อีกทั้งแม้นจะอยู่บนพสุดารานอกนภา หากเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนใช้เวลาตกตะกอนอีกเล็กน้อย เขาก็สามารถฟื้นฟูผลการฝึกตนและศักยภาพทั้งหมดให้กลับคืนมาโดยปริยายได้เช่นกัน
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวม่วงนั่นมีนามว่าซือถูโฉว อดีตเคยเป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระแห่งโลกสวรรค์ ครั้นยังเป็นหนุ่มเคยมีโชคโอกาสได้รับการถ่ายทอดสืบสานของผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่ง มีอายุคงอยู่มานานนับร้อยล้านปี ถึงจะสามารถฝึกตนจนมีผลการฝึกตนมกุฎเทพระดับเก้าช่วงกลาง
แต่จากสติปัญญาและพรสวรรค์ของเขา การที่สามารถเดินขึ้นมาถึงขั้นนี้ได้นั้นก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว เขาถูกพันธนาการอยู่ในแดนนี้มานานเป็นร้อยล้านปี หากไม่สามารถมีการพัฒนาอีก เช่นนั้นอย่างมากเขาก็มีอายุขัยเหลืออีกแค่หนึ่งร้อยล้านปีแล้ว
อายุขัยหนึ่งร้อยล้านปีดูเหมือนจะยาวนาน ทว่าเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลานี้มันมีมากเกินไป เมื่ออยู่ภายใต้กฎระเบียบของกฎจักรวาลทวยเทพธรรม การฝึกยุทธ์ก็เหมือนการพายเรือทวนน้ำ ไม่มีการพัฒนาแต่กลับถดถอยแทน หากเจ้าไม่สามารถยกระดับผลการฝึกตน เช่นนั้นก็มีน้อยคนมากที่สามารถมีชีวิตคงอยู่จนถึงแก่กรรมอย่างแท้จริง เพราะอัตราการดับสลายสูญสิ้นจากการเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งและสงครามต่าง ๆ จะสูงกว่า
เพราะในเมื่อเจ้าคงอยู่ในโลกแห่งการฝึกยุทธ์นี้แล้ว ก็จะหนีไม่พ้นเรื่องบุญคุณความแค้น มาตรแม้นว่าเจ้าวางแผนที่จะซ่อนเร้นอยู่ภูเขาป่าไม้แล้วไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในโลกาภายนอก เช่นนั้นหากเจ้าไม่ไปรุกรานผู้อื่น ท้ายที่สุดแล้วผู้อื่นก็จะมารุกรานเจ้าเพราะเหตุผลต่าง ๆ นานาอยู่ดี
อย่าว่าแต่มกุฎเทพระดับเก้าเล็ก ๆ คนหนึ่งเลย แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าที่แทบจะเป็นอมตะ ตั้งแต่โบราณกาลมาจะมีสักกี่คนเล่าที่สามารถคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันได้?
เพื่อที่จะบรรลุเป็นเซียน ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าจำนวนมากล้วนดับสลายสูญสิ้นอยู่บนเส้นทางแห่งการบรรลุเป็นเซียน
นอกเหนือจากซือถูโฉวแล้ว มกุฎเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิอีกคนหนึ่งที่เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนผูกมัดด้วยเล่ห์เพทุบายคือจอมยุทธ์ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง คนดังกล่าวไม่มีขนคิ้ว บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นที่เหมือนดั่งตะขาบคลานเคลื่อนที่ ให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นผู้ที่ดุร้ายโหดเหี้ยม
คนดังกล่าวมีนามว่าหวางคุนหวู ซึ่งวิถีที่ฝึกคือวิถีแห่งการสังหาร เนื่องจากจำนวนคนที่สังหารมากเกินไป จึงมีคู่อริที่นับไม่ถ้วน เพื่อเป็นการหลบหนีการไล่ล่าจากคู่อริเมื่อสองล้านกว่าปีก่อน จึงเข้ามาหลบซ่อนในพสุดารานอกนภา
ครั้งนี้เมื่อมีคำมั่นสัญญาจากเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน ขอแค่เขาช่วยเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนสังหารหลัวซิว เช่นนั้นเมื่อเขาออกไปจากพสุดารานอกนภา ก็จะได้รับการปกป้องรักษาจากเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน และจะไม่มีคู่อริกล้ามาหาเรื่องเขาอีก
พลังออร่าของผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพแย้มบานออกมา กงล้อเทพ 12 วงราวกับพระอาทิตย์ 12 ดวงที่แขวนอยู่บนนภาสูง ผนึกรวมกันเป็นพลังอำนาจที่มากมายมหาศาล ผนึกฟ้าผนึกดิน
ภายใต้การกดอัดจากพลานุภาพกงล้อเทพมกุฎเทพระดับเก้า 12 วง ร่างกายของหลัวซิวสูงตระหง่านไม่สั่นคลอน พลางพูดอย่างเรียบนิ่ง: “เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน หากมึงตามหาลูกมือสองตัวนี้มาตั้งแต่ครั้นยังไม่เข้ามาในพสุดารานอกนภา เช่นนั้นกูไม่มีทางหนีพ้นไปจากเงื้อมมือมึงได้แน่นอน ทว่าปัจจุบันมึงกลับคำนวณผิดพลาดแล้ว!”
สายตาของหลัวซิวเพ่งมองไปทางเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่กำลังยืนอยู่บนหัวเรือรบ แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เพราะกูบรรลุเป็นเทพมารระดับเก้าแล้ว! และยิ่งผนึกรวมกงล้อเทพของกูออกมาได้แล้วด้วย!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็ปลดปล่อยพลังออร่าออกมาจากร่างกายเช่นกัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคลื่นพลังออร่าที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิแล้วจริง ๆ ไม่ใช่เทพมารระดับแปดขั้นสูงอีกต่อไป
และกงล้อเทพก็ปรากฏหลังศีรษะเขาเช่นกัน ลักษณะเลือนลาง จะล้มมิล้มแหล่ ราวกับแค่มีลมพัดมาเบา ๆ ก็สามารถพัดให้มันสลายหายไปได้แล้วยังไงอย่างนั้น
“นี่ก็เรียกว่ากงล้อเทพได้หรือ……”
ซือถูโฉวและหวางคุนหวูรู้สึกงงงัน ก่อนจะจ้องมองหลัวซิวด้วยสายตาที่เหมือนมองคนตาย
“เคยเห็นคนจองหองพองขน แต่กลับไม่เคยเห็นผู้น้อยที่จองหองอย่างมึงมาก่อน กงล้อเทพที่ขยะเช่นนี้ ก็บังอาจมาโอหังต่อหน้าข้าอย่างนั้นรึ?”ซือถูโฉวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูดดูหมิ่น
หวางคุนหวูก็ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่งเช่นกัน ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ราวกับคู่ต่อสู้ที่สวะเช่นนี้ ทำให้เขาไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะลงมือสังหาร
มีเพียงเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่ไม่คิดเช่นนี้ เพราะเขาเคยประมือกับหลัวซิวมาก่อน เข้าใจดีมากว่ากงล้อเทพที่เขาผนึกรวมออกมาดูเหมือนจะไม่โดดเด่นอะไร แท้จริงแล้วกลับมีความลึกลับและมหัศจรรย์ที่ล้ำลึกอย่างยิ่งแฝงซ่อนอยู่ โดยเฉพาะพลังอมตะที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมาเมื่อครานั้นยิ่งล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นมากเช่นกัน
ครั้นเมื่อหลัวซิวยังอยู่ในแดนมกุฎเทพแปดขั้นสูง กำลังรบก็สามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงแล้ว ปัจจุบันผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงเทพมารระดับเก้า การที่บรรลุหนึ่งแดนใหญ่ สิ่งที่ตามมาก็ต้องเป็นผลการฝึกตนกำลังรบที่พุ่งพรวดแน่นอน!
แต่ว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็ยังไม่ได้กังวลใจมากเท่าไหร่นัก ต่อให้เขาบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าแล้วอย่างไร?
ช่วงระยะความต่างระหว่างเทพมารระดับเก้าและมกุฎเทพระดับเก้า ต้องแตกต่างจากช่วงระยะความต่างระหว่างเทพมารระดับแปดขั้นสูงและเทพมารระดับเก้าขั้นสูงอย่างมากแน่นอน!
มิหนำซ้ำที่นี่ยังมีซือถูโฉวที่เป็นมกุฎเทพระดับเก้าช่วงกลางอีก หลัวซิวไม่มีโอกาสที่จะพลิกแพลงสถานการณ์ได้แน่นอน
“ผู้เพื่อนยุทธ์ทั้งสองท่าน เวลาไม่เคยคอยท่า โปรดรีบเร่งลงมือสังหารคนดังกล่าวเสียเถิด ข้าจะทำตามคำมั่นสัญญาที่ข้าให้ไว้กับพวกท่านทั้งสองแน่นอน”เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนพูดกระแทกเสียงต่ำ
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา!”ซือถูโฉวยิ้มพลางพยักหน้า ในขณะที่เขากำลังจะลงมืออยู่นั้น แต่กลับเห็นหวางคุนหวูหกระเหินเดินฟ้าก้าวเดินออกมา
“ขยะเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้เพื่อนยุทธ์ซือถูลงมือหรอก เพียงดาบเดียวข้าก็สามารถสังหารให้มันตายได้หลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หวางคุนหวูก็ได้ลงมือแล้ว ดาบโลหิตเล่มหนึ่งที่ราวกับหลอมสร้างมาจากเลือดสีแดงสดถูกเขาเรียกออกมา พลังอำนาจของการโจมตีในครั้งนี้ดุดันและรวดเร็วอย่างยิ่ง พุ่งสังหารเข้าไปทางหลัวซิวราวกับก๊าซพิษสีแดงเลือด
การโจมตีในครั้งนี้ หวางคุนหวูไม่ได้ออมมือแต่อย่างใด เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาวางแผนที่จะจบการต่อสู้ในครั้งนี้อย่างรวดเร็วฉับไว จบชีวิตคู่ต่อสู้ภายในพลังโจมตีเดียว
แสงดาบสีแดงเลือดพุ่งสังหารเข้ามา ทว่าสีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวกลับดูเรียบนิ่งปกติ เห็นเพียงในระหว่างที่เขาพลิกมือทีเดียว ก็มีแสงดาบดวงหนึ่งฟาดฟันออกมาเช่นกัน แสงดาบสีทองแวววาวจับตา ซึ่งมีความล้ำลึกของพลังแห่งวิถีสวรรค์สองประเภทอย่างพลังเต๋าเวหาและพลังเต๋าฉีกชั้นฟ้าแฝงซ่อนอยู่
“โครม!”
แสงดาบสีแดงเลือดถูกทลายคาที่ ยิ่งกว่านั้นคือพลานุภาพของแสงดาบสีทองที่พุ่งตรงเข้าไปไม่ลดน้อยลงเลย พุ่งสังหารเข้าไปทางหวางคุนหวู
“แรงเต๋าแดนมกุฎ! มึงเป็นเพียงผู้น้อยที่เพิ่งบรรลุสู่เทพมารระดับเก้า ไม่นึกเลยว่าจะผนึกรวมผลการฝึกตนพลังเวทย์ขึ้นมาถึงขั้นนี้แล้วอย่างนั้นรึ?”
สีหน้าของหวางคุนหวูเปลี่ยนแปลงไป ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่ง เขาไม่ได้ไม่คุ้นเคยต่อแรงเต๋าแดนมกุฎแต่อย่างใด เพราะพลังอย่างแรงเต๋านั้น มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนมกุฎเทพเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกมันได้
และเป็นเพราะอาศัยความแข็งแกร่งของแรงเต๋าแดนมกุฎนี่เอง ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเทพถึงสามารถสยบจอมยุทธ์แดนต่ำได้อย่างง่ายดาย
บัดนี้ในที่สุดหวางคุนหวูก็เข้าใจสักทีว่าเหตุใดเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนจึงต้องเชิญให้เขาและซือถูโฉวลงมือ หากคนดังกล่าวรับมือง่ายขนาดนั้นจริง ๆ แล้วเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนผู้สง่าผ่าเผยจะมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้อย่างไรเล่า?
“เวิ่งง!”
อานุภาพแย้มบานออกมาจากแสงโลหิต จิตสังหารที่มากมายมหาศาลดั่งแก่นแท้แผ่กระจายไปทั่วฟ้าดิน หวางคุนหวูลงมือโจมตีอย่างสุดกำลังสามารถ เพียงพริบตาเดียวดาบโลหิตและดาบทองก็พุ่งชนกันอยู่กลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่ามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว
แม้นหวางคุนหวูจะเป็นมกุฎเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิทั่วไป แต่วิถีแห่งการสังหารที่เขาฝึกกลับชำนาญการโจมตีปราบปราม หลัวซิวไม่ได้ปลดปล่อยอุบายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาทันทีแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้ไร้ลักษณ์วิวัฒนาการสรรพวิชา เพื่อพิสูจน์ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ศักยภาพของตัวเองจะแตกต่างจากมกุฎเทพระดับเก้าอย่างไร
จากแดน ณ ปัจจุบันของเขา พลังอมตะใด ๆ ที่เขาปลดปล่อยออกมาอย่างสบายมือล้วนสามารถบรรลุถึงพลังอมตะระดับผู้สูงส่ง
แรงเต๋าแดนมกุฎของเขาไม่ลึกซึ้งเท่าหวางคุนหวู แต่เมื่ออาศัยความทรงพลังของพลังอมตะ จึงทดแทนช่วงระยะความต่างของผลการฝึกตนไป และปะทะก็ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสูสี
เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเพ่งมองการต่อสู้ในครั้งนี้ ก่อนจะขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ การเจริญเติบโตของหลัวซิวอยู่เหนือการคาดหมายของเขา หลัวซิวยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังอมตะอันทรงพลังที่เคยใช้ครั้นเมื่อปะทะกับตน ก็สามารถต่อสู้กับมกุฎเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิอย่างหวางคุนหวูได้อย่างสูสีแล้ว
“เทียนเต้า!”
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ตะคอกเสียงดังลั่น กงล้อเทพไร้ลักษณ์ที่อยู่หลังศีรษะเขาแปรเปลี่ยนไปกะทันหัน กลายเป็นเงาลวงของคัมภีร์สวรรค์ เพียงพริบตาเดียว แรงเต๋าสวรรค์ทั้ง 12 ประเภทก็ปะทุออกมาพร้อมกัน รัศมีเทวไร้ขอบเขต พรั่งพรูอยู่ในฟ้าดิน
ยังคงเป็นกฎทวยเทพธรรมที่ถูกวิวัฒนาการออกมาโดยวิถีไร้ลักษณ์อยู่เช่นเคย อย่างไรก็ตามระดับของเทียนเต้ากลับสูงส่งอย่างยิ่ง อานุภาพของเทียนเต้ามหาฤทธิ์ที่วิวัฒนาการออกมาจึงบรรลุถึงขั้นที่สามารถเทียบทัดพลังอมตะระดับประมุขเต๋า
พลังอมตะระดับประมุขเต๋าที่กล่าวถึงนั้น ไม่ได้หมายความว่ามีอนุภาพที่เหมือนดังการโจมตีของประมุขเต๋า แต่ระดับของความลึกลับและมหัศจรรย์ที่แฝงซ่อนอยู่ภายในบรรลุถึงระดับประมุขเต๋าแล้ว หากผลการฝึกตนของหลัวซิวบรรลุถึงแดนประมุขเต๋า เช่นนั้นเทียนเต้ามหาฤทธิ์ของเขาก็จะหลอมรวมเข้ากับการตระหนักรู้และความเข้าใจในเทียนเต้าหรือวิถีสวรรค์ของเขา แล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังอมตะระดับประมุขเต๋าที่แท้จริงโดยปริยาย
ระดับพลานุภาพของพลังอมตะถูกยกระดับขึ้นหนึ่งขั้นอย่างรวดเร็ว หวางคุนหวูจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ทันที กระอักเลือดเฮือกใหญ่ ร่างกายกระเด็นลอยออกไป
“ตู้มม!”
และในเวลานี้เอง แสงกระบี่ดวงหนึ่งซัดสาด เสียงฟึ่บดังขึ้น ก่อนจะฉีกกระชากรัศมีเทวที่ไร้ขอบเขตจากเทียนเต้ามหาฤทธิ์ แล้วพุ่งไปกลางหว่างคิ้วหลัวซิว
เห็นได้ชัดเจนเลยซือถูโฉวที่มีผลการฝึกตนมกุฎเทพระดับเก้าช่วงกลางคนนั้นลงมือแล้ว แม้นผลการฝึกตนของคนดังกล่าวจะสูงกว่าหวางคุนหวูแค่หนึ่งแดนใหญ่ก็ตาม แต่ศักยภาพกลับแข็งแกร่งกว่าหลายเท่าตัวมาก แสงกระบี่ดวงหนึ่งใช้อำนาจทลายเทียนเต้ามหาฤทธิ์ของหลัวซิวไป
“วิถีดิน!”
วิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิววิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง มังกรเทพเก้าเศียรบินลอยขึ้นฟ้า ไข่มุกมังกรปรากฏเก้าเม็ด ถึงขั้นเลียนแบบรูปร่างลักษณะของอัญสมบัติโลกใต้ดินอย่างไข่มุกจิ่วหลงออกมา แล้วปลดปล่อยวิถีดินมหาฤทธิ์ออกมา
ถัดจากนั้น เขาก็ผสมผสานธรรมเวชฟ้าดินมหาฤทธิ์เข้าด้วยกัน ปลดปล่อยพลังอมตะที่มีพลานุภาพทรงพลังยิ่งกว่าออกมา แต่ก็ต้านทานแนวโน้มที่เสื่อมโทรมลงไม่ได้อยู่ดี ภายใต้การจู่โจมสังหารจากแสงกระบี่ของซือถูโฉว จึงถดถอยอย่างต่อเนื่อง
“ตราต้าฮวง!”
ทันใดนั้นเอง พลังออร่ารอบกายหลัวซิวก็พุ่งพรวดกะทันหัน ปลดปล่อยวิชาตราประทับหนึ่งออกมา ราวกับกลายร่างเป็นหอคอยฮวง รอบกายมีแสงทองที่แวววาวจับตา
เสียงเตี๊ยงดังขึ้น แสงกระบี่ถูกเขาโจมตีจนแตกสลาย จากนั้นเงาร่างเขาก็เหมือนดั่งเงาที่กระพริบผ่านไปแวบหนึ่ง พุ่งตรงเข้าไปทางเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนภายในพริบตา
“ผู้น้อยช่างกล้าหาญยิ่งนัก!”
ซือถูโฉวพิโรธอย่างยิ่ง แสงกระบี่ที่แวววาวจับตายิ่งกว่าปรากฏ แสงกระบี่ที่ล้นฟ้าครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ มืดฟ้ามัวดินเฉือนสับไปทางหลัวซิว
หากเขาดึงดันที่จะลงมือต่อเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียน เช่นนั้นก็จะหลบการโจมตีจากแสงกระบี่เหล่านี้ไม่ได้แน่นอน
“ตราสรรพสิทธิ์!”
พลังตราประทับที่อยู่ในมือหลัวซิวแปรเปลี่ยน พลังอมตะนับหมื่นแสนจึงปะทุออกมาจากกงล้อเทพที่อยู่หลังศีรษะเขาภายในเสี้ยววินาที อีกทั้งพลังอมตะที่วิวัฒนาการออกมาล้วนเป็นพลังอมตะคุ้มกัน
ส่วนเงาร่างของเขากลับไม่มีท่าทีที่จะหยุดลงเลย ภายใต้การปลุกเสกจากเกณฑ์ปริภูมิและความเร็ว เขาจึงปรากฏตรงหน้าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนภายในชั่วพริบตา
“หลัวซิว มึงคิดว่ามึงสามารถสังหารกูได้จริง ๆ รึ?”สีหน้าอารมณ์ของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนยังคงเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า แม้นศักยภาพจะถูกกดอัดอยู่ที่ราชาเทพระดับเก้า แต่เขากลับมีอุบายในการรักษาชีวิตเยอะมาก ย่อมเผชิญหน้ากับความอันตรายได้อย่างสุขุมอยู่แล้ว
“หากไม่ลองดู แล้วจะรู้ได้อย่างไร?”
หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น ถัดจากนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็กลายเป็นสีขาวเงิน
“เทียนหย่ง!”
เขาปลดปล่อยพลังอมตะเกณฑ์เวลาที่ตระหนักรู้ได้ในแดนเซียนนอกนภาออกมา ภายในเสี้ยววินาทีเดียวร่างกายกิริยาท่าทางของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนจึงถูกหยุดนิ่งตลอดกาล
“เข้าล็อกเดิม!”
หลัวซิวปลดปล่อยพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมา สรรพวิชาผสมผสานกันแล้วรวมกันเป็นหนึ่ง ยกระดับถึงขีดสุด จนวิวัฒนาการแสงเซียนดวงหนึ่งที่แวววาวจับตาอย่างยิ่งออกมา
ณ วินาทีนี้ ราวกับฟ้าดินผืนนี้เหลือเพียงแสงเซียนดวงนี้ดวงเดียว!