มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2849 เคล็ดเซียนแปรที่สาม
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2849
“หยาบคาย!”
หลงอวี้ตะลึงงัน สีหน้าดูย่ำแย่อย่างยิ่ง ผู้ที่มีตัวตนอย่างเขานั้นให้ความสำคัญกับกิริยาวาจาของตัวเองมาก ๆ คำพูดที่เป็นทำนองเดียวกันกับคำว่าเสแสร้งมันทำให้ตัวตนเขาดูต่ำลงไปจริง ๆ
“หยาบคาย? ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้นแหละ หลงอวี้หากเจ้าดึงดันที่จะเป็นศัตรูกับข้า เจ้าจะโดนข้าสังหารได้นะ”หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ช่างโอหังยิ่งนัก!”
หลงอวี้รู้สึกโกรธเกรี้ยวแล้วจริง ๆ มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งแพร่กระจายออกมาจากตัวเขา แล้วพูดด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง: “ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เองว่าช่วงระยะความต่างระหว่างผู้สูงส่งและประมุขเต๋านั้นแตกต่างกันมากเพียงใด ทำให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือที่ต่ำที่สูง”
แม้นจะมีผลการฝึกตนแค่ราชาเทพระดับเก้าขั้นสูง แต่ศักยภาพของหลงอวี้ก็ยังคงน่าสยดสยองอย่างไร้ข้อสงสัยอยู่เช่นเคย เนื่องจากเขาในอดีตชาติคือประมุขเต๋า ซึ่งมีการตระหนักรู้และแดนของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดหรือโลกาเทพมังกรไท่ชู ประมุขเต๋าในทุกยุคสมัยล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ เป็นผู้ที่น่าทึ่งของยุคสมัยหนึ่ง เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนในยุคสมัยนั้น
สามารถพูดได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่าในยุคสมัยที่หลงอวี้รุ่งโรจน์ พอจะพูดได้เลยว่าเขาเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่อัจฉริยะที่นับไม่ถ้วน ความรุ่งโรจน์ของเขาแวววาวจับตา สยบทุกคนที่อยู่ในยุคเดียวกันจนกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน ถึงจะย่างกรายขึ้นมาสู่แดนประมุขเต๋า แล้วปกครองยุคสมัยหนึ่ง
ประมุขเต๋าทุกคน ไม่ว่าความเป็นมาจะเป็นอย่างไร ล้วนแต่เคยผ่านสงครามและการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน ประสบการณ์การต่อสู้และแดนเกณฑ์ของพวกเขาล้วนสูงส่งอย่างยิ่ง แม้ในยุคสมัยหนึ่งจะมีอัจฉริยะที่นับไม่ถ้วนบังเกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วราศีออร่าของทุกคนล้วนถูกบดบัง และเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
หลงอวี้ในวินาทีนี้กลับไปดูสง่าน่าเกรงขามเหมือนครั้นยังเป็นหนุ่มในอดีตชาติอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาในวินาทีนี้ แข็งแกร่งกว่าเขาในอดีตชาติครั้นอยู่ในแดนราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงเสียอีก เนื่องจากเขาในอดีตชาติไม่มีสภาพจิตใจของประมุขเต๋าอย่างภพชาติปัจจุบัน!
สามารถดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับประมุขเต๋าเลี่ยเทียน และยิ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบในคุณค่าบางอย่าง แค่จุดนี้จุดเดียว ก็สามารถมองเห็นได้แล้วว่าหลงอวี้เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งมากเพียงใด
“หลัวซิว บัดนี้เจ้ายังกล้าพูดจาโอหังต่อหน้าข้าอีกหรือไม่?”
รอบกายมีพลังและออร่าที่แข็งแกร่งโอบล้อม หลงอวี้มั่นใจในตัวเองมาก ราวกับมองกราดหลัวซิวลงมาจากที่สูง
หลัวซิวมองหลงอวี้ที่พลังออร่าน่าเกรงขามรอบหนึ่ง แล้วหลุดหัวเราะออกมา “หากเจ้ามีความมั่นใจในตัวเองจริง ๆ เก่งจริงก็กดอัดผลการฝึกตนอยู่ที่เทพมารระดับเก้าด้วยสิ กล้าสู้กับข้าในแดนเดียวกันหรือไม่?”
“หึ ผลการฝึกตนก็เป็นส่วนหนึ่งของศักยภาพเช่นกัน เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว!”
หลงอวี้ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง จากนั้นก็มีวิชาตราประทับหนึ่งกดอัดลงมา วิชาตราประทับดังกล่าวกลายเป็นรูปร่างลักษณะของมังกรตัวหนึ่งปรากฏกลางฝ่ามือเขา สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ราวกับมีมังกรเทพนับหมื่นแสนก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งทรงพลังและประณีตสวยวิจิตรกว่าพลังอมตะที่หลงฉิงเทียนปลดปล่อยเมื่อครั้นนั้นมาก
หลงอวี้ในวินาทีนี้ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของเขาออกมา ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพหรือพลังออร่า ล้วนบรรลุถึงระดับที่สามารถเทียบทัดมกุฎเทพระดับเก้า และยิ่งอยู่เหนือมกุฎเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ บรรลุถึงระดับขั้นของมกุฎเทพระดับเก้าช่วงกลาง
แม้นหลัวซิวจะมีสติปัญญาแห่งวิถีเซียน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับประมุขเต๋าที่อยู่สูงกว่าตัวเองเกือบสองแดนใหญ่ เขาก็สัมผัสได้ถึงความจนตรอกเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขายั่วยุหลงอวี้ไม่สำเร็จ ไม่ได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกดอัดผลการฝึกตนให้อยู่ในแดนเดียวกันกับเขา จึงแสดงให้เห็นเลยว่าหลงอวี้ก็รู้ตัวเองดีอยู่ว่าเมื่ออยู่ภายใต้แดนเดียวกัน ตนไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิวแน่นอน
“เข้าล็อกเดิม!”
มีรัศมีเทวพุ่งยิงออกมาจากดวงตาของหลัวซิวกะทันหัน เขาใช้พลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองทันที ณ วินาทีนี้ ราวกับฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาได้ควบคุมหมื่นจักรวาล สรรพวิถีสรรพวิชาล้วนผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือเขา แล้วกลายเป็นพลังอมตะวิชาหนึ่ง
เพียงพริบตาเดียว มหาอิทธิฤทธิ์ทั้งสองก็พุ่งชนกันอย่างรุนแรง มังกรเทพนับหมื่นแสนพังทลายแตกสลาย ทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนกลายเป็นความว่างเปล่า
“ตู้มม!”
เงาดำร่างหนึ่งกระเด็นออกไป มีเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาจากร่างกาย ผิวหนังกล้ามเนื้อแตกร้าว เลือดพุ่งกระฉูดดั่งน้ำพุ
เพียงการโจมตีเดียว หลงอวี้ที่ผลการฝึกตนพลังออร่าขึ้นไปถึงสภาวะสูงสุดก็บาดเจ็บสาหัสเลย!
“ช่างเป็นพลังอมตะที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
ใบหน้าของหลงอวี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ พลังอมตะที่เขาปลดปล่อยคือพลังอมตะระดับประมุขเต๋าที่เขาริเริ่มในอดีตชาติ ผลการฝึกตนก็สูงกว่าหลัวซิวอีกเกือบสองแดนใหญ่ ไม่นึกเลยว่าจะพ่ายแพ้ให้เขาในการประสานงาของพลังอมตะอย่างนั้นหรือ?
“แม้นพลังที่เจ้าปลดปล่อยก็เป็นพลังอมตะวิถีเซียนเช่นกัน แต่เมื่อพูดตามหลักแล้วมันก็ไม่ควรทรงพลังเช่นนี้!”
ความเจ็บปวดที่ทรมานลุกลามไปทั้งร่างกาย แต่มันกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรต่อหลงอวี้ด้วยซ้ำ ณ บัดนี้วินาทีนี้ เขาที่เป็นประมุขเต๋าในอดีตชาติถึงขั้นรู้สึกหวาดกลัวต่อหลัวซิวที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย
“ชัวะ!”
หลงอวี้ไม่ได้ลงมือโจมตีอีกครั้ง เขาผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่ง แล้วบินออกไปนอกเขาผีเก้าอย่างไม่ลังเลใจ
จากการประสานงาของพลังอมตะในเมื่อครู่นี้ ทำให้เขาเข้าใจว่าหากหลัวซิวอยู่ในแดนเดียวกันกับเขา เช่นนั้นจากการโจมตีในเมื่อครู่นี้ เขาคงตายไปแล้ว!
เพ่งมองเงาหลังของหลงอวี้ที่จากไป หลัวซิวไม่ได้ไล่ล่าออกไปแต่อย่างใด เขาได้ปลดปล่อยพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมาแล้ว แต่ก็แค่สามารถทำให้หลงอวี้ได้รับบาดเจ็บ กลับไม่สามารถสังหาร แม้นจักไล่ตามไปก็คงสังหารฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
ค่อย ๆ เก็บพลังออร่าอันแข็งแกร่งที่ตลบฟุ้งอยู่รอบกายเข้ามา หลัวซิวยกมือโบกทีหนึ่ง ก็มีธงค่ายทั้งหลายบินออกไปจากทั่วทุกสารทิศ ทำการผนึกเขตพื้นที่แห่งนี้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้หลงอวี้นั่นแว้งกัดตนขณะเก็บพลังฉีกชั้นฟ้า
พลังฉีกชั้นฟ้าที่ผนึกรวมกันอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของเขาผีเก้ามีขนาดเท่าดาราดวงหนึ่ง พลังฉีกชั้นฟ้าที่อยู่บริเวณชั้นนอกยังไม่ได้ทรงพลังมากเท่าไหร่นัก แต่ทว่าเมื่อยิ่งเข้าใกล้ตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลาง พลังที่แฝงซ่อนอยู่ในพลังฉีกชั้นฟ้าก็ยิ่งน่าสยดสยอง
อย่างไรเสียพลังนี้ก็เป็นพลังที่ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่งทิ้งไว้ มาตรแม้นว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวในตอนนี้จะบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าแล้ว เขาก็รู้ตัวดีอยู่ว่าตนไม่มีทางเอาพลังฉีกชั้นฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในนี้กลับไปได้
“พลังฉีกชั้นฟ้าคือหนึ่งในธรรมทั้ง 12 ประเภทที่มีการบันทึกในคัมภีร์สวรรค์ แก่นสารของมันอยู่ที่คำว่า‘ฉีก’ แรงเต๋าประเภทนี้สามารถฉีกกระชากทุกสรรพสิ่งที่ขวางกั้น หากสามารถดูดซับกลั่นแปรแล้วหลอมรวมเข้าไปในร่างกาย ก็จะสามารถทำให้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของข้ามีลักษณะพิเศษที่แข็งแกร่งของพลังฉีกชั้นฟ้า ทำให้พลังพิฆาตของร่างยุทธ์ร่างเนื้อข้าแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!”
ในระหว่างที่ไตร่ตรองอยู่นั้น หลัวซิวก็หกระเหินเดินฟ้าก้าวเดินออกไป ร่างกายเข้าไปในกลุ่มดาวฤกษ์ที่ผนึกรวมมาจากพลังฉีกชั้นฟ้า
กงล้อเทพไร้ลักษณ์ปรากฏหลังศีรษะเขา เคล็ดเซียนแปรเก้าก็โคจรตามเช่นกัน พลังฉีกชั้นฟ้าทั้งหลายถูกหลัวซิวดูดซับเข้าไปในร่างกาย รู้สึกได้ว่าเหมือนเลือดเนื้อและเป็นกระดูกทั้งร่างกายกำลังจะถูกฉีกกระชากให้กลายเป็นชิ้น ๆ ยังไงอย่างนั้น
เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว น่าจะเป็นเพราะถูกพลังอมตะอย่างเข้าล็อกเดิมของเขาสยบ หลงอวี้จึงไม่ได้ย้อนกลับมาแต่อย่างใด ทุกอย่างล้วนเงียบสงบมาก
จากการที่จำนวนพลังฉีกชั้นฟ้าที่หลัวซิวกลั่นแปรยิ่งอยู่ยิ่งมาก พลังเต๋าที่อยู่รอบนอกกลุ่มดาวฤกษ์ดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะทำให้เขายกระดับได้อย่างรวดเร็วแล้ว ดังนั้นร่างกายของเขาจึงเดินไปยังตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลางโดยสัญชาตญาณ
เมื่อเข้าใกล้ตำแหน่งที่เป็นศูนย์กลาง พลังฉีกชั้นฟ้าก็ยิ่งน่าสยดสยอง ร่างกายของเขาถูกฉีกกระชากจนเต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผล เลือดสีแดงสดไหลหยดอย่างไม่หยุดหย่อน สภาพอนาถมากจนไม่อาจทนดูได้
“ถึงขีดจำกัดแล้ว”
หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตำแหน่งที่เขาอยู่ ณ วินาทีนี้ยังห่างไกลจากจุดศูนย์กลางของกลุ่มดาวฤกษ์อีกไกลมาก หากก้าวเดินไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว ร่างกายของเขาก็จะถูกฉีกกระชากจนแหลกเป็นชิ้น ๆ
“แรงเต๋าของที่นี่บรรลุถึงขีดจำกัดของแรงเต๋าแดนมกุฎแล้ว หากเดินไปข้างหน้าอีก สิ่งที่ผนึกรวมอยู่ด้านหน้าคือแรงเต๋าจักรพรรดิเทพ นอกเสียจากข้าสามารถยกระดับแดนของเคล็ดเซียนแปรเก้าขึ้นไปถึงแปรที่สาม ถึงจะสามารถต้านทานได้”
หลัวซิวคำนวณในใจ จากนั้นเขาก็ยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วดูดซับแรงเต๋าเลี่ยเทียนแดนมกุฎเพื่อชุบร่างเนื้อ ฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้า
วรยุทธ์กลั่นร่างอย่างเคล็ดเซียนแปรเก้าทรงพลังอย่างยิ่ง หากสามารถฝึกถึงแปรที่สาม ก็จะทำให้ร่างเนื้อสามารถต้านทานสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ การที่จะต้านทานพลังโจมตีของแรงเต๋าจักรพรรดิเทพนั้น น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
เดิมทีเขาก็คาดการณ์ได้แล้วว่าพลังฉีกชั้นฟ้าในเขาผีเก้าอาจเป็นมูลเหตุที่ทำให้เขาฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าถึงแปรที่สาม หลังจากเขาฝึกตนอยู่ที่นี่ไป 12 ปี จู่ ๆ ร่างกายเขาก็สั่นคลอน เคล็ดเซียนแปรเก้ายกระดับถึงแดนแปรที่สามสำเร็จแล้ว
เนื่องจากดูดซับพลังฉีกชั้นฟ้าติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้แรงเต๋าฉีกชั้นฟ้าที่ผนึกรวมอยู่รอบกายเขาเบาบางลงมาก
“สมกับเป็นวรยุทธ์กลั่นร่างล้ำเลิศที่ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าริเริ่มจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นร่างมกุฎเทพระดับเก้า แต่ถ้าเกิดโคจรวิชาเคล็ดเซียนแปรเก้า ก็จะสามารถต้านทานการโจมตีของสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ”
ในที่สุดก็ฝึกแดนแปรที่สามสักที หลัวซิวมีความมั่นใจมากขึ้น ก่อนที่เขาจะย่างเท้าเดินไปข้างหน้า
แรงเต๋าจักรพรรดิเทพแผ่กระจายมา พลังที่ฉีกกระชากบดขยี้ทุกสรรพสิ่งแข็งแกร่งกว่าแรงเต๋าแดนมกุฎหลายเท่าตัวมาก พลังเช่นนี้สามารถฉีกกระชากร่างมกุฎเทพระดับเก้าให้แตกสลายได้อย่างง่ายดายเลย แต่กลับยากที่จะทำร้ายร่างเนื้อของหลัวซิว
นี่จึงทำให้เขาสัมผัสความแข็งแกร่งและความเหลือเชื่อของเคล็ดเซียนแปรเก้าได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้พลังเวทย์ของหลัวซิวจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงเต๋าแดนมกุฎ แต่กลับยากที่จะกลั่นแปรพลังที่อยู่ระดับขั้นอย่างแรงเต๋าจักรพรรดิเทพ แม้นจักทุ่มสุดกำลังสามารถกลั่นแปรได้เสี้ยวหนึ่ง ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ชัดเจนแต่อย่างใด
เงยหน้ามองขึ้นไป ระดับของกลุ่มดาวฤกษ์ที่ผนึกรวมออกมาจากพลังฉีกชั้นฟ้าแบ่งแยกออกได้ชัดเจนมาก บริเวณรอบนอกสุดคือระดับเทพมารระดับเก้า กระทั่งถึงส่วนที่ลึกที่สุดอย่างระดับประมุขเต๋า
เขตพื้นที่ที่หลัวซิวกำลังยืนอยู่ ณ วินาทีนี้ก็คือระดับขั้นของแรงเต๋าจักรพรรดิเทพ หากเดินไปข้างหน้าอีก ก็จะเป็นแรงเต๋ามหาจักรพรรดิยุทธ์ แรงเต๋าผู้สูงส่ง รวมไปถึงพลังแห่งประมุขเต๋าที่เป็นจุดศูนย์กลาง
ซึ่งร่างศพของประมุขเต๋าเลี่ยเทียนก็ลอยอยู่ในชั้นพลังแห่งประมุขเต๋านี่แหละ
ทันใดนั้นเอง ในขณะที่สายตาของหลัวซิวร่วงลงบร่างศพของประมุขเต๋าเลี่ยเทียนอยู่นั้น รูม่านตาเขาก็หดลงกะทันหัน
ใบหน้าดูตื่นตะลึง เนื่องจากเขาเห็นว่าเดิมทีศพของประมุขเต๋าหลับตาอยู่ แต่ในเสี้ยววินาทีนี้มันถึงกับลืมตาขึ้นมาแล้ว!
ทันทีที่มีความรู้สึกช็อกผุดขึ้นมาในใจหลัวซิว ยังไม่ทันได้มีความคิดอื่น ๆ ผุดขึ้นมา เห็นเพียงร่างศพของประมุขเต๋าก็เหมือนปีศาจร้ายยังไงอย่างนั้น หายไปจากจุดศูนย์กลางของพลังแห่งประมุขเต๋ากะทันหัน แล้วมาปรากฏตรงหน้าเขาภายในชั่วพริบตาเดียว
ศพร่างนี้ยังคงอยู่ในลักษณะนั่งท่าขัดสมาธิอยู่เช่นเคย แต่ใบหน้าที่เยือกเย็นและไม่มีพลังชีวิตแม้แต่น้อยนั่นกลับอยู่ห่างจากหลัวซิวไม่ถึงสองเซนติเมตร
ณ เสี้ยววินาทีนี้ หลัวซิวถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะหยุดหายใจแล้ว
ร่างศพประมุขเต๋าลืมตาขึ้นมาแล้ว แต่กลับไม่มีพลังชีวิตเลยแม้แต่น้อย รูม่านตาไม่มีชีวิตชีวา มีเพียงความว่างเปล่าที่เยือกเย็น
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับรู้สึกว่าเหมือนมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่งจ้องมองตัวเองอยู่ยังไงอย่างนั้น ความรู้สึกเช่นนี้ แม้แต่เขาเองก็รู้สึกขนหัวลุกซู่เล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เสียวสันหลังวาบ
หลัวซิวถอยหลังกลับไป วางแผนที่จะออกจากกลุ่มดาวฤกษ์แรงเต๋านี้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างศพประมุขเต๋าก็ก้าวตามขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว สบตากับเขาตลอดเวลา เหงื่อก็เริ่มผุดออกมาบนหน้าผากหลัวซิวอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน
“ข้าจักมอบโอกาสหนึ่งให้แก่เจ้า แล้วเจ้าช่วยข้าฟื้นคืนชีพ!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีคลื่นตัวสำนึกที่เก่าแก่และโบราณถ่ายทอดไปยังส่วนลึกของสมองหลัวซิว
“หมายความว่าอย่างไร?”แววตาหลัวซิวดูเข้มงวดขึ้น แล้วถามเสียงต่ำ
“เจ้าช่วยข้าไปเอาน้ำอมฤตเทียนอีมาแล้วฟื้นคืนชีพข้า ข้าสามารถตกลงเงื่อนไขทั้งปวงของเจ้าหนึ่งข้อ!”คลื่นตัวสำนึกที่เก่าแก่ส่งตรงเข้ามาอีกครั้ง
วินาทีนี้หลัวซิวก็ถือว่าเข้าใจสักที ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนท่านนี้ไม่ได้ตายไปโดยสมบูรณ์แต่อย่างใด ตายแล้วแต่วิญญาณยังไม่สูญสิ้น ซึ่งอยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย
หลัวซิวไม่เคยได้ยินของอย่างน้ำอมฤตเทียนอีมาก่อนด้วยซ้ำ ในเมื่อมันสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าฟื้นคืนชีพ เช่นนั้นก็เป็นสมบัติที่ครอบครองได้ไม่ง่ายแน่นอน
“หากข้าปฏิเสธล่ะ?”หลัวซิวค่อย ๆ ทำใจให้สงบ แล้วถามกระแทกเสียงต่ำ