มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2852 แผนการร้ายของวังสิงเทียน
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2852
สำหรับกองกำลังทั้งปวงแล้ว ดินแดนของสำนักและสถานบรรพบุรุษของตระกูลต่างเป็นรากฐานของกองกำลังนั้น ๆ
ด้วยเหตุนี้การป้องกันรากฐานจึงดูสำคัญมากอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งวิธีที่มีประสิทธิผลดีมากที่สุดก็คือการจัดวางค่ายกล
วิถีค่ายกล เป็นวิถีที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้สอยพลังแห่งเกณฑ์ของจอมยุทธ์
ในอดีตชาติของหลัวซิว เขาก็ได้ทำการจัดวางค่ายกลจำนวนมากไว้ในหุบเขาสยบปีศาจแล้ว ซึ่งระดับขั้นของค่ายกลบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นมาอย่างยาวนาน การโคจรในหลาย ๆ จุดของค่ายกลที่จัดวางไว้ในตอนแรกเริ่มไม่ค่อยเสถียร มิหนำซ้ำหลัวซิวยังรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจด้วย ถ้าเกิดแค่สามารถป้องกันพลังโจมตีจากผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า
หากอยู่ในอดีต หลัวซิวไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ แม้เขาจะยึดกุมวิชาฎีกาค่าย แต่ถ้าเกิดไม่มีผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งมากพอ รวมไปถึงการยึดกุมแรงเต๋าปริภูมิ เขาก็ไม่สามารถจัดวางค่ายกลที่มีระดับขั้นสูงเกินไปได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลัวซิวไม่สามารถจัดวางด้วยตนเอง แต่เขากลับสามารถอาศัยกำลังแรงจากผู้อื่นได้อยู่ และศิษย์พี่ตู๋กูของเขาก็คือผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่ง ตนเป็นฝ่ายจัดเสนอผังค่ายให้ บวกกับวัตถุดิบบางส่วนที่ได้รับจากการใช้เส้นสายของอาณากระบี่หวูจี๋ การที่จะจัดวางค่ายกลระดับผู้สูงส่งออกมานั้น น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หลัวซิวเดินทางไปหุบเขากระบี่ด้วยตนเองหนึ่งรอบ และได้พบกับตู๋กูเจ้าแห่งอาณากระบี่
เมื่อได้ยินจุดประสงค์ในการมาเยือนของหลัวซิว เจ้าแดนตู๋กูก็พยักหน้าตอบตกลงเช่นกัน
“ไม่นึกเลยว่าศิษย์น้องจักเชี่ยวชาญในวิถีค่ายมากขนาดนี้ด้วย”
เมื่อตู๋กูได้รับผังค่ายมาจากมือหลัวซิว แม้นเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงปลาย แต่ก็รู้สึกตะลึงในระดับหนึ่งเลย
การจัดวางของผังค่ายดังกล่าวประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่ง ทันทีที่จัดวางสำเร็จ เช่นนั้นก็จะสามารถครอบคลุมห้วงเวลาของฟ้าดินผืนหนึ่ง ซึ่งผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งอย่าคิดว่าจะสามารถบุกรุกเข้าไปได้เลย มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ผลการฝึกตนศักยภาพบรรลุถึงผู้แกร่งเลิศเท่านั้น ถึงจะสามารถอาศัยอำนาจบุกรุกเข้าไปได้
และทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดจะมีผู้แกร่งเลิศกี่คนเล่า? จวบจนปัจจุบันผู้แกร่งเลิศที่ปรากฏให้เห็นนั้น ก็มีไม่ถึงสิบคน
สามารถพูดได้เลยว่าเมื่อมีค่ายกลคุ้มกันประเภทนี้ พอจะพูดได้เลยว่าหุบเขาสยบปีศาจเป็นกำแพงเมืองแข็งแกร่งมั่นคงยากที่จะมลาย ขอเพียงมีการป้องกันรักษาที่ปลอดภัย เช่นนั้นขอแค่มีระยะเวลาที่เพียงพอ ศักยภาพของหุบเขาสยบปีศาจก็จะค่อย ๆ สั่งสมตกตะกอน ค่อย ๆ แข็งแกร่งรุ่งเรืองขึ้น จนมีตำแหน่งเล็ก ๆ ในมหันตภัยในครั้งนี้
“ทว่าน่าเสียดายที่ผลการฝึกตนของข้าต่ำเกินไป มิเช่นนั้นเมื่ออาศัยวิชาฎีกาค่าย การที่จะอนุมานค่ายกลระดับประมุขเต๋าออกมานั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเช่นกัน”
หลัวซิวกล่าวเช่นนี้ ไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ตนได้รับการถ่ายทอดสืบสานของฎีกาค่าย
“ศิษย์น้องเป็นผู้ที่มีโอกาสยิ่งใหญ่มาก มิน่าล่ะถึงได้รับความสำคัญจากอาจารย์มากเช่นนี้”
เจ้าแดนตู๋กูหัวเราะ “ผังค่ายม้วนนี้ของเจ้าค่อนข้างซับซ้อน ระดับขั้นของวัตถุดิบที่ต้องการก็สูงมากเช่นกัน ข้าที่เป็นศิษย์พี่เจ้าจะลงทุนวัตถุดิบให้เจ้าส่วนหนึ่งก็แล้วกัน”
…..
ในฐานะที่เป็นเจ้าแดน ส่วนใหญ่แล้วตู๋กูเดินออกไปจากหุบเขากระบี่น้อยมาก ๆ กิจธุระจำนวนมากของอาณากระบี่ก็ถูกดูแลรับผิดชอบโดยผู้อาวุโสทั้งหลาย
ในอาณากระบี่ ณ ปัจจุบัน ก็มีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้นแหละที่มีเกียรติถึงขั้นสามารถเชิญตู๋กูออกจากเขาได้
เห็นเพียงเจ้าแดนตู๋กูโบกมือหยิบวัตถุดิบต่าง ๆ นานาออกมา ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นตัวเซียนระดับผู้สูงส่ง สามารถพูดได้เลยว่าเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการจัดวางค่ายกลดังกล่าว
“ขอบพระคุณศิษย์พี่อย่างยิ่งขอรับ”หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ เขาต้องเข้าใจน้ำจิตน้ำใจของศิษย์พี่ตู๋กูท่านนี้อยู่แล้ว อย่างไรเสียเมื่อดูจากภูมิฐานที่สั่งสมมาของหุบเขาสยบปีศาจและตัวเอง ไม่มีทางเอาตัวเซียนระดับผู้สูงส่งที่มากมายก่ายกองเช่นนี้ออกมาได้ในทีเดียวแน่นอน
วัตถุดิบทั้งหมดที่ตู๋กูเอาออกมานั้น สามารถพูดได้เลยว่าเป็นการช่วยเหลือเขาได้เยอะมาก ๆ ต่อให้เจ้าแดนตู๋กูจะมั่งคั่งใจป้ำมากเพียงใด สำหรับเขาแล้วตัวเซียนระดับผู้สูงส่งก็เป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ามาก ๆ
หลัวซิวย่อมต้องจดจำบุญคุณในครั้งนี้ไว้ในใจอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสไมตรีจิตของศิษย์พี่น้องได้อย่างแท้จริงด้วย
เมื่อมีผังค่ายที่หลัวซิวจัดเสนอให้ ต่อให้ตู๋กูจะไม่ค่อยเชี่ยวชาญในวิถีค่ายมากเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อจัดวางตามขั้นตอนบนผังค่าย ก็จัดวางผังค่ายม้วนนี้สำเร็จไปหนึ่งในสามได้อย่างรวดเร็ว
ค่ายกลดังกล่าวที่หลัวซิวอนุมานออกมาโดยการอ้างอิงจากฎีกาค่ายประกอบขึ้นมาจากสามส่วนหลัก ๆ
ส่วนแรกก็คือค่ายใหญ่กักกัน เมื่อมีการคงอยู่ของกักกัน เช่นนั้นนอกเสียจากมีสิ่งยืนยันที่พิเศษ มิเช่นนั้นคนนอกก็อย่าคิดว่าจะสามารถเข้าไปในหุบเขาสยบปีศาจได้
ต่อมาส่วนที่สองนั้นคือมหาค่ายคุ้มกัน ซึ่งสามารถต้านทานพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง
ส่วนสุดท้ายอย่างส่วนที่สามนั้นคือค่ายสังหาร เมื่อระเบิดพลังอานุภาพทั้งหมดออกมาอย่างหมดเปลือก ก็แทบจะสามารถเทียบทัดพลังโจมตีของผู้แกร่งเลิศได้เลย หากมีผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งติดอยู่ภายในมหาค่าย เช่นนั้นนอกเสียจากมีอุบายพิเศษในการหลบหนี มิเช่นนั้นก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!
ค่ายกลหนึ่งค่ายได้หลอมรวมมหาค่ายสามประเภทเข้าด้วยกัน พอจะพูดได้เลยว่าเป็นค่ายเทพมหาศักดิ์ขั้นสุดยอดแล้ว
หลัวซิวนำศิลาเทวชิงเทียนวางอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของค่ายใหญ่กักกัน เมื่อมีศิลาเทวกดอัดค่ายใหญ่กักกัน เช่นนั้นทันทีที่มีคนใช้อำนาจบุกรุกเข้ามาในค่ายกล หรือติดอยู่ในมหาค่าย ก็จะถูกศิลาเทวชิงเทียนกดอัดด้วย
สมบัติทั้งสองชิ้นนี้ต่างเป็นอาวุธเทพระดับประมุขเต๋า อนาคตหากมีเงื่อนไขที่เพียงพอ เมื่อเปลี่ยนวัตถุดิบหลักในการจัดวางค่ายกลให้เป็นตัวเซียนระดับประมุขเต๋า เช่นนั้นทั้งมหาค่ายก็จะได้รับการยกระดับในทุก ๆ ด้าน บรรลุถึงขั้นที่สามารถสยบและต้านทานพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า!
ตัวเซียนระดับประมุขต่ำหายากมาก ๆ แม้แต่บนตัวหลัวซิวก็ไม่มีเช่นกัน เจ้าแดนตู๋กูก็เป็นเพียงผู้สูงส่งช่วงปลาย ต่อให้มีตัวเซียนระดับประมุขเต๋า เขาก็ไม่มีทางเอาออกมาใช้เยอะขนาดนี้แน่นอน
มิหนำซ้ำแม้นระหว่างเขาและเจ้าแดนตู๋กูจะเป็นศิษย์พี่น้องกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังไม่ได้ดีถึงขั้นที่สามารถหยิบตัวเซียนประมุขเต๋าออกมาได้โดยไม่มีการตอบแทนใด ๆ
การที่เจ้าแดนตู๋กูจัดเสนอตัวเซียนระดับผู้สูงส่งที่มากมายขนาดนี้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ก็ทำให้หลัวซิวรู้สึกตื้นตันใจมาก ๆ แล้ว
ส่วนด้านการสังหารปราบปรามของมหาค่ายในสำนักเขานั้น หลัวซิวไม่มีอาวุธเทพที่แข็งแกร่งมากพอเพื่อไปจัดวางอยู่ในจุดศูนย์กลางของค่ายกลแล้ว กระบี่ร่องฟ้าเพิ่งจะยกระดับถึงขั้นอาวุธจักรพรรดิระดับเก้า เตากลั่นนภาจื่อเซียวก็แค่สามารถเทียบทัดอาวุธจักรพรรณ์ล้ำเลิศ ต่างบรรลุไม่ถึงระดับอาวุธเทพผู้สูงส่ง
แม้จะไม่มีอัญชิงเทียนทั้งสองชิ้นนี้ติดตัว ทำให้กำลังรบของตัวหลัวซิวลดฮวบลงไปไม่น้อยทันที แต่ทว่าผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจมีความสำคัญต่อเขามาก ๆ ดังนั้นเขาจึงทิ้งอัญสมบัติทั้งสองชิ้นนี้ไว้ที่นี่อย่างไม่ลังเลใจ
ในส่วนของด้านการสังหารปราบปรามของค่ายกลนั้น อนาคตหากเจออาวุธเทพระดับประมุขเต๋า เขาก็จะนำมันมาไว้ในมหาค่ายดังกล่าวเช่นกัน
หลัวซิวนำธงค่ายที่ใช้ควบคุมมหาค่ายดังกล่าวฝากไว้ให้เหยียนซีโรว่และเหยียนเยว่เอ๋อร์ เมื่อยึดกุมธงค่าย ก็หมายความว่าพวกนางทั้งสองเป็นผู้ควบคุมทั้งหุบเขาสยบปีศาจ ขอแค่อยู่ในหุบเขาสยบปีศาจ ก็สามารถอาศัยพลานุภาพจากการกระตุ้นธงค่าย แม้แต่ผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งก็สามารถสยบสังหารได้!
มีการจัดแจงเหล่านี้ หลัวซิวถึงจะถือว่าวางใจลงได้สักที เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้เขาจะใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกนาน ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลความปลอดภัยของหุบเขาสยบปีศาจมากเท่าไหร่นัก
……
ขณะที่หลัวซิวกำลังวางแผนจัดวางมหาค่ายไว้ในสำนักเขาของหุบเขาสยบปีศาจอยู่นั้น สิงจีก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าศักดิ์สิทธิ์ เดินทางจากโลกสวรรค์มายังโลกร้างเช่นกัน
ปัจจุบันไม่เพียงแค่โลกสวรรค์และโลกร้าง ทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย ส่วนในโลกร้างนั้น จวบจนปัจจุบันรากฐานของความวุ่นวายล้วนเกิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ
ตั้งแต่มหันตภัยในยุคไท่ชูและยุควัฏสงสารที่เกิดจากผู้บำเพ็ญปรปักษ์ทำสงครามกับประมุขเต๋าสวรรค์และประมุขเต๋าวัฏสงสารเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า กองกำลังของผู้บำเพ็ญปรปักษ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง ผู้บำเพ็ญปรปักษ์ที่มีชีวิตคงอยู่มาตั้งแต่สองยุคสมัยนั้นรวมตัวเข้าด้วยกัน แล้วก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจขึ้นมา
ตลอดช่วงหนึ่งยุคตรีภพอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา การปฏิบัติการของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจค่อนข้างถ่อมตัว และสร้างปัญหาต่าง ๆ น้อยมากด้วย
แต่ทว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกลับดูผิดปกติมาก ลงมืออย่างต่อเนื่อง สร้างผลกระทบต่อโลกร้างเป็นวงกว้าง
และเป็นเพราะแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจกระฉับกระเฉงเช่นนี้นี่เอง เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนถึงได้วางแผนที่จะอาศัยอำนาจของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจมากำจัดหลัวซิวทิ้ง
ยังไงแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและหลัวซิวก็ต่างเป็นศัตรูของวังสิงเทียนอยู่แล้ว ศึกการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ มันก็เป็นเรื่องดีต่อวังสิงเทียนที่รอฉกฉวยผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังอยู่ดี
สิงจีอำพรางตัวตน มาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ อีกทั้งได้พบกับผู้อาวุโสคนหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ
ผู้อาวุโสแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจคนดังกล่าวดูหนุ่มมาก ๆ ราวกับวัยรุ่นอายุสิบเจ็ดแปดคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามสิงจีกลับทราบอยู่ว่าอันที่จริงชายหนุ่มคนนี้ไม่อ่อนเยาว์เลยสักนิด แต่เป็นเฒ่าประหลาดที่คงอยู่มาเกือบหมื่นล้านปี ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าตั้งนานแล้ว
ในกาลเวลาที่ยาวนาน แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจก็สั่งสมปิดบังศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองเช่นกัน ส่วนคนที่มีรูปร่างลักษณะเป็นชายหนุ่มคนนี้ ก็คือเจ้าสำนักผู้ควบคุมสำนักหยินแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจนั่นเอง!
มีน้อยคนมากที่รู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจแบ่งออกเป็นหยินหยางสองสำนัก หยางเป็นตัวแทนของกองกำลังที่ผู้คนโลกาภายนอกมองเห็น ส่วนสำนักหยินกลับเป็นกองกำลังซ่อนเร้นของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ
สองยักษ์ใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ ก็แบ่งออกเป็นเจ้าสำนักของสำนักหยินและสำนักหยาง คนหนึ่งคือจ้าวปีศาจเทียนหยาง ส่วนอีกคนหนึ่งคือจ้าวปีศาจเสวียนหยิน!
ผู้บำเพ็ญปรปักษ์เป็นศัตรูคู่อาฆาตของเผ่าฟ้า ดังนั้นเผ่าฟ้าจึงสังเกตการเคลื่อนไหวของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจมาโดยตลอด ทราบความลับที่ผู้คนในโลกหล้าต่างไม่ทราบของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ
วังสิงเทียนก็ใช้เส้นสายบางอย่างแล้วได้รับป้ายบัญชาการมาหนึ่งชิ้นนี่แหละ เมื่ออาศัยป้ายบัญชาการดังกล่าว จึงสามารถเข้าพบเจ้าสำนักหยินได้โดยตรง
ภารกิจของสำนักหยินก็คือกำจัดพวกนอกคอกของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจ เรื่องที่ทำล้วนเป็นเรื่องชั่วร้าย ปกติแล้วพวกเขาก็จะรับภารกิจอย่างการลอบสังหาร เพื่อหาทรัพย์สินเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจเช่นกัน
เห็นเพียงจ้าวปีศาจเสวียนหยินยกมือขึ้นมาขยำทีหนึ่ง ป้ายบัญชาการที่อยู่ในมือสิงจีก็บินไปยังมือเขา
จ้าวปีศาจใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจป้ายบัญชาการรอบหนึ่ง หลังจากยืนยันความจริงเท็จของป้ายบัญชาการชิ้นนี้แล้ว สายตาเขาก็ร่วงลงบนสิงจี “เจ้าต้องการสังหารผู้ใด?”
ป้ายบัญชาการที่สิงจีพกมาด้วยก็คือของยืนยันที่สามารถเข้าเฝ้าจ้าวปีศาจสำนักหยินโดยตรง เมื่ออาศัยของยืนยันชิ้นนี้ ก็จะสามารถฝากให้สำนักหยินแห่งวิถีปีศาจปฏิบัติภารกิจแทน
“ร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด หลัวซิว!”สิงจีตอบกลับอย่างไม่ลังเลใจ
“เขาหรือ?”จ้าวปีศาจเสวียนหยินขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาย่อมต้องคุ้นเคยต่อชื่อดังกล่าวดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ ชื่อหลัวซิวนั้นสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกร้างไปไม่น้อยเลย
“ปัจจุบันคนดังกล่าวที่เจ้าหมายถึงเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว ซึ่งตัวตนดังกล่าวอ่อนไหวมาก……”จ้าวปีศาจเสวียนหยินขมวดคิ้วแล้วตอบกลับ
“หรือว่าจ้าวปีศาจไม่อยากรับภารกิจนี้หรือ?”สิงจียักคิ้วทีหนึ่ง “หรือว่าจ้าวปีศาจเกรงกลัวอาณากระบี่หวูจี๋?”
“หื้ม?”
จู่ ๆ ก็มีปลายดาบที่เฉียบคมและรวดเร็วอย่างยิ่งพุ่งออกมาจากดวงตาของจ้าวปีศาจเสวียนหยิน จิตสังหารอันสยดสยองที่มากมายมหาศาลแผ่กระจายออกมา
“ฟึ่บ!”
ภายใต้การปกคลุมจากจิตสังหารที่น่าสยดสยองนี้ สีหน้าของสิงจีเปลี่ยนแปลงไปกะทันหัน อ้าปากแล้วกระอักเลือดออกมา ร่างกายเขาคุกเข่าลงไปกับพื้นโดยตรง ใบหน้าขาวซีด หายใจลำบาก
“อย่าริอ่านมาเล่นลูกไม้อย่างการยั่วยุต่อหน้าข้า ในโลกหล้านี้ ไม่มีภารกิจใดที่สำนักหยินของข้าไม่กล้ารับ!”
จ้าวปีศาจเสวียนหยินทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง “หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงเรื่องที่เจ้ามาพร้อมกับของยืนยัน จากคำพูดในเมื่อครู่นี้ของเจ้า ข้าคงกำจัดเจ้าทิ้งไปตั้งนานแล้ว!”
เหงื่อท่วมหน้าผากสิงจี ก่อนที่เขาจะรีบตอบกลับ: “ผู้น้อยสำนึกผิดแล้วขอรับ ได้โปรดจ้าวปีศาจไว้ชีวิตด้วย……”
แม้นจักพูดเช่นนี้ ทว่าสิงจีกลับแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นในใจ ไม่ว่าสำนักหยินแห่งวิถีปีศาจจะสามารถกำจัดหลัวซิวได้หรือไม่ ขอแค่เขาใช้เส้นสายบางอย่างแพร่งพรายข่าวคราวที่สำนักหยินแห่งวิถีปีศาจจะสังหารหลัวซิวออกไป เช่นนั้นระหว่างแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและอาณากระบี่หวูจี๋ต้องได้ปะทะกันอย่างแน่นอน!