มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2855 เหลือเชื่อ
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2855
“ไม่ตาย!?”
“มันฝืนต้านทานพลังโจมตีหนึ่งของผู้อาวุโส ไม่นึกเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่!”
“……”
เมื่อเห็นหลัวซิวที่ปรากฏข้างกายตู๋กูเจี้ยนเฉินอีกครั้ง ผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามคนที่พุ่งสังหารเข้ามาก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน
ผู้อาวุโสสำนักหยินที่อยู่กลางนภาสูงก็แสดงสีหน้าตะลึงงัน “ชีวิตเจ้าหมอนั่นแข็งแกร่งเช่นนี้เลยหรือ?”
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ช่วงระยะความต่างระหว่างเทพมารระดับเก้าและจักรพรรดิเทพระดับเก้า ก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไปและเทพมารเลย จากพลังอมตะหนึ่งของเขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพ สามารถสังหารจำนวนเทพมารระดับเก้าที่นับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดายเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้อาวุโสสำนักหยินสังเกตเห็นว่า นอกจากเสื้อผ้าบนตัวหลัวซิวที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อยแล้ว เขาก็ถึงกับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งออร่าผลการฝึกตนก็ไม่มีท่าทีที่จะอ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย ตกลงเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ใช่สิ เจ้าหมอนั่นเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ บางทีบนตัวมันอาจมีสมบัติรักษาชีวิต สามารถทำให้มันที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้าฝืนต้านทานพลังอมตะหนึ่งของข้า สมบัติที่อยู่ในมือมันอย่างน้อยก็เป็นเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์!”
ไตร่ตรองในใจ ก่อนที่แววตาของผู้อาวุโสสำนักหยินจะเป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ “เศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์เลยนะ! หากสามารถสังหารมัน เช่นนั้นเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ชิ้นนั้นก็จะตกเป็นของข้าแล้ว!”
เมื่อเทพมารระดับเก้ากระตุ้นสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ จักไม่มีทางต้านทานพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพได้แน่นอน ดังนั้นผู้อาวุโสสำนักหยินถึงได้ชี้ขาดว่าบนตัวหลัวซิวต้องมีเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ใช้ในการรักษาชีวิตอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน มกุฎเทพระดับเก้าสามคนก็กระโจนสังหารใกล้เข้ามาแล้ว แม้นหลัวซิวที่ยังไม่ตายจะทำให้พวกเขารู้สึกตะลึงมาก แต่พวกเขายังไม่ได้นำชายหนุ่มที่เป็นเทพมารระดับเก้าช่วงปลายกระจอก ๆ มาไว้ในสายตา
“เวิ่ง! เวิ่ง! เวิ่ง! ……”
พลานุภาพของพลังอมตะและของขลังทั้งหลายแย้มบาน เงาร่างของหลัวซิวจมหายเข้าไปในพลังโจมตีของผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามคนทันที
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง มีเงาดำร่างหนึ่งพุ่งสังหารออกมาปานตัดสลับคลื่นน้ำ มีกระบี่เทพเล่มหนึ่งปรากฏในมือเขา แล้วพุ่งสังหารเข้าไปทางผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามคนนั้น
“ว่าอย่างไรนะ! ไม่นึกเลยว่าจะสามารถต้านทานพลังโจมตีของพวกเราทั้งสามคนได้อย่างนั้นหรือ?”
“นี่มันจะมีทางเป็นไปได้อย่างไร?”
“ต่อให้มันมีสมบัติคุ้มกันชีวิต จากผลการฝึกตนของมัน ก็ไม่มีทางใช้สอยสมบัติเหล่านั้นได้ง่ายดายเช่นนี้หรอกกระมัง?”
ผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสามตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี เมื่อครู่ตัวสำนึกของพวกเขาสังเกตเห็นด้วยตาเลยว่าพลังอมตะและอาวุธเทพของขลังของพวกเขาล้วนโจมตีโดนหลัวซิวแล้ว
แต่วินาทีนี้บนตัวหลัวซิวที่กำลังพุ่งสังหารเข้ามาทางพวกตนทั้งสามกลับไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์เช่นนี้มันเหลือเชื่อเกินไปแล้วจริง ๆ
มีการปลุกเสกจากพลังอมตะของเกณฑ์ปริภูมิและความเร็ว เงาร่างของหลัวซิวจึงปรากฏตรงหน้าผู้คุมกฎมกุฎเทพสามคนภายในชั่วลมหายใจเดียว
ฟาดฟันกระบี่ร่องฟ้าที่ยกระดับถึงอาวุธจักรพรรดิระดับเก้าออกมา แรงฮึดของร่างเนื้ออันแข็งแกร่งที่หลอมรวมข้ากับพลังแห่งประมุขเต๋าเลี่ยเทียนก็ปะทุออกมาเช่นกัน!
“ตู้ม!”
ผู้คุมกฎมกุฎเทพคนหนึ่งเรียกของขลังออกมา แต่กลับถูกกระบี่หนึ่งของหลัวซิวโจมตีจนแตกสลายเป็นฝุ่นผงคาที่!
พลังโจมตีของกระบี่ในครั้งนี้ของเขาไม่มีการปลุกเสกจากเกณฑ์และพลังอมตะใด ๆ แต่เป็นแรงฮึดของร่างเนื้ออย่างเดียวเท่านั้น พลังที่เกะกะระรานกดอัดผ่านไป อนัตตาล้วนแตกสลาย ผู้คุมกฎมกุฎเทพที่เรียกของขลังออกมานั่นเบิกตากว้าง เสียงตู้มดังขึ้น ก่อนที่ร่างกายจะระเบิดแตกเป็นหมอกเลือด
กระบี่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านความเฉียบคม แต่การอาศัยแรงฮึดที่เกะกะระรานอย่างยิ่งกดอัดคนคนหนึ่งจนระเบิดแตกได้นั้น มันเป็นเรื่องที่น่าขนลุกและน่าสยดสยองมากเกินไปจริง ๆ!
“ตายซะเถอะ!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น กระบี่ร่องฟ้าลอยอยู่กลางท้องฟ้า ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปลดปล่อยตราต้าฮวง วิชาตราประทับสองวิชาต่างพุ่งชนไปทางผู้คุมกฎมกุฎเทพอีกสองคนของสำนักหยินแห่งวิถีปีศาจ
ตราต้าฮวงเป็นพลังอมตะที่สามารถปลดปล่อยพลานุภาพทั้งหมดของแรงฮึดร่างเนื้อออกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลัวซิวก็ไม่มีความพะวงใจใด ๆ ต่อผู้คุมกฎมกุฎเทพทั้งสองคนเช่นกัน ต่อให้พวกเขาจะปลดปล่อยอุบายป้องกันชีวิตที่ทรงพลังที่สุดออกมา เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ถูกตราต้าฮวงโจมตีจนระเบิดแตก ไม่เหลือแม้แต่ซากอยู่ดี!
เป็นกระบวนท่าที่เหมือนกัน ทว่าขณะที่ต่อกรกับผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพแห่งสำนักหยินนั่น หลัวซิวทำได้เพียงเป็นฝ่ายที่ถูกโจมตีจนกระเด็นออกมา แต่ถ้าเกิดเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เป็นมกุฎเทพระดับเก้า ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันได้หลบหลีก ก็มีแต่จะถูกแรงฮึดที่เกะกะระรานของเขาโจมตีจนร่างเหลวแหลก!
ร่างเนื้อของเขายังคงอยู่ที่ระดับร่างมกุฎเทพระดับเก้าอยู่เช่นเคย ทว่าเนื่องจากฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าขึ้นไปถึงแดนแปรที่สาม พลังป้องกันของร่างกายจึงเทียบเท่าสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพ
ต่อมาก็ได้รับพลังแห่งประมุขเต๋าที่ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนประทานให้ในเขาผีเก้าอีก ทำให้เขาหลอมรวมเข้ากับพลังสังหารปราบปรามที่แข็งแกร่งของพลังฉีกชั้นฟ้า ร่างยุทธ์ร่างเนื้อได้รับการยกระดับอีกหนึ่งขั้น ด้านการโจมตีปราบปรามก็บรรลุถึงระดับที่เทียบเท่าอาวุธจักรพรรดิระดับเก้า!
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าแรงฮึดร่างเนื้อบริสุทธิ์ที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมาในปัจจุบัน ทรงพลังกว่าอานุภาพของพลังอมตะเขาอีก แม้แต่พลังอมตะอย่างเข้าล็อกเดิมก็เทียบเคียงด้วยไม่ได้!
ผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพแห่งสำนักหยินนั่นก็มองดูจนเบิกตากว้างอ้าปากค้างเช่นกัน ไม่อยากจะเชื่อในภาพเหตุการณ์ที่ตนมองเห็นในเมื่อครู่นี้
เดิมทีการที่เจ้าหมอนี่สามารถต้านทานพลังอมตะหนึ่งของตัวเองแล้วไม่ตายนั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างยิ่งแล้ว แต่เจ้าหมอนี่กลับสามารถระเบิดพลังโจมตีที่น่าสยดสยองเช่นนี้ออกมาได้อีกอย่างนั้นหรือ สังหารมกุฎเทพระดับเก้าสามคนภายในเสี้ยววินาที หลัวซิวนี่คือปีศาจที่เก่งกาจมากเพียงใดกันแน่?
“แค่เทพมารระดับเก้ากระจอก ๆ ……”
เรื่องราวดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อพูดคำว่ากระจอกออกมาอีกครั้ง แม้แต่ผู้อาวุโสสำนักหยินเองยังรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นี่มันไม่มีทางใช่ศักยภาพที่เทพมารระดับเก้าคนหนึ่งมีด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ร่างที่ผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดเลย ต่อให้เป็นร่างที่ประมุขเต๋ากลับชาติมาเกิดก็ไม่มีทางแข็งแกร่งขนาดนี้ได้
แหวนเก็บของทั้งสามวงถูกหลัวซิวกำอยู่ในมือ เห็นเพียงเขาออกแรงบีบทีหนึ่ง พื้นที่เก็บของภายในแหวนเก็บของทั้งสามวงก็ระเบิดแตก สมบัติต่าง ๆ จำนวนมากทะลักออกมา
สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง สมบัติจำนวนมากก็ถูกหลัวซิวเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของของตัวเอง ทรัพย์สินของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเทพสามคนไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ เลย น่าจะเพียงพอต่อความต้องการในช่วงเวลาหนึ่งของเขาแล้ว
“การฆ่าคนเป็นทางลัดที่ทำให้ร่ำรวยได้เร็วที่สุดจริง ๆ ด้วย”
ตบ ๆ ฝุ่นละอองตามร่างกาย หลัวซิวยืนอยู่ข้างกายตู๋กูเจี้ยนเฉินพลางแหงนหน้าขึ้นไปมองผู้อาวุโสสำนักหยินที่ลอยอยู่กลางนภาสูง
เขาไม่ได้เป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อนแต่อย่างใด เนื่องจากมีเพียงอยู่ในระยะประชิดเท่านั้น เขาถึงจะสามารถอาศัยแรงฮึดที่ทรงพลัง สร้างภัยคุกคามต่อผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพ และในขณะที่เขาประชิดตัว ฝ่ายตรงข้ามก็มีโอกาสปลดปล่อยพลังอมตะโจมตีระยะไกล แล้วสร้างภัยคุกคามต่อตู๋กูเจี้ยนเฉินที่กำลังข้ามผ่านทัณฑ์
“ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่ากูดูหมิ่นมึง ไม่เพียงกูเท่านั้น แม้แต่ท่านจ้าวปีศาจก็ดูหมิ่นมึงที่เป็นไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิดเช่นกัน!”
แววตาของผู้อาวุโสสำนักหยินค่อย ๆ เข้มงวดขึ้นมา ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่ง ทันทีที่จริงจังขึ้นมา ก็จะไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้มีโอกาสได้ตอบโต้อีก
“ดูเหมือนเดิมทีแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของพวกมึงวางแผนที่จะฆ่ากูสินะ?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ใช่แล้วอย่างไร? ยังไงสุดท้ายมึงก็เป็นคนที่ต้องตายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้มากหรอก ชีวิตมึงมีค่าเท่ากับหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อน มึงก็ถือว่าคุ้มแก่การตายแล้วล่ะ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น มือไม้ของผู้อาวุโสสำนักหยินก็ไม่ได้หยุดนิ่งเช่นกัน เห็นเพียงเขาใช้มือประสานอิน ลมอำมหิตสีดำหลายลูกผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง ลมอำมหิตสีดำที่ไร้ขอบเขตผนึกเข้าด้วยกัน แล้วกลายเป็นมังกรจู๋หยินย่อขนาดตัวหนึ่ง!
วินาทีนี้ภายใต้การควบคุมของจ้าวปีศาจเสวียนหยิน มังกรจู๋หยินที่แท้จริงกำลังต่อกรกับผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสามแห่งอาณากระบี่อยู่
“โฮกก!”
ในขณะที่คำราม มังกรจู๋หยินที่เกิดจากการรวมตัวกันของลมอำมหิตก็กระโจนสังหารเข้ามา ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสสำนักหยินก็เรียกกระบี่เทพออกมาอีกหนึ่งเล่ม แล้วพุ่งสังหารเข้าไปทางหลัวซิว
ลมอำมหิตสีดำมีพลังฉีกกระชากที่รุนแรงมาก ซึ่งเป็นทำนองเดียวกันกับพลังฉีกชั้นฟ้า ทว่าระดับและความลึกลับของมันกลับด้อยกว่าพลังฉีกชั้นฟ้าไม่น้อยเลย
พลังสังหารปราบปรามของกระบี่เทพอาวุธจักรพรรดิเล่มนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน มันล้อมรอบหลัวซิวแล้วบินขึ้น ๆ ลง ๆ เฉือนสับลงบนตัวเขาจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟที่แตกกระเด็น
ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ หลัวซิวยืนนิ่งอยู่กับที่มาโดยตลอด เขาอาศัยเกราะป้องกันของร่างเนื้อต้านทานพลังโจมตีทั้งหมดของผู้อาวุโสสำนักหยินเอาไว้โดยสิ้นเชิง
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
แววตาของผู้อาวุโสสำนักหยินดูหวาดหวั่น การโจมตีในครั้งนี้ของเขาล้วนเป็นการทดสอบหยั่งเชิง แต่ทว่าจากการที่ทดสอบต่อไปเรื่อย ๆ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าหลัวซิวไม่ได้อาศัยของขลังรักษาชีวิตมาต้านทานพลังโจมตี แต่เป็นการใช้เกราะป้องกันของร่างเนื้ออย่างเดียวเท่านั้น!
และเป็นเพราะยืนยันจุดนี้ได้นี่เอง ถึงทำให้เขายิ่งไม่อยากจะเชื่อว่าเทพมารระดับเก้าคนหนึ่ง สามารถชุบร่างกายที่เทียบเท่าอาวุธจักรพรรดิระดับเก้าออกมาได้เลยหรือ?
ต่อให้เขาจะสามารถตระหนักและฝึกธรรมเวชกาลร้างจนถึงแดนจักรพรรดิเทพ แต่การที่จะชุบร่างเนื้อที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาได้นั้น ไม่เพียงต้องใช้สมุนไพรเพิ่มพลังจำนวนมาก ยังต้องใช้กาลเวลาที่ยาวนานมาสั่งสมและตกตะกอนด้วย
และเท่าที่เขาทราบมา หลัวซิวที่กลับชาติมาเกิดในภพชาตินี้ ใช้เวลาฝึกตนไปแค่สองพันกว่าปีเท่านั้น
“สุนฮู้! เจ้ามัวทำกระไรอยู่!”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะคอกดังลั่นขึ้นมากะทันหัน ซึ่งเสียงดังกล่าวก็มาจากปากจ้าวปีศาจเสวียนหยินนั่นเอง
การจู่โจมของสำนักหยินวิถีปีศาจได้เปรียบเรื่อง‘กะทันหัน’ และทันทีที่ถ่วงเวลาไว้นาน ๆ เจ้าแดนของอาณากระบี่หวูจี๋ก็มีโอกาสเร่งมาให้การสนับสนุนสูงมาก
จ้าวปีศาจเสวียนหยินมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่ไม่นำผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสามคนมาไว้ในสายตา แต่ถ้าเกิดได้ปะทะกับเจ้าแดนอาณากระบี่หวูจี๋ เขาก็หวาดหวั่นเล็กน้อยแล้วล่ะ
เจ้าแดนอาณากระบี่ลงมือน้อยมาก มีการบันทึกแค่ว่าเมื่อห้าสิบล้านกว่าปีก่อน เมื่อนั้นมีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าขั้นสูงคนหนึ่งบุกฆ่าเข้าไปในดินแดนของอาณากระบี่หวูจี๋ จึงยั่วยุให้เจ้าแห่งอาณากระบี่นั่นลงมือด้วยตนเอง
ส่วนเจ้าแห่งอาณากระบี่โจมตีเพียงกระบี่เดียวเท่านั้น คลื่นผลการฝึกตนที่ใช้ก็เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าเช่นกัน ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าขั้นสูงที่ลุกล้ำนั่นก็ถูกโจมตีจนแขนขาดไปข้างหนึ่ง ภายใต้ความหวาดผวาจึงหลบหนีไป
และเริ่มตั้งแต่ศึกการต่อสู้ในครั้งนั้น ชื่อเสียงที่น่าเกรงขามของเจ้าแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ก็เป็นที่ยอมรับในหมู่คน!
อดีตจ้าวปีศาจเสวียนหยินและจ้าวปีศาจเทียนหยางก็เคยทดสอบหยั่งเชิงเช่นกันว่าเจ้าแดนของอาณากระบี่หวูจี๋แข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่ ทว่าอิงจากการอนุมานตามเบาะแสต่าง ๆ เจ้าแห่งอาณากระบี่ก็ยิ่งอยู่ยิ่งลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้
ในมุมมองของจ้าวปีศาจเสวียนหยิน เขารู้ตัวเองดีอยู่ว่าถ้าเกิดสู้กันตัวต่อตัว ตนอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแห่งอาณากระบี่ มีเพียงร่วมมือกับจ้าวปีศาจเทียนหยางถึงจะมีโอกาสชนะ
อิงจากแผนการของจ้าวปีศาจเสวียนหยิน ขอแค่สามารถกำจัดตู๋กูเจี้ยนเฉินที่อยู่ในการข้ามผ่านทัณฑ์และหลัวซิวทิ้ง เช่นนั้นเมื่อผู้ข้ามผ่านทัณฑ์ตาย ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธก็จะสลายหายไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็สามารถปลดปล่อยมหาอิทธิฤทธิ์ผนึกฟ้าดินผืนนี้ ทำให้ตู๋กูเฉินผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสามคนก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ด้วย
และถ้าเกิดทัณฑ์สายฟ้าพิโรธไม่สลายหายไป แล้วเขาใช้มหาอิทธิฤทธิ์ผนึกฟ้าดินแห่งนี้ ก็จะถูกมองว่าเป็นผู้ขัดขวางทัณฑ์สายฟ้าพิโรธจุติ ซึ่งจะถูกทัณฑ์สายฟ้าพิโรธโจมตี!
เดิมทีทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผนการของเขา แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าฝั่งที่ลงมือจัดการตู๋กูเจี้ยนเฉินกลับไม่มีการก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย ส่วนผู้ที่เข้ามาขัดขวางแผนการของเขาก็เป็นหลัวซิวที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นมดตัวจ้อยมาโดยตลอด!
“เวิ่ง! ……”
ทันใดนั้นเอง ฟ้าดินที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นก็ฟื้นฟูกลับมาสงบเหมือนเคย เมฆทัณฑ์สีครึ้มค่อย ๆ สลายหายไป แสงทองที่แวววาวจับลำหนึ่งจุติลงมาจากฟ้า สาดส่องลงพื้น ปกคลุมร่างกายของตู๋กูเจี้ยนเฉินเอาไว้
แสงทองดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากปณิธานของเทียนเต้าดั้งเดิม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าได้รับการยอมรับจากเทียนเต้าแล้ว เป็นสัญลักษณ์ว่าในฟ้าดินผืนนี้มีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าคนใหม่บังเกิดขึ้นมาแล้ว!
หลังศีรษะของตู๋กูเจี้ยนเฉินมีกงล้อเทพวงที่แปดผนึกรวมออกมา พลังออร่าที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมาจากตัวเขา ฟ้าดินอนัตตาสั่นสะเทือน
สีหน้าของจ้าวปีศาจเสวียนหยินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขารู้อยู่ว่าแผนการของตัวเองพังทลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ในเมื่อตู๋กูเจี้ยนเฉินบรรลุสำเร็จแล้วละก็ เช่นนั้นต่อให้เขาปลดปล่อยมหาอิทธิฤทธิ์ผนึกฟ้าดินก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะหากตู๋กูเจี้ยนเฉินร่วมมือกับผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกสามคนของอาณากระบี่ อย่างนั้นเขาก็ต้องต่อกรกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าสี่คนแล้ว!
แม้จ้าวปีศาจเสวียนหยินจะรู้ตัวเองดีอยู่ว่าตนสามารถต่อกรกับศัตรูสี่คนพร้อมกันได้ ทว่าหากเวลาล่วงเลยไปนาน ทันทีที่เจ้าแห่งอาณากระบี่เร่งเดินทางมา สถานการณ์ก็จะส่งผลร้ายต่อเขาทันที