มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2859 เตาอลวนหวูจี๋
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2859
“ชั้นที่สิบเก้า?”
ตู๋กูได้ยินคำถามนี้ก็อดไม่ได้ที่ชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ “หากว่าฝ่าถึงชั้นที่สิบเก้า จะได้รับรางวัลเป็นอาวุธเทพประมุขเต๋า แต่ด้วยผลการฝึกตนของศิษย์น้องเล็ก ก็จะได้เพียงรางวัลอาวุธเทพมหาศักดิ์ระดับสุดยอด”
“แต่ถึงแม้จะฝ่าได้ถึงชั้นที่สิบห้า ก็ยังสามารถได้รับรางวัลเป็นอาวุธเทพมหาศักดิ์”
ระหว่างที่พูด ตู๋กูก็ยกมือขึ้นจับกลางอากาศ ลำแสงแสงเทวหลอมรวมอยู่ท่ามกลางฝ่ามือค่อย ๆ ยืดยาวออก กลายเป็นกระบี่เทพสีทองเล่มหนึ่ง และพูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าดูสิ กระบี่เทพเล่มนี้ของศิษย์พี่ ก็ได้มาจากการฝ่าถึงชั้นที่สิบของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำทรัพยากรบางอย่างออกมาจากท่านอาจารย์ แล้วกลั่นมันออกมา”
ได้ยินดังนั้น ในใจของหลัวซิวก็แอบยิ้ม สัมผัสได้ว่าศิษย์พี่ตู๋กูผู้นี้เพียงคิดว่าตนถามไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดว่าตนจะฝ่าถึงชั้นที่สิบเก้าได้จริง ๆ
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะบอกเรื่องที่ตนฝ่าถึงชั้นที่สิบเก้าแล้วจริง ๆ นั้น สีหน้าของตู๋กูก็ชะงักไป ปรากฏน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและเคร่งขรึมดังวนอยู่ที่ข้างหูของเขา
น้ำเสียงที่เคร่งขรึมนี้ มีที่มาจากมกุฎเต๋าหวูจี๋
“ศิษย์น้อง เมื่อครู่อาจารย์ส่งเสียงมาบอกข้า เจ้าฝ่าถึงชั้นที่สิบเก้าแล้วจริง ๆ หรือนี่?”
ตู๋กูหลังจากได้สติ ก็เผลอทำตาโตอย่างอดไม่ได้ มองหน้าหลัวซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ในขณะนี้หลัวซิวถึงแม้จะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เกือบหมดแล้ว แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ยังคงเสียหาย และดูอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาอย่างมาก เพียงแต่เด็กคนหนึ่งที่สภาพน่าเวทนาเช่นนี้ กลับฝ่าฟันไปจนประสบผลสำเร็จจนเขาไม่อาจคาดคิดได้!
“ก็เพราะว่าข้ามีเคล็ดเซียนแปรเก้าจึงสามารถฝ่าถึงชั้นที่สิบเก้าได้” เมื่อเห็นศิษย์พี่ของตนแสดงอาการตกใจเช่นนี้ กลับทำให้หลัวซิวเกิดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา
“ไม่ ๆ ๆ ศิษย์น้องพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ข้าก็ฝึกตนในเคล็ดเซียนแปรเก้า อีกทั้งยังฝึกตนถึงแดนขั้นที่หกแล้วด้วย แต่ก็ยังต้องหยุดอยู่ที่ชั้นที่สิบ……”
ตู๋กูส่ายหน้าไปมา ในเวลานี้เขาก็พลันเข้าใจได้ในทันที สุดท้ายแล้วเขาก็ดูถูกศิษย์น้องที่เป็นไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิดคนนี้เสียแล้ว ความสามารถและความฉลาดของเขาเกินกว่าสิ่งที่ตนคาดคิด ไม่แปลกใจที่ท่านอาจารย์เห็นคุณค่าของเขาเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ในในชาติก่อนอาจารย์ได้รับเขาเป็นศิษย์ แต่ยังรอคอยในยุคแห่งความโกลาหลของเวลาที่แสนยาวนาน รอคอยในช่วงเวลาที่ศิษย์น้องกลับมาเกิดใหม่ และรับเขาเป็นศิษย์อีกครั้ง!
“น้องศิษย์ ตามข้ามาเถอะ อาจารย์ได้บอกไปไว้สักครู่ เพราะว่าเจ้าได้เข้าถึงชั้นที่สิบเก้าแล้ว ตามกฎเจ้าจะได้รับรางวัลที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถควบคุมอาวุธเทพประมุขเต๋าได้ด้วยเพราะผลการฝึกตนของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงต้องเลือกอาวุธเทพมหาศักดิ์แทน”
เขาเดินตามตู๋กูไป หลัวซิวมาถึงที่หนึ่งในโลกาอนัตตาอู๋จี๋ และเข้าสู่พระราชวังแห่งหนึ่ง
ภายในพระราชวังนี้เป็นที่ว่างเปล่ามาก มีเพียงชั้นวางหนังสือแถวหนึ่งเท่านั้น และยังมีแท่นบูชาอยู่อีกแห่งหนึ่ง ไม่เหมือนที่หลัวซิวจินตนาการไว้ว่าสถานนี้จะมีสมบัตินับไม่ถ้วนนี้ และจะต้องมีแสงสว่างที่ส่องประกายออกมาทั่วทั้งสี่ทิศ
“นี่คือคลังเก็บสมบัติของท่านอาจารย์ ในเมื่อเจ้าผ่านถึงชั้นที่สิบเก้าแล้ว เจ้าก็จะสามารถเลือกสมบัติที่เจ้าต้องตาต้องใจจากหนังสือเหล่านี้ได้”
ตู๋กูเดินไปหน้าชั้นวางหนังสือและเอาหนังสือที่เปี่ยมไปด้วยสีเหลืองด้วยความเก่าแก่ลงมา แล้วนำมันส่งให้หลัวซิว
หนังสือเล่มนี้ถูกกลั่นจากวัสดุพิเศษที่สามารถรักษาได้อย่างเป็นเวลานานโดยไม่เสื่อมเสียหรือเสื่อมสลายจากการผ่านพ้นเวลาอันยาวนาน
หลัวซิวถือหนังสือในมือและเปิดมันขึ้น ทันทีที่เขาเปิดและมองเข้าไปในหนังสือ เขาจ้องมันตาโตอย่างตกตะลึง
เพราะหลังจากที่เขาเปิดมองไปในหนังสือที่ดูเหมือนไม่น่าสนใจนี้ เขาพบว่ามันบันทึกไว้เกี่ยวกับอาวุธเทพมหาศักดิ์มากกว่าร้อยชิ้น!
“นี่มันระดับชั้นยอดทั้งนั้นเลย?” หลัวซิวอ้าปากค้างตาโต รู้สึกราวกับกำลังอยู่ในความฝัน
เมื่อตู๋กูที่อยู่ข้าง ๆ เห็นสีหน้าของหลัวซิว เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “อาจารย์อยู่ใดระดับใดกันเล่า อาวุธเทพมหาศักดิ์ทั้งหลายที่ท่านได้เก็บสะสมเอาไว้นั้น ทุกชิ้นย่อมเป็นที่สุดในบรรดาของระดับสูงทั้งนั้น”
“อีกอย่างเจ้าฝ่าถึงชั้นที่สิบเก้าแล้ว ความสำเร็จนี้เพียงพอที่จะช่วยให้เจ้าเลือกสมบัติระดับสูงที่เหมาะสมกับคุณ อาวุธเทพมหาศักดิ์ที่คุณเห็นในหนังสือเหล่านี้ ถ้านำมาวางไว้ในสามโลกก็เป็นอาวุธเทพมหาศักดิ์ระดับสูงสุดที่มีอยู่”
หลัวซิวได้ฟังเหล่านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารัว ๆ อย่างเห็นด้วย เพราะที่ตู๋กูพูดนั้นจริงแท้แน่นอน อาวุธเทพมหาศักดิ์ที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านี้ เรียกได้ว่าแต่ละชิ้นก็ยิ่งทวีคูณความแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อย ๆ!
อย่างเช่นหลัวซิวเปิดหน้าหนังสือและพบของขลังชิ้นแรกที่ปรากฏอยู่ในหนังสือนั้น ของขลังชิ้นนี้นามว่าหอคอยเบญจศุภร เป็นถึงอาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอด ด้านในมีจักรวาลปริภูมิออยู่ หากผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งเข้าไปในนั้นก็ไม่มีทางที่จะหนีออกมาได้เลย
ไม่เพียงแค่นั้น ของขลังนี้ยังเชี่ยวชาญอย่างมากในการป้องกัน ด้วยผลการฝึกตนในปัจจุบันของเขา หากเขาบูชา เขาจะสามารถยืนหยัดได้แม้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเทพขั้นเก้าหลายคนที่ล้อมโจมตีโดยไม่มีทางแพ้พ่าย
หอคอยเบญจศุภรดีมากแข็งแกร่งมาก แต่หลัวซิวไม่ได้ตั้งใจเลือกสมบัตินี้ และเปิดหนังสือเพื่อดูสมบัติอื่นต่อไป
“สม…… สมบัติชิ้นนี้……”
รูม่านตาของหลัวซิวขยายออกไม่รู้กี่เท่าในชั่วพริบตา แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็สั่นสะท้าน
กระบี่เก้าวังมหาวาลไม่ใช่ดาบเพียงเล่มเดียว แต่เป็นชุดกระบี่เทพทั้งเก้าเล่ม กระบี่เทพเก้าเล่มสามารถสร้างเป็นเขาค่ายกลเก้าวัง ทั้งในการโจมตีและป้องกันเชื่อมต่อกันได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อใดก็ตามที่สามารถกักขังศัตรูไว้ในเขาค่ายกระบี่ได้ กระบี่เทพเก้าเล่มก็จะเริ่มโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ที่น่ากลัวกว่าคือ กระบี่เทพเก้าเล่มที่เป็นส่วนประกอบของค่ายกระบี่เก้าวัง แต่ละเล่มล้วนเป็นอาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอดที่มีพลังที่แข็งแกร่งในตัว นอกจากนี้ยังมีการใช้วิธีการและรูปแบบของการจัดระบบที่ลึกซึ้งอีกด้วย หากผู้ที่มีอำนาจและความแข็งแกร่งถือสมบัติเช่นนี้ ในสถานการณ์ที่แดนเทียบเท่ากัน ใครจะกล้ามาท้าทายได้?
“เหย ๆ ท่ามกลางคลังสมบัติของอาจารย์ สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือสมบัติชุดนี้แล้ว”
ตู๋กูเข้ามาอย่างใกล้ เมื่อมองเห็นกระบี่เก้าวังมหาวาลที่ถูกบันทึกเอาไว้ ก็พูดด้วยแสงประกายระยิบระยับในสายตา
คลังสมบัติของมกุฎเต๋าหวูจี๋มีอยู่หลายชิ้น แม้แต่ตู๋กูเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋าก็ยังค่อนข้างอิ่มสุขในยามที่ได้มองไปที่มัน แต่นั่นก็เป็นเพราะมกุฎเต๋าจะไม่ให้สมบัติให้กับศิษย์เหล่านั้นโดยง่าย และความสามารถของตู๋กูก็อยู่ในระดับปานกลาง ดังนั้นจึงไม่สามารถได้รับสมบัติระดับดังกล่าวได้
อย่างเช่นอาวุธเทพมหาศักดิ์ชีวีของตู๋กู ก็เป็นเพียงแค่อาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นสูงชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“ผู้สูงส่งอัสนีวายุเกาทัณฑ์มนตรา? อาวุธเทพชีวีที่สูงส่งอัสนีวายุยุคไท่ชูผู้ทิ้งเอาไว้ เกาทัณฑ์มนตรา แต่กลับสามารถหลอมรวมพลังแห่งเกณฑ์ทวยเทพอัสนีวายุเป็นศรเทพได้ สังหารศัตรูได้ไกลกว่าหลายร้อยล้านลี้!”
……
เพราะหลัวซิวเข้าถึงชั้นที่สิบเก้า จึงได้รับสิทธิ์ในการเลือกสมบัติอาวุธเทพมหาศักดิ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มกุฎเต๋าหวูจี๋เป็นหนึ่งในบุคคลที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณที่สุด การสะสมของเขาในช่วงเวลาที่ยาวนานลืมวันลืมคืนนั้นจึงถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง!
หลังจากที่หลัวซิวเห็นสมบัติแต่ละชิ้นบนหนังสือ ก็ทำให้เขาต้องลังเลเป็นอย่างมาก สมบัติเหล่านี้บางชิ้นมีอาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอดสามารถเพิ่มพลังและความสามารถของเขาได้ เรียกได้ว่าเกินกว่าสิ่งที่ศิลาเทวชิงเทียนและฮู้เทวชิงเทียนสามารถทำได้
เพียงแค่ตอนนี้สมบัติชิงเทียนทั้งสองชิ้นได้ถูกหลัวซิวนำไปกดไว้ที่ภูเขาสยบปีศาจเป็นศูนย์กลางของฐานค่ายแล้ว เขาต้องการสมบัติที่แข็งแกร่งเพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการอยู่รอดและรับมืออุปสรรคจริง ๆ
“ศิษย์น้อง เจ้าต้องเลือกให้ดีดีล่ะ ศิษย์พี่ตอนนี้น้ำลายจะไหลแล้วเนี่ย” ตู๋กูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดด้วยสายตาเป็นประกาย
ถึงแม้ว่าตู๋กูจะเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋า แต่เขาไม่ได้รับการสืบทอดอย่างเต็มรูปแบบของมกุฎเต๋า แต่เน้นการฝึกตนในวิถีแห่งกระบี่
ก็เพราะตู๋กูได้ฝึกตนในธรรมเวชแห่งกระบี่ ดังนั้นเมื่อเขามองเห็นกระบี่เทพผู้สูงส่งชั้นยอดในหนังสือ น้ำลายก็แทบจะไหลหลากเสมือนน้ำป่าที่ไหลท่วมภูเขา
หลัวซิวเลื่อนหน้าหนังสือทีละหน้า ทั้งหนังสือนี้มีทั้งหมด 367 หน้า บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นยอด 367 ชิ้น
อาวุธเทพมหาศักดิ์เหล่านี้ บางชิ้นเป็นผลงานการกลั่นของมกุฎเต๋าหวูจี๋เอง บางชิ้นก็เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งในยุคต่าง ๆ ที่ผ่านมาได้สร้างขึ้น
สมบัติเหล่านี้มกุฎเต๋าหวูจี๋จะมอบเป็นรางวัลให้ตามความสามารถของศิษย์ในสำนักของตนเอง
หลังจากอ่านเสร็จแล้ว ในใจของหลัวซิวก็ตื่นเต้นอย่างมาก ที่จริงมีสมบัติหลายชิ้นที่เขาอยากจะเลือก แต่ตามกฎแล้วเขาสามารถเลือกได้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น หากต้องการเลือกเพิ่ม ก็จำต้องฝ่าชั้นที่สิบเก้าไปให้ได้ในครั้งต่อไป
อย่าไรก็ดี การผ่านชั้นที่สิบเก้ามันจะง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? การฝ่าถึงชั้นนี้หมายถึงว่าต้องมีศักยภาพที่ใกล้เคียงกับมกุฎเต๋าแล้ว หากต้องการฝ่าผ่านให้ได้ก็ต้องมีศักยภาพที่เกินกว่ามกุฎเต๋านั่นเอง!
“หากเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอด สมบัติที่ข้าต้องเลือกจะต้องเป็นสมบัติที่สามารถช่วยรักษาชีวิตได้!”
หลังจากที่หลัวซิววางหนังสือลงแล้ว เขาเริ่มวิเคราะห์อย่างละเอียดในใจว่า “ด้วยร่างยุทธ์ร่างเนื้อของข้าในเวลานี้สามารถต้านทานการโจมตีของจักรพรรดิเทพขั้นเก้าได้ แต่ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า หรือผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง เช่นนั้นการป้องกันร่างเนื้อของข้าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่าเท่านั้น!”
“แต่เพียงแค่ป้องกันยังไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถทนทานการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าขึ้นไปได้ แต่ผลการฝึกตนของข้าไม่สามารถทนทานได้นานถึงเพียงนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผลการฝึกตนของข้าถูกบดขยี้จนสิ้น ข้าก็จะกลายเป็นเพียงหมูในอวนเท่านั้น!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชุดสมบัติของค่ายกลแบบสมบูรณ์นั้นจึงเหมาะสมกับข้าที่สุด!”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลัวซิวก็ได้ตัดสินใจในใจแล้ว เขามองตู๋กูที่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าเลือกเตาอลวนหวูจี๋!”
เตาอลวนหวูจี๋ เป็นของขลังชิ้นหนึ่งที่มกุฎเต๋าหวูจี๋ลงมือกลั่นด้วยตนเอง ตามการบันทึกในสมุดแล้ว เดิมทีมกุฎเต๋าหวูจี๋ตั้งใจจะกลั่นเป็นอัญมณีแห่งประมุขเต๋าชิ้นหนึ่ง แต่เพราะว่าเกิดความผิดผลาดขึ้นระหว่างกระบวนการกลั่น ทำให้การกลั่นล้มเหลว ดังนั้นระดับของของขลังชิ้นนี้ จึงเป็นเพียงอาวุธเทพมหาศักดิ์เท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เตรียมจะกลั่นออกมาเป็นอัญมณีแห่งประมุขเต๋า ดังนั้นระดับของอาวุธเทพมหาศักดิ์ชิ้นนี้ จึงอยู่ในหมวดหมู่ชั้นยอด หรือเรียกได้ว่าท่ามกลางของชั้นยอด มันคือสิ่งที่สุดยอดที่สุด
นี่คือชุดของขลังที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งมีความลึกซึ้งของวิถีค่ายอยู่ในนั้น ถึงแม้จะเรียกว่าเตาอลวนหวูจี๋ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเตาเทพที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ หลายๆ ชิ้น ชิ้นส่วนเหล่านี้รวมกันก็จะกลายเป็นเตาเทพ ซึ่งเตาเทพสามารถประทุแสงเทวะอลวนหวูจี๋เพื่อสั่งหารศัตรู หรือหนีเข้าไปในเตา อาศัยการคุ้มกันของเตาเทพเพื่อใช้รักษาชีวิตได้
แสงเทวะอลวนหวูจี๋ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยเลย ต่อให้ผลการฝึกตนของหลัวซิวเป็นแค่เพียงเทพมารขั้นเก้าช่วงปลาย เมื่อเขากระตุ้นแสงเทวะอลวนหวูจี๋ของเตาเทพเตานี้ก็สามารถมีพลังอำนาจเทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพขั้นเก้า
“ศิษย์น้องดวงตาแหลมคมไม่เบา เตาอลวนหวูจี๋นี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในที่สุดท่ามกลางสมบัติมากมายเหล่านี้เลยทีเดียว”
ตู๋กูยิ้มพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นก็หยิบตำราขึ้นมาและเดินไปยังข้าง ๆ แท่นบูชา
“เหวิง!”
แสงสกสว่างก็พลันปรากฏขึ้น ครอบไปทั่วทั้งแท่นบูชา ทันใดนั้น เตาเล็กสีเขียวก็ลอยพ้นหมอกแสงนั้นออกมา และลอยเคว้งอยู่ตรงหน้าหลัวซิว
ในขณะเดียวกัน หน้ากระดาษที่บันทึกเตาอลวนหวูจี๋เอาไว้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นฉากนี้หลัวซิวจึงได้เข้าใจว่าที่เรียกว่าวังซ่อนของขลังนี้ ที่แท้ก็เป็นเพียงที่เลือกสมบัติเท่านั้น หลังจากเลือกสมบัติแล้ว สมบัติจะถูกส่งผ่านทางแท่นบูชาให้ยังที่นี่
“ยืนดีกับศิษย์น้องที่ได้รับสมบัติ พวกเราไปกันเถอะ” ตู๋กูพูดพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากออกจากวังซ่อนของขลังไปพร้อมกับตู๋กู หลัวซิวก็กล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ศิษย์พี่ พาข้าไปพบอาจารย์ได้หรือไม่? ”
“เจ้าอยากพบอาจารย์หรือ?” ตู๋กูได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จะสามารถไปพบอาจารย์ได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ข้าหรือเจ้าจะสามารถตัดสินใจได้ โดยปกตินอกเสียจากอาจารย์จะเรียกเข้าพบแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์พี่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตัวของท่านอาจารย์อยู่ที่ใด”
“ยิ่งไปกว่านั้นการบังเกิดของมหาทัณฑ์ในครั้งนี้ อาจารย์เองก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับการมาของมหาทัณฑ์ด้วย หากไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนท่านเลยจะเป็นการดีกว่า”
“ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถพบท่านอาจารย์ได้ เช่นนั้นศิษย์พี่ ท่านสามารถคลายความสงสัยในในของข้าได้หรือไม่” ทันใดนั้นหลัวซิวก็พูดออกมาเช่นนี้
“หือ? ศิษย์น้องมีข้อสงสัยอันใด?” ตู๋กูถามด้วยความประหลาดใจ