มู่หนานจือ - บทที่ 413 ทางน้ำ
ทั้งหัวใจของเจียงเซี่ยนต่างตื่นเต้นขึ้นมา นางลากไป๋ซู่ไปเลือกและหยิบ จัดเสื้อผ้ากับเครื่องประดับตลอดทั้งบ่าย แม้ตอนเย็นหลี่จี้จะกลับจวนอย่างดื่มจนหน้าแดง นางก็เพียงแค่ พบเขา และไม่ได้รั้งเขาไว้คุยเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สว่าง เจียงเซี่ยนก็ตื่นแล้ว นางแต่งตัว และรับประทานอาหารเช้าแล้วก็ไปที่สำนักไผ่ม่วง
ไป๋ซู่อยู่เป็นเพื่อนนาง
ไทฮองไทเฮาจะแก่ขึ้นหรือไม่?
จะเสียใจไม่หยุดเพราะจู่ๆ นางก็แต่งงานไปอยู่ที่ไกลหรือไม่?
ได้กินข้าวและสวมเสื้อผ้าอย่างดีหรือไม่?
รู้สึกเหงาและเบื่อหรือไม่?
เจียงเซี่ยนมีเรื่องอยากถามไทฮองไทเฮามากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรถามเรื่องไหนก่อน แล้วค่อยถามเรื่องไหน
นางจับมือของไป๋ซู่ที่ไปเป็นเพื่อนนางแน่นมาก
ไป๋ซู่ตบแขนของนางเบาๆ และปลอบใจนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! ไทฮองไทเฮาสบายดี ข้าจะเข้าวังไปคารวะไทฮองไทเฮาทุกเดือน และเล่นไพ่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮา หมอ อหลวงเถียนก็ไปตรวจชีพจรปกติทุกสามวันเช่นกัน หลายวันก่อนไทฮองไทเฮายังเสวยหมูสามชั้นด้วย พระพลานามัยแข็งแรง! เจ้าไม่ต้องกังวล ในวังเหมือนกับตอนที่เจ้าจากไป”
ทว่าตามความทรงจำในชาติก่อนของเจียงเซี่ยน หลังจากนางอายุครบสิบห้าปีเต็มสามวัน ไทฮองไทเฮาก็เสียชีวิต
นางขยับตัวอย่างไม่สบายใจ และฝืนยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็นไร แค่ไม่ได้เจอเสด็จยายนานมาก จึงคิดถึงมาก!”
นึกถึงตอนนั้นที่ไป๋ซู่เพิ่งเข้าวังก็คิดถึงบิดามารดามากเช่นกัน
นางสามารถเข้าใจความรู้สึกของเจียงเซี่ยนได้ จึงคอยปลอบใจเจียงเซี่ยนตลอด
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น อุณหภูมิของรถม้าสูงขึ้น สำนักไผ่ม่วงก็ถึงแล้วเช่นกัน
สำนักไผ่ม่วงเป็นสาขาของวัดวั่นโซ่ว พอเห็นชื่อก็คิดโยงไปถึงความหมายแฝงของมัน ปลูกไผ่เต็ม
ป่าไผ่ที่ลึกและเงียบเจริญงอกงามดี ลำต้นไผ่เขียวขจีมากมาย ทิวทัศน์งดงามมาก
ตอนที่พวกนางไปถึง รถม้าของไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยยังไม่ถึง เจียงลวี่พาผู้ติดตามเจ็ดแปดคนมาดูแลเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ที่สวมหมวกม่านตาข่ายให้ดื่มชาในสำนักไผ่ม่วง
เจียงเซี่ยนบิดผ้าเช็ดหน้าไม่หยุด และไม่รู้รสชาติของชาอย่างสิ้นเชิง
เจียงลวี่เห็นแล้วตลก จึงเอ่ยว่า “ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้เช่นกัน ดูสิว่าต่อไปยังจะหัวเราะเยาะข้าหรือไม่!”
นั่นน่าจะเป็นเรื่องตอนเด็กกระมัง?
เจียงเซี่ยนลืมไปตั้งนานแล้ว
นางเม้มปากยิ้ม แต่ยังคงขมวดคิ้วแน่นเล็กน้อย
เจียงลวี่จำเป็นต้องยกชามาให้นางด้วยตนเอง และเอ่ยว่า “ชาต้าหงเผาที่เจ้าชอบที่สุด ดื่มสักสองสามคำสงบสติอารมณ์หน่อย อย่าเจอไทฮองไทเฮาแล้ว นางไม่ได้เป็นอะไร เจ้าก็ร้องไห ห้ออกมาก่อนแล้ว เวลานี้ไทฮองไทเฮาอายุมากแล้ว เสียใจไม่ได้ เจ้าต้องควบคุมอารมณ์หน่อย”
เจียงเซี่ยนพยักหน้าติดกันหลายครั้ง
ทว่าตอนที่เรือข้ามฟากลำเล็กส่งนางกับไป๋ซู่ขึ้นเรือของทางการ นางคลุมหน้า และก้มหน้าเดินเข้าห้องโดยสารบนเรืออย่างรวดเร็ว พอเห็นเบาะรองนั่งสีเหลืองสดใสที่คุ้นเคย กลับอ อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเต็มเบ้า จนน้ำตาเกือบจะร่วงลงมา เพียงแต่น้ำตาของนางไม่ร่วงลงมา ไทฮองไทเฮาเห็นหลานสาวที่ตนเองประคบประหงมจนโตเวลานี้อยากเจอนางยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที จนทนไม่ได้ และเข้ามาหาเจียงเซี่ยนโดยมีเหล่านางในล้อมอย่างแน่นหนา นางกางแขนทั้งสองข้างพลางเรียกว่า “เด็กดีของข้า” และน้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างต ต่อเนื่อง
“เสด็จยาย!” เจียงเซี่ยนกระโจนเข้าใส่เหมือนลูกนกนางแอ่นเข้าสู่อ้อมกอด
ไทฮองไทเฮากอดหลานสาวที่ตนเองรักที่สุด
“เป่าหนิงของข้า เป่าหนิงของข้า!” ไทฮองไทเฮาน้ำตาร่วงหนักกว่าเดิม “ยังรู้จักมาเยี่ยมยาย…กลับมาก็ดี กลับมาก็ดี!”
น้ำตาของนางร่วงลงบนตัวเจียงเซี่ยน
ปลายจมูกของเจียงเซี่ยนที่ซบไหล่ของไทฮองไทเฮาเต็มไปด้วยอำพันทะเลที่ติดตัวไทฮองไทเฮาเพราะไหว้พระมานาน กลิ่นล้ำลึก เจือกลิ่นฉุนจนแสบจมูกเล็กน้อย เหม็น ทว่ากลับทำให้นา างรู้สึกอบอุ่นและสบายใจเป็นเท่าตัวเหมือนกลับไปสมัยก่อน
“เสด็จยาย!” นางพึมพำว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของหม่อมฉัน! หม่อมฉันไม่ควรแต่งงานไปอยู่ไกลขนาดนั้น ทำให้เสด็จยายอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีลูก ไม่มีคนรุ่นหลังปรนนิบัติสักคน…”
“เด็กโง่!” ไทฮองไทเฮาลูบผมของเจียงเซี่ยนเป็นระยะๆ และเอ่ยอย่างปลื้มใจว่า “ขอเพียงเจ้าใช้ชีวิตสุขสบาย ยายก็มีความสุข จะมาเยี่ยมข้าหรือไม่สำคัญตรงไหน! ถึงอย่างไรข้าก็ต้อง งไปก่อนเจ้า ข้าตายแล้ว เจ้าก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าใช้ชีวิตกับเจ้าเด็กตระกูลหลี่ให้ดี มีเหลนชายเหลนสาวให้ข้าสักกอง ข้าก็มีความสุข เท่ากับกตัญญูต่อข้าแล ล้ว!”
เจียงเซี่ยนเสียใจมากขึ้นแล้ว
ชาติก่อน นางไม่สามารถมัดใจจ้าวอี้ได้ ตอนที่ไทฮองไทเฮาจากไป ไม่รู้ว่ารู้หรือไม่?
เจียงเซี่ยนออกแรงกอดไทฮองไทเฮาแน่น
เหมือนตอนเด็กเวลาที่นางอารมณ์ไม่ดี
ไทฮองไทเฮาหัวเราะ แล้วก็นึกถึงตอนเจียงเซี่ยนเด็กๆ เช่นกัน ในที่สุดก็รู้สึกว่าเป่าหนิงน้อยของนางกลับมาอีกแล้ว
เจียงเซี่ยนกอดอยู่ครู่หนึ่ง และปล่อยไทฮองไทเฮาอย่างลำบากใจ
พวกเมิ่งฟางหลิงรีบยกน้ำเข้ามาดูแลให้ทั้งสองคนล้างหน้า
ทุกคนถึงจะนั่งลงตามลำดับความสำคัญ
ไทฮองไท่เฟยนั่งอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮา นางยิ้มตาหยีพลางมองเจียงเซี่ยน และเอ่ยกับไทฮองไทเฮาว่า “เป่าหนิงของพวกเราไปซานซีเพียงแค่สองสามเดือน หม่อมฉันเหมือนไม่ได้เห็นมาค ครึ่งชีวิต ดูรูปร่างสิ เหมือนจะสูงขึ้นอีกนิด และอ้วนขึ้นหน่อยแล้ว แบบนี้ดี ลูกเขยของพวกเรารูปร่างสูง ยืนด้วยกันถึงจะดูดี”
ไทฮองไทเฮาได้ยินไทฮองไท่เฟยเอ่ยถึงหลี่เชียน ก็ทำเสียงไม่พอใจเบาๆ และเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าเด็กนั่นไม่กลับมาพร้อมเจ้า?”
เจียงเซี่ยนรีบเอ่ยว่า “เขาไปฝึกทหารนอกด่านแล้ว หม่อมฉันคิดถึงเสด็จยายพอดี จึงแอบกลับมาเพคะ”
ไทฮองไทเฮาได้ยินแล้วก็ไม่ค่อยพอใจ จึงเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าเด็กตระกูลหลี่นั่นไม่อยู่ เจ้าถึงนึกได้ว่าจะกลับมาเยี่ยมข้าหรือ!”
เจียงเซี่ยนจำเป็นต้องมุดเข้าไปในอ้อมแขนของไทฮองไทเฮา และเอ่ยว่า “ตอนที่หม่อมฉันเพิ่งแต่งงานก็อยากกลับมาเยี่ยมเสด็จยายแล้ว แต่พวกเขาบอกว่า ต้องอยู่ที่ตระกูลหลี่ครบ สามเดือนถึงจะบันทึกชื่อลงในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูลได้ พิธีแต่งงานถึงจะถือว่าเสร็จสิ้น จึงทำได้เพียงรอ นี่พอครบสามเดือนหม่อมฉันก็มาเยี่ยมเสด็จยายเลยไม่ใช่หรือ แถมยังแต่งตัวเป็นภรรยาของขุนนางเล็กๆ เดินทางอย่างลำบากตลอดทาง ไม่กล้าพักแม้แต่โรงเตี๊ยมที่ดีหน่อย เสด็จยายไม่สงสารหม่อมฉัน ยังตรัสว่าหม่อมฉันไม่จริงใจต่อเสด็จยายอีก ห หม่อมฉันเสียใจมาก!”
ตอนเด็ก เจียงเซี่ยนปากหวาน มักจะหลอกล่อไทฮองไทเฮาแบบนี้ ตอนหลังค่อยๆ โตขึ้น รู้จักอายแล้ว จึงไม่พูด
ทว่าคนแก่กลับชอบฟังคำพูดหวานหูแบบนี้ที่สุดเหมือนเด็ก
ไทฮองไทเฮารู้สึกดีใจมากจนสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที และกอดนางไว้ในอ้อมแขนพลางเรียกอยู่นานมากว่า “เด็กดีของข้า” แล้วก็ให้คนยกขนมกับผลไม้ที่นางชอบกินที่สุดมา และ ะปอกส้มจีนให้เจียงเซี่ยนเองกับมือ ถึงจะถือว่าเสร็จสิ้น
คนที่อยู่ในห้องต่างหัวเราะ แลดูอ่อนโยนและน่าเข้าใกล้
ไทฮองไทเฮาจึงถามถึงค่าครองชีพที่ตระกูลหลี่ของเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนก็เล่าให้ไทฮองไทเฮาฟังทีละเรื่องว่าหลี่ฉางชิงให้เงินนางใช้อย่างไร ฮูหยินเหอเชื่อใจนางมากอย่างไร หลี่เชียนให้เกียรตินางอย่างไร และพวกน้องชายกับน้องสาวของ งหลี่เชียนสนิทสนมกับนางอย่างไร
ไทฮองไทเฮาฟังแล้วมีเหตุผลและมีหลักฐาน แถมยังสมเหตุสมผลทุกอย่าง จึงวางใจ และถามถึงเรื่องที่สอง “เจ้าจะไปหาเฉาไทเฮา? มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถให้ข้าหรือลุงใหญ่ของเจ้าไปจัดการ ได้หรือ?”
ในคำพูดยังไม่ค่อยพอใจนัก
เจียงเซี่ยนจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งที่เคยเอ่ยกับท่านลุงใหญ่กับไทฮองไทเฮาอีกรอบ สีหน้าของไทฮองไทเฮาถึงจะคลายความโกรธลงเล็กน้อย และดีขึ้นมาก แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี เจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนข้าที่ภูเขาวั่นโซ่วอีกสองสามวันเถอะ ไว้ได้ข่าวที่แน่นอนจากคนสกุลเฉาแล้วค่อยกลับไปก็ไม่สายเช่นกัน”
จ้าวอี้อยากฉวยโอกาสที่ครั้งนี้ตั้งฮองเฮาจัดการขุนนาง คิดดูแล้วคงไม่ว่างมาสนใจเรื่องที่ภูเขาวั่นโซ่ว
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางขานรับ
ไทฮองไทเฮาก็ดีใจมาก และยิ้มพลางปอกส้มจีนให้นางเองกับมืออีก