มู่หนานจือ - บทที่ 417 สำเร็จ
ถึงอย่างไรตระกูลหลี่ก็ก่อร่างสร้างตัวเพราะเฉาไทเฮา
ต่อให้ทำจนระดับสูงอย่างหลี่เชียนในชาติก่อน ก็จะถูกมองเป็นพวกของเฉาไทเฮา และคนของตระกูลเฉาอยู่ดี
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ใช้ทรัพยากรของเฉาไทเฮาให้เป็นประโยชน์?
ดังนั้น…หากเป็นคนอื่นถามคำถามนี้กับเจียงเซี่ยน เจียงเซี่ยนจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หรือปฏิเสธที่จะตอบอย่างเด็ดขาด แต่เวลานี้นางไม่เพียงแต่ต้องตอบ ทว่ายังต้องตอบจนทำให้เฉาไทเฮาเชื่อด้วย
เชื่อว่านางถูกใจหลี่เชียน จึงหนีตามหลี่เชียนไป และเวลานี้ยังกลับมาหาตำแหน่งขุนนางให้หลี่เชียนที่เมืองหลวงอย่างลับๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพื่อเกียรติยศอันจอมปลอม
“เรื่องนี้ข้าจะช่วยเจ้า” เฉาไทเฮายิ้มเล็กน้อย “เจ้าก็อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาเถอะ!”
ตระกูลหลี่ตีตราของนางอยู่
ช่วงนี้วังจี่เต้ากับสยงจวิ้นหรงก็ทำเกินไปหน่อยจริงๆ ต้องทำให้พวกเขารู้ว่า ราชสำนักไม่ใช่ราชสำนักของพวกเขาสองคน และฮ่องเต้ก็ไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาสองคนสามารถควบคุมได้เช่นกัน
เจียงเซี่ยนดีใจมากทันที
“ขอบพระทัยไทเฮามากเพคะ!” นางลุกขึ้นคารวะเฉาไทเฮา “เช่นนั้นหม่อมฉันจะรอข่าวดีจากไทเฮา!”
เฉาไทเฮายิ้ม ทันใดนั้นก็หาความน่าเกรงขามของตอนนั้นที่นางสำเร็จราชการแทนเจอเล็กน้อยแล้ว
ทว่าหลังจากเจียงเซี่ยนกลับไป นางใจเย็นลงทันที พอหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าตนเองตกลงง่ายเกินไปแล้ว น่าจะต่อรองกับตระกูลเจียงหรือไทฮองไทเฮาสักหน่อย
นางถามแม่นมของตนเองอย่างเยาะเย้ยตนเอง “ภูเขาวั่นโซ่วทำให้จิตใจอันเด็ดเดี่ยวของข้าค่อยๆ สลายไป และทำให้ข้าแก่ขึ้นหรือเปล่า? ข้าถึงเริ่มใจอ่อนกับเด็กพวกนี้แล้ว!”
แม่นมที่อยู่เป็นเพื่อนนางตลอดเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไทเฮาไม่ได้แก่ แต่สงสารเฉิงเอินกงต่างหาก! มีตระกูลหลี่ช่วยเหลือ เฉิงเอินกงก็ใช้ชีวิตในราชสำนักสบายหน่อยเช่นกัน”
เฉาไทเฮาพยักหน้า สุดท้ายก็ยังแอบถอนหายใจครั้งหนึ่งอยู่ดี
——————————————————-
ทว่าเจียงเซี่ยนที่กลับมาอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮากลับอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ท่านยายอย่างสดใส
ไทฮองไทเฮารู้ว่าสำเร็จแล้ว
หลานสาวโน้มน้าวเฉาไทเฮาอย่างไร?
นางยังคิดว่าหากเจียงเซี่ยนทำไม่สำเร็จ นางจะออกหน้าจัดการด้วยตนเอง
แต่เวลานี้กลับอดไม่ได้ที่จะกอดเจียงเซี่ยน และถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เป่าหนิงของพวกเราก็เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน!”
เจียงเซี่ยนเงยหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “ตอนนี้หม่อมฉันแต่งงานแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
ทว่าก็ต้องไปจากนางแล้วเช่นกัน
ไทฮองไทเฮาคิดแล้ว หางตาก็ปรากฏประกายน้ำตา
หลายวันต่อมา นางไปไหนก็ให้เจียงเซี่ยนไปเป็นเพื่อนตลอด
เจียงเซี่ยนก็ใช้เวลาทั้งหมดอยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาเช่นกัน มีคืนหนึ่งถึงกับค้างคืนในตำหนักของไทฮองไทเฮา ปรากฏว่าตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้น หนาวมาก อากาศมืดครึ้ม จู่ๆ อากาศก็เปลี่ยนเป็นหนาวไปถึงกระดูกในทันใด
ไทฮองไทเฮาสั่งให้จุดกระถางไฟแล้ว
เจียงเซี่ยนกลัวฤดูหนาวที่สุด นางห่อตัวด้วยเสื้อขนสัตว์และไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ขดตัวอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างพลางคุยเล่นกับไทฮองไทเฮา
จู่ๆ ไทฮองไท่เฟยก็พาพวกไป๋ซู่กับเมิ่งฟางหลิงทยอยเดินเข้ามา ในมือของเมิ่งฟางหลิงยังถือชามที่มีควันกรุ่นๆ ด้วย และไทฮองไท่เฟยก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป่าหนิง ยินดีด้วย อายุมากขึ้นอีกปีแล้ว”
เจียงเซี่ยนร้องว่า “อ๊ะ” และลุกขึ้นนั่ง
วันนี้นางอายุครบสิบสี่ปี
นางลืมเรื่องนี้ไปเลย
ไทฮองไทเฮาหัวเราะ
ไป๋ซู่ยกบะหมี่อายุยืนมาตรงหน้านางเองกับมือ
ชามดูใหญ่ ความจริงน้ำแกงมากบะหมี่น้อย วางไข่ไก่สองฟอง ตกแต่งด้วยผักกวางตุ้งสองสามชิ้น ใส่น้ำมันงาเล็กน้อย ได้กลิ่นและเห็นแล้วก็ทำให้คนอยากอาหารขึ้นมาก
“เป่าหนิง ยินดีด้วย” ไป๋ซู่เอ่ยพลางไปยืนข้างๆ กับไทฮองไท่เฟย
เมิ่งฟางหลิงกับพวกคนสนิทข้างกายไทฮองไทเฮาคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนลนลานเล็กน้อย
นางลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง จึงย่อมไม่ได้เตรียมอั่งเปาสำหรับตกรางวัลเช่นกัน
หลังจากเชิญพวกเมิ่งฟางหลิงลุกขึ้น กำลังคิดจะสั่งฉิงเค่อว่าเดี๋ยวห่ออั่งเปาแล้วส่งไป ไทฮองไทเฮาก็ล้วงถุงเงินหลายถุงจากใต้โต๊ะอุ่นยื่นให้ฉิงเค่อแล้ว และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “รู้ว่าพวกเจ้ายุ่งจนลืมเรื่องนี้ ข้าจำได้”
เจียงเซี่ยนกอดแขนของไทฮองไทเฮาอย่างเขินอาย
ไทฮองไทเฮาเพียงแค่ยิ้ม และเร่งนาง “รีบกินบะหมี่เสีย”
บะหมี่อายุยืนพิถีพิถันอย่างถึงที่สุด กินรวดเดียวหมด
เจียงเซี่ยนกินคำใหญ่ สุดท้ายก็กินบะหมี่ก้อนเล็กนั้นหมด แล้วดื่มน้ำแกงสองสามคำ และแบ่งที่เหลือให้ทุกคนกิน
ไทฮองไทเฮายิ้มพลางเอ่ยว่า “ทำไมกินน้อยกว่าเมื่อก่อนอีก?”
ฉิงเค่อตกใจจนจะคุกเข่าขอรับโทษด้วยตนเอง
ทว่าไทฮองไทเฮากลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้เป็นวันเกิดของเป่าหนิง”
ความนัยที่แฝงในนั้นคือ ทุกคนต้องมีความสุข
เมิ่งฟางหลิงรีบยิ้มและพยุงฉิงเค่อขึ้นมา
ไทฮองไทเฮาถอนหายใจและเอ่ยว่า “เสียดายที่อยู่ภูเขาวั่นโซ่ว ไม่อย่างนั้นจะได้ฉลองวันเกิดให้เป่าหนิงอย่างดี”
ไทฮองไท่เฟยจะไปถามเฉาไทเฮา ดูว่าภูเขาวั่นโซ่วมีสตรีที่เล่านิทานเป็นหรือไม่ “แม้จะจัดใหญ่ไม่ได้ แต่คนกันเองก็คึกคักได้” นางเอ่ยพลางสั่งลงไปแล้วว่า ตั้งโต๊ะสองโต๊ะ กินข้าวด้วยกัน
ไทฮองไทเฮาเห็นด้วยมาก
ไทฮองไท่เฟยก็ปรึกษาว่าจะเชิญเฉาไทเฮาหรือไม่
“ทั้งหมดก็มีแค่ไม่กี่คน” ไทฮองไทเฮาคิดว่าเจียงเซี่ยนยังมีเรื่องขอร้องเฉาไทเฮา จึงพึมพำว่า “ส่งเทียบเชิญให้นางแล้วกัน นางอยากมาก็มา ไม่มาก็ไม่บังคับเช่นกัน”
ไทฮองไท่เฟยยิ้มพลางขานว่า “เพคะ” และไปเขียนเทียบเชิญด้วยตนเอง แล้วให้เมิ่งฟางหลิงส่งไปตำหนักอี๋อวิ๋น
เฉาไทเฮาไม่มา ทว่าให้แม่นมของตนเองมอบปิ่นระย้ารูปหงส์เคลือบทองฝังมรกตคู่หนึ่งเป็นของขวัญวันเกิด
ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วก็ทำเสียงไม่พอใจ แล้วปิดกล่องและยื่นให้เจียงเซี่ยน พลางเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ส่งของขวัญวันเกิดมาแล้ว เจ้าก็รับไว้เถอะ!”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางรับไว้ และปลอบใจไทฮองไทเฮาว่า “ถึงเฉาไทเฮาจะไม่ดีแค่ไหน แต่เรื่องหน้าตากลับไม่เคยตกเป็นที่ครหาเลย”
ดีกว่าจ้าวอี้มาก
ตอนที่จ้าวอี้ไม่ได้ว่าราชการด้วยตนเองต้องอาศัยกำลังของไทฮองไทเฮา ก็แสร้งทำตัวเป็นหลานกตัญญูต่อหน้าไทฮองไทเฮา พอเขาว่าราชการด้วยตนเองก็ทำตัวแย่ลงทันที เริ่มเย็นชาและเมินเฉยกับไทฮองไทเฮาที่ไม่มีผลประโยชน์และความขัดแย้งใดๆ กับเขา นั่นถึงจะเป็นคนที่เย็นชาอย่างแท้จริง
—————————————————–
ทว่าเวลานี้จ้าวอี้กลับกำลังเอามือไพล่หลังและเดินไปเดินมาในห้องทรงอักษรอย่างเงียบเชียบ
สีหน้าของเขาในความตื่นเต้นมีความไม่สบายใจปนอยู่เล็กน้อย และมักจะหยุดคิดครู่หนึ่ง แลดูตื่นเต้นมาก
เสี่ยวโต้วจึอดไม่ได้ที่จะมองซุนเต๋อกงที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบและนอบน้อม
แต่ซุนเต๋อกงกลับไม่มองเขาแม้แต่ครั้งเดียว
นี่ทำให้เสี่ยวโต้วจึขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่าราชการด้วยตนเองเป็นต้นมา คนที่อยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้ทั้งวันอย่างเขาเป็นหัวหน้าขันทีของวังเฉียนชิง ทว่าซุนเต๋อกงที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนกลับเป็นหัวหน้าขันทีซือหลี่เจียน ไปมาระหว่างฮ่องเต้กับราชเลขาธิการของสำนักราชเลขาธิการทุกวัน เหมือนกลายเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งของรัชสมัยปัจจุบันแล้ว
และซุนเต๋อกงเหมือนจะสามารถคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้มากกว่าเขา
หลายครั้งที่ฮ่องเต้โมโห ซุนเต๋อกงก็เป็นคนออกหน้ากอบกู้สถานการณ์หลังจากเกิดเหตุผิดพลาดตลอด
ก็เหมือนครั้งนี้ จู่ๆ เฉาไทเฮาก็ส่งคนส่งสาส์นฉบับหนึ่งมาจากภูเขาวั่นโซ่ว ฮ่องเต้เกลียดมาก จนทับสาส์นฉบับนั้นไว้หลายวัน ตอนหลังไม่รู้ทำไมถึงให้พวกเขาหาออกมาอีก ปรากฏว่าพออ่าน ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที และหัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปเดินมาในห้องทรงอักษร
เขาเดาว่าลูกชายคนโตของฮ่องเต้มีเรื่องอะไรน่าดีใจหรือเปล่า แต่ดูท่าทางของซุนเต๋อกง เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว
รออีกหน่อยดีกว่า!
คนที่เดาใจฮ่องเต้ถูกคนแรกและก้าวไปข้างหน้าย่อมสามารถทำให้ฮ่องเต้โปรดปรานได้ ทว่าหากเดาผิด ก็ไม่มีผลดีเช่นกัน
ถึงฐานะอย่างเขา เรื่องบางเรื่อง…ยอมไม่ผิดดีกว่าเสี่ยงเข้าไป
เสี่ยวโต้วจึคิดแล้วก็ยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปอย่างนอบน้อมและเชื่อฟังเหมือนกับซุนเต๋อกง
————————————–