มู่หนานจือ - บทที่ 422 ติดตาม
พอเจียงเซี่ยนกลับถึงบ้านที่ภูเขาเสี่ยวทังก็เรียกหลี่จี้มาถามทันที
หลี่จี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสองสามวันนี้ให้เจียงเซี่ยนฟังทีละเรื่อง “…ท่านคังเลี้ยงรับรองข้า น้ำใจอันลึกซึ้งยากที่จะปฏิเสธได้ ข้าจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อ แต่ใครจะรู้ว่าท่านค คังกลับให้คนนำไผ่ใบเขียวมาขวดหนึ่ง จะให้ข้าดื่มเป็นเพื่อนถ้วยหนึ่งให้ได้ ข้าบอกปัดหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จึงจำเป็นต้องดื่มเป็นเพื่อนท่านคังถ้วยหนึ่ง ทว่าท่านคังกลับเหมือนต ติดใจ ถ้วยแล้วถ้วยเล่า ข้ากลัวว่าข้าจะเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงปิดปากตลอด และแค่ก้มหน้าดื่มเหล้า สุดท้ายไม่ไหวแล้วจริงๆ กลัวว่าหลังจากเมาจะลืมตัว จึงแสร้งทำเป็นดื่มมาก แล้ว และอาเจียนในส้วมของบ้านพวกเขาไปครั้งหนึ่ง…แต่ข้ากล้ารับประกันว่า ข้าไม่ได้เอ่ยสิ่งที่ไม่ควรพูดแม้แต่คำเดียว…หลายวันก่อนจู่ๆ ท่านคังก็มาเยี่ยมท่าน และถามว่าพวกเรา ากลับซานซีเมื่อไร? ข้าบอกว่าไม่รู้ ท่านออกไปเยี่ยมญาติแล้ว ท่านคังก็ไม่ถามอีก แค่กำชับข้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่า หากท่านกลับมาแล้ว ต้องบอกเขา ท่านว่า…พวกเราบอกเขาตอนไหน นถึงจะเหมาะสม?”
“ก็ส่งคนไปบอกเขาวันนี้เถอะ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “บอกว่าอีกสองวันพวกเราจะออกเดินทาง”
หลี่จี้อยากพูดทว่าก็หยุดไว้
เจียงเซี่ยนคล้ายจะรู้ความรู้สึกของเขาเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ! ครั้งนี้ท่านคังต้องตัดสินใจตามพวกเราไปซานซีด้วยอย่างแน่นอน ต่อไปเขาก็เป็นอาจา ารย์ของเจ้าแล้ว คนที่เป็นลูกศิษย์อย่างเจ้า ต้องคอยรับใช้อย่างใส่ใจ”
ถึงอย่างไรตระกูลคังก็เป็นบัณฑิต
ต่อให้หลี่จี้ดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะสอบเข้าไปเป็นขุนนางอยู่ดี สำหรับตระกูลคัง นี่เป็นความเสียดายที่ใหญ่ที่สุด
ดังนั้นหลี่จี้กับคุณหนูใหญ่ตระกูลคังจะเป็นอย่างไร นางก็บอกยากเช่นกัน จึงยิ่งไม่อาจพูดจาให้ความหวังแก่หลี่จี้อย่างส่งเดชได้ แต่นางก็หวังว่าหลี่จี้จะมีความสุข
คนที่อยู่ข้างกายต่างมีความสุข บรรยากาศถึงจะดี ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันถึงจะมีความสุขและเบิกบานใจ
หลี่จี้ก็รู้สึกว่าเจียงเซี่ยนมองความคิดของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน
พูดตามตรง เขาไม่คิดจะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลคัง
ฐานะของทั้งสองคนแตกต่างกันมากเกินไป
เขาไม่ต้องการการแต่งงานที่บังคับมา
การแต่งงานควรจะใจตรงกันทั้งสองฝ่ายเหมือนพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเขา นั่นถึงจะเป็นการใช้ชีวิต
ตระกูลคังยอมไปซานซี ก็ได้รับความคุ้มครองจากตระกูลหลี่ คุณหนูใหญ่ตระกูลคังก็ไม่ต้องถูกรังแกเหมือนที่ชางผิงแล้วเช่นกัน สำหรับเขา นี่ก็พอแล้ว
เขาหน้าแดงพลางขานว่า “ขอรับ” และส่งคนไปส่งข่าวให้คังเสียงอวิ๋น แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่หลี่เชียนส่งของขวัญวันเกิดมาให้นาง “…หากท่านไม่กลับมาอีก พวกเราก็จำเป็นต้องเลียนแบบ ลายมือของท่านและเขียนจดหมายให้พี่ใหญ่แล้ว”
เจียงเซี่ยนแปลกใจเล็กน้อย
หลี่เชียนอยู่ระหว่างทางไปเสฉวน นางคิดว่าต่อให้หลี่เชียนจำวันเกิดของนางได้ก็ไม่มีทางที่จะซื้อของขวัญวันเกิดให้นางอยู่ดี และถึงจะซื้อของขวัญวันเกิดให้นาง ก็ไม่มีทางที่จ จะส่งมาถึงในวันเกิดเช่นกัน…
นางสนใจมากทันที และถามหลี่จี้ “รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าส่งอะไรมาหรือไม่?”
หลี่จี้ส่ายหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อยังไม่รู้ว่าควรแกะหรือไม่เลยขอรับ!”
เจียงเซี่ยนอยากสวมปีกบินกลับซานซีจริงๆ เดิมทีคิดว่าอีกสามวันจะออกเดินทาง สุดท้ายตัดสินใจไปพรุ่งนี้เลย
คืนนั้นทุกคนเก็บสัมภาระ
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นพอคังเสียงอวิ๋นมาหา ทางเจียงเซี่ยนก็เก็บของเรียบร้อยเตรียมออกเดินทางแล้ว
คังเสียงอวิ๋นไม่พอใจเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนจำเป็นต้องอธิบายว่าทางซานซีมีเรื่องด่วนนิดหน่อย นางจำเป็นต้องรีบกลับไปทันที “เรื่องนี้ข้าเป็นคนเสียมารยาท ขอให้ท่านคังกับท่านเจิ้งอย่าใส่ใจ ข้าทิ้งน้องชายของสามี กับเด็กรับใช้ประจำตัวเอาไว้แล้ว พวกเขาจะกลับซานซีพร้อมกับพวกท่าน”
คังเสียงอวิ๋นกับเจิ้งเจียนตัดสินใจตามเจียงเซี่ยนไปซานซีแล้ว ก็จำเป็นต้องฝืนใจรับการจัดการแบบนี้ หลังจากตกลงเวลาออกเดินทางกับเจียงเซี่ยนแล้ว คังเสียงอวิ๋นก็กลับไป
เจียงเซี่ยนคิดว่าเรื่องนี้นางเป็นคนทำผิดต่อคังเสียงอวิ๋นและเจิ้งเจียนจริงๆ ในเมื่อต้องให้ความสำคัญกับคนที่มีความสามารถ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากเชิญคนมารับ ตำแหน่ง นางจึงสั่งให้อวิ๋นหลินสืบสถานการณ์ของตระกูลคังกับตระกูลเจิ้ง พอรู้ว่าตระกูลเจิ้งมีแค่สามคน นางก็ให้หลิวตงเยว่ไปซื้อรถม้าเพิ่มใหม่สามคัน ตระกูลคังสองคัน ตระกูลเ เจิ้งหนึ่งคัน ส่วนคนรับใช้ส่วนตัวก็อยู่กับหลิวตงเยว่ ระหว่างทางจะได้สืบเรื่องราวของทั้งสองตระกูลสักหน่อย
ดังนั้นตอนที่คังเสียงอวิ๋นกับเจิ้งเจียนเห็นรถม้าที่ใหม่มากสามคันนั้น จึงประหลาดใจมาก
เวลานี้ตระกูลหลี่ใช้พวกเขาไม่ได้ และเจียงเซี่ยนก็อาจจะไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญนั้นช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้มากแค่ไหนกันแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจิ้งเจียนที่ไปด้วย ในฐานะของเพื่อนสนิทของคังเสียงอวิ๋น แต่ตระกูลหลี่กลับให้สวัสดิการแก่เขาเหมือนกัน
เจิ้งเจียนอดไม่ได้ที่จะแอบเอ่ยกับคังเสียงอวิ๋นว่า “ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลหลี่มีน้ำใจแบบนี้ ก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถึงพวกเราจะไปเป็นอาจารย์ที่สอนตามบ้านก็ไม่ขาดทุนเช่นกัน ไม่แน่ยังอาจจะได้ผูกวาสนาที่ดีด้วย”
คังเสียงอวิ๋นเห็นด้วยมาก
ตลอดทางที่เดินทางมา ตระกูลหลี่ไม่เพียงแต่จัดให้พวกเขาเข้าพักโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด ทว่าของกินของใช้ต่างก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่ทำให้คังเสียงอวิ๋นกับเจิ้งเจียนเหมื อนกลับบ้านของตนเอง ยังทำให้พวกเขาได้เห็นกำลังทรัพย์ของตระกูลหลี่และกำลังคนของตระกูลเจียงด้วย
คุณหนูใหญ่ตระกูลคังไม่ค่อยสบายใจ จึงถามมารดาว่า “ทำไมท่านพ่อต้องตามท่านหญิงไปเป็นอาจารย์ที่ตระกูลหลี่ที่ซานซี?”
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครอบครัวทำให้นางได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตใจคนและการทำดีหวังผล
นายหญิงคังเป็นแบบฉบับของสตรีที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ อยู่บ้านต้องเชื่อฟังบิดา แต่งงานต้องเชื่อฟังสามี ระหว่างทางที่ตามหาสามีล้วนอาศัยว่ามีลูกสาวคนโตคอยช่วยตัดสินใจ เวลานี้ติ ดตามสามี แน่นอนว่าสามีไปที่ไหนนางก็ไปที่นั่น แม้ข้างหน้าจะเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด ขอเพียงสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน นางก็รู้สึกว่าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
“ในเมื่อพ่อของเจ้าคิดว่าดี ก็ต้องดีอย่างแน่นอน” นายหญิงคังเจอสามีแล้ว สีหน้าจึงไม่มีความทุกข์อย่างก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว นางยิ้มอย่างอ่อนโยนและเยือกเย็น พลางตบลูกชา ายคนเล็กเบาๆ และเอ่ยกับลูกสาวเสียงนุ่มว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ทุกเรื่องมีพ่อของเจ้า! ยิ่งกว่านั้นยังมีท่านลุงใหญ่ตระกูลเจิ้ง”
ความเชื่อใจที่สามีมีต่อเจิ้งเจียนนั้นนางเห็นกับตา
คุณหนูใหญ่คังนึกถึงสายตาที่หลี่จี้มองนางอย่างแน่วแน่จนไม่ละสายตา ราวกับอยากประทับนางไว้ในดวงตา บางครั้งก็ใจลอย เหมือนมองจนเหม่อลอย แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่เรื่องแบบนี้ นางจะบอกมารดาได้อย่างไร
ท่านหญิงเป็นคนใจดี นางกลัวว่าหลี่จี้จะยุให้ท่านหญิงรับครอบครัวของพวกนางเอาไว้
ทว่าพอคิดอีกที ก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากแล้ว
ว่ากันว่าคุณชายรองตระกูลหลี่เป็นลูกชายที่เกิดจากอนุภรรยาในตระกูล เขาไม่น่าจะมีความสามารถแบบนั้นถึงจะถูก
หลังจากเดินทางหลายวันอย่างกังวลและไม่สบายใจ ในที่สุดคุณหนูใหญ่ตระกูลคังก็ไม่เห็นหลี่จี้ ในขณะที่นางโล่งอก ก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ทางนั้น หลิวตงเยว่สืบสถานการณ์ของตระกูลคังกับตระกูลเจิ้งจนรู้แน่ชัดแล้ว
ตระกูลคังนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว เจิ้งเจียนมาจากตระกูลจิ้นซื่อเหมือนกับคังเสียงอวิ๋น นายหญิงตระกูลเจิ้งคือลูกสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณคนแรกของเจิ้งเจียน มีลูกชายแค่คนเดี ยว ชื่อเจิ้งฉง หน้าตาเหมือนพิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกับเจิ้งเจียน ทั้งดำและอ้วน อายุเท่ากับหลี่จี้ อ่านหนังสือเป็นตั้งแต่เด็ก ทว่าเจิ้งเจียนเป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับการรู้ แต่ในตำรา หลังจากเจิ้งฉงอายุสิบสี่ปีและสอบผ่านจนได้เป็นซิ่วไฉ เจิ้งเจียนก็เริ่มให้เขาจัดการงานต่างๆ ในตระกูล เพียงแต่เวลายังสั้น จึงยังไม่เห็นผลเท่านั้น
หลังจากหลี่จี้รู้ก็เบ้ปากเล็กน้อย และพึมพำเสียงเบาว่า “ตระกูลเจิ้งไม่มีอาหารค้างคืนด้วยซ้ำ ยังมีงานอะไรให้จัดการ”
หลิวตงเยว่เม้มปากยิ้ม ยิ้มจนน่าเกลียดเล็กน้อย