มู่หนานจือ - บทที่ 424 ประกอบ
แต่ทางเจียงเซี่ยนกลับกำลังเขียนจดหมายให้หลี่เชียนอย่างร่าเริง
ของที่หลี่เชียนส่งมาให้นางคือปิ่นปักผมที่อวยพรให้มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองซึ่งฝังด้วยพลอยขี้นกการเวกและทับทิม
ตอนนั้นเจียงเซี่ยนก็เขินจนหน้าแดง และคิดว่าต่อไปตนเองไม่มีทางที่จะเสียบปิ่นปักผมอันนี้ออกไปอย่างแน่นอน แล้วก็คิดว่าหลี่เชียนต้องจงใจแน่ๆ
ความรู้สึกที่เดิมทีตื่นเต้นดีใจอย่างถึงที่สุดต่างจางลงเล็กน้อย ก็โกรธอยู่หลายวันจึงไม่ได้ตอบจดหมายหลี่เชียน ตอนหลังทนไม่ไหวอีก จึงเขียนจดหมายไปขอบคุณ ทว่านางส่งจดหมายฉบับนี้ไปที่เสฉวน หลี่เชียนต้องไปถึงเสฉวนถึงจะได้รับจดหมายฉบับนี้
ปล่อยให้เขาร้อนใจไป!
——————————————————
ส่วนหลี่ฉางชิงกำลังคุยกับเกาฝูอวี้อยู่ “…เจ้าว่า…สรุปแล้วท่านหญิงทำงานนี้สำเร็จหรือไม่? นางบอกแค่ว่าสิ่งที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว คนที่ควรเจอก็เจอหมดแล้ว ก็ไม่บอกความจริงกับข้าเช่นกัน ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ทำไมพวกชนชั้นสูงชอบพูดจาอ้อมค้อมแบบนี้ นางเปิดเผยข้าให้รู้จะเป็นอะไรไป? ต่อให้ไม่สำเร็จ ข้ายังตำหนินางได้อย่างนั้นหรือ? เด็กสาวที่อ่อนแออย่างนาง สามารถช่วยวิ่งเต้นให้จงเฉวียนของพวกเราได้ ข้าก็จะรับบุญคุณของนาง เฮ้อ! เจ้าดูข้าตอนนี้สิ ถามก็ผิด ไม่ถามก็ผิด!”
เกาฝูอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านก็ใจร้อนเกินไปหน่อยเช่นกัน ในเมื่อท่านหญิงบอกแบบนี้แล้ว พวกเราก็รอข่าวเถอะ เรื่องแบบนี้ท่านกับข้าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ นึกถึงตอนนั้น…หลังจากพวกเราถูกเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนนและสวามิภักดิ์ ทั้งกลุ่มไม่รู้ว่าจัดการไปเท่าไร รอเกือบครึ่งปีตำแหน่งของท่านถึงจะลงมา แล้วนี่ท่านหญิงเพิ่งจะกลับมา ต่อให้มีข่าว ก็ไม่เร็วขนาดนี้เช่นกัน! ท่านก็ถือว่าไม่มีเรื่องนี้ และควรจะทำอะไรก็ทำอันนั้นแล้วกัน”
“ก็มีแต่ต้องทำแบบนั้นแล้ว” หลี่ฉางชิงถอนหายใจ แล้วก็เอ่ยถึงคังเสียงอวิ๋นกับเจิ้งเจียน “สองคนนี้มาจากตระกูลจิ้นซื่อจริงหรือเปล่า? อยู่ดีๆ ไม่เป็นขุนนางเล็กๆ ในเมืองหลวง มาเป็นอาจารย์ที่บ้านข้า คงจะไม่ได้ทำอะไรผิดที่เมืองหลวงใช่หรือไม่? ถึงอย่างไรท่านหญิงก็อายุยังน้อย หากถูกคนหลอกก็แย่แล้ว”
การสอบขุนนางของเกาฝูอวี้สิ้นสุดที่จวี่เหริน ต่อให้เขาอยากสอบถาม ก็หาคนสอบถามไม่ได้อยู่ดี
คำพูดของหลี่ฉางชิงทำให้เขาใจเต้นตึกตัก
ความเปลี่ยนแปลงที่นำมาหลังจากเจียงเซี่ยนแต่งมา เขาก็ค่อยๆ รู้สึกได้แล้วเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่คนรับใช้ในบ้านนี้ เมื่อก่อนเขาคุยกับหลี่ฉางชิงในห้องหนังสือ ตอนที่เงียบมักจะได้ยินเสียงพูดจ้อกแจ้กจอแจเวลาสาวใช้กับหญิงรับใช้เดินผ่าน ทว่าเวลานี้กลับไม่ได้ยินแม้แต่นิดเดียว และทุกครั้งที่เขาคุยกับหลี่ฉางชิง คนที่นำชามาให้พวกเขาล้วนเป็นสาวใช้คนเดียวกัน นำชามาให้เสร็จแล้วก็ออกไปทันที ไม่กล้าหยุดสักครู่ แม้เกาฝูอวี้จะไม่เคยควบคุมอาหารการกินภายในบ้าน แต่ดีที่ฉลาด เขาจึงรู้ได้ทันทีว่า การจัดการแบบนี้ก็เพื่อรักษาความลับ…เพราะทุกครั้งล้วนเป็นคนเดียวกันนำชามาให้ หากสิ่งที่เอ่ยในห้องหนังสือแพร่งพรายออกไป สาวใช้คนนี้ก็มีโทษประหารชีวิตทันที บางทีสาวใช้คนนี้เองก็อาจจะรู้เช่นกัน จึงทำงานอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ และไม่มีความอยากรู้อยากเห็นแม้แต่นิดเดียว
เวลานี้…เจียงเซี่ยนก็พาจิ้นซื่อกลับมาอีกสองคน
สามารถคิดแบบนี้ได้หรือไม่ว่า ต่อไปในบ้านหลังนี้ยังจะมีคนแบบคังเสียงอวิ๋นกับเจิ้งเจียนมากขึ้นอีก
เช่นนั้นตำแหน่งของเขายังสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่?
ความคิดเหล่านี้ฉายวาบผ่านไปในสมองของเกาฝูอวี้ และกลับทำให้เขารู้สึกกลัว
“ในเมื่อเป็นจิ้นซื่อ ก็ต้องรู้ว่าเป็นรุ่นไหนอย่างแน่นอน” เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ใต้เท้าหลี่กับใต้เท้าติงต่างเป็นจิ้นซื่อ ก็สามารถถามพวกเขาได้นี่นา! และยังสามารถเชิญทั้งสองคนมาดื่มเหล้าได้ด้วย ท่านคังกับท่านเจิ้งน่าจะมีเรื่องที่สนใจเหมือนกับพวกท่านมากมาย”
หลี่ฉางชิงได้ยินก็ดีใจ ทว่าสมองของเขาไว หลังจากนั้นก็รู้สึกไม่เหมาะสมอีก จึงเอ่ยว่า “หากท่านคังกับท่านเจิ้งเคยทำอะไรผิดที่เมืองหลวงล่ะ?”
อย่างไรก็เขาต้องไว้หน้าลูกสะใภ้เช่นกัน
จะทำให้คังเสียงอวิ๋นกับเจิ้งเจียนมาไม่กี่วันก็โกรธไม่ได้
เกาฝูอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านควรจะเชื่อใจท่านหญิงถึงจะถูก แม้ท่านหญิงจะอายุยังน้อย แต่ก็ยังมีเจิ้นกั๋วกงไม่ใช่หรือ? เขาจะปล่อยให้ท่านหญิงเชิญคนสองคนที่ทำผิดที่เมืองหลวงกลับมาได้อย่างไร”
หลี่ฉางชิงรู้สึกว่าเกาฝูอวี้พูดมีเหตุผล จึงไปถามคังเสียงอวิ๋นกับเจิ้งเจียน ทั้งสองคนตกลงอย่างดีใจ คังเสียงอวิ๋นยังเอ่ยว่า “ติงหลิวสูงกว่าข้าสามรุ่น จ้าวซีสูงกว่าข้าหนึ่งรุ่น ตอนที่ข้าอยู่กรมโยธา มีเพื่อนขุนนางคนหนึ่งรุ่นเดียวกับติงหลิว สามปีก่อนติงหลิวเข้าเมืองหลวง และมาหาเพื่อนขุนนางคนนั้นของข้า พวกเราจึงเคยมีวาสนาได้เจอกันครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับมาเจอกันที่ไท่หยวน”
ตอนที่พูด หน้าตาของคังเสียงอวิ๋นเต็มไปด้วยความดีใจที่เพื่อนเก่าพบกันอีกครั้ง ไร้การเสแสร้งอย่างสิ้นเชิง
กล้าเจอหน้าก็ดี!
เช่นนี้หลี่ฉางชิงถึงจะวางใจ
ทว่าเจิ้งเจียนที่นั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ อย่างเรียบร้อยกลับมองหลี่ฉางชิงอย่างเงียบๆ
จนหลี่ฉางชิงกลับไปแล้ว คังเสียงอวิ๋นถึงถามเจิ้งเจียนว่า “ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้ารุ่นเดียวกับติงหลิว? ข้าจำได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่เลวทีเดียวนี่นา!”
“มีอะไรให้พูด!” เจิ้งเจียนเอ่ยอย่างเฉยชา “เวลานี้เขาเป็นขุนนางใหญ่ที่ปกครองมณฑลต่างๆ ส่วนข้าเป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือที่ลาออกแล้วมาขอข้าวกินที่ตระกูลหลี่ พูดไปคนอื่นยังคิดว่าข้าจะพึ่งพาอาศัยเขาเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่งน่ะสิ!”
ใบหน้าของคังเสียงอวิ๋นฉายแววเสียใจทันที และเอ่ยว่า “สหายเจิ้ง เพราะข้าคิดไม่รอบคอบ จึงทำให้เจ้าลำบากใจ ไม่อย่างนั้น…งานเลี้ยงนี้พวกเราก็ปฏิเสธไปดีกว่า?”
“ไม่เป็นไร!” ตอนที่เจิ้งเจียนเอ่ย เขายิ้มพลางลุกขึ้นยืน เหมือนคิดได้ตั้งนานแล้ว และเอ่ยว่า “ด่านนี้พวกเราย่อมต้องผ่าน”
“ด่านอะไร?” คังเสียงอวิ๋นไม่เข้าใจ
เจิ้งเจียนหัวเราะเล็กน้อย รู้สึกว่าคังเสียงอวิ๋นที่ไม่เข้าใจแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มีความใจกว้างที่ไม่มีเรื่องใดเปิดเผยไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “ข้าหมายความว่า จู่ๆ พวกเราก็ปรากฏตัวที่ซานซี อย่างไรก็อยู่ในบ้านทั้งวันโดยไม่ออกข้างนอกไม่ได้กระมัง? คบหาบัณฑิตของซานซีบ้างก็ได้!”
“ที่แท้เจ้าหมายถึงเรื่องนี้หรอกหรือ!”
นี่เป็นนิสัยเสียระหว่างบัณฑิต มักจะต้องผูกสัมพันธ์กับคนที่ฐานะสูงว่าต่างคนต่างมาจากรุ่นไหน และหยิบผลงานที่ภูมิใจมาประกอบด้วยสักสองสามชิ้น เมื่อก่อนคังเสียงอวิ๋นก็ดูถูกมาก เวลานี้ยิ่งเป็นเช่นนี้ แต่เขากลับไม่อาจละเว้นธรรมเนียมได้ ถอนหายใจอยู่พักหนึ่ง ก็ไปเตรียมตัวเองโดยไม่พูดอะไร
———————————————————
ทว่าฮูหยินเหอกลับมาหาเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าแดงก่ำ “ท่านว่า…ให้นายหญิงคังสอนเด็กเพิ่มอีกสองคนได้หรือไม่?”
เจียงเซี่ยนแปลกใจเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ท่านหมายถึงถงเหนียงหรือ? ได้สิ!”
แม้ถงเหนียงจะหมั้นปีนี้ พิธีแต่งงานดำเนินไป กว่าจะแต่งงานก็ปลายปีหน้าหรืออีกสองปีข้างหน้า
อย่างไรเหอถงเหนียงก็ไม่อาจรอปีกว่าๆ โดยไม่มีอะไรทำแบบนี้ได้
คอยอยู่เป็นเพื่อนหลี่ตงจื้อ และไปเรียนรู้หนังสือกับนายหญิงคังสักหน่อยก็ถือว่าฆ่าเวลาเช่นกัน
ใครจะรู้ว่าฮูหยินเหอกลับเอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ไม่…ไม่ใช่ถงเหนียง พี่สะใภ้ของข้าคิดว่าถงเหนียงแต่งงานกับคนที่ฐานะสูงกว่าตนเองอย่างตระกูลจิน กลัวตระกูลจินจะดูถูกนาง หลายวันนี้จึงกำลังดูบ้านทุกที่กับนายหน้า กะว่าจะย้ายออกไปก่อนที่ตระกูลจินจะส่งสินสอดมาอย่างเป็นทางการ ถึงเวลานั้นถงเหนียงก็จะจดจ่ออยู่กับการเตรียมตัวแต่งงาน ข้าหมายถึงพวกคุณหนูหนิวกับคุณหนูจู…”
เจียงเซี่ยนอึ้งไป ทำไมมีความรู้สึกว่านางไม่อยู่ไม่กี่วันก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้วล่ะ?
นางเอ่ยว่า “คุณหนูหนิว คุณหนูจู มาจากไหนอีก?”
ฮูหยินเหอรีบอธิบายว่า “หลายวันนี้ท่านไม่อยู่บ้านไม่ใช่หรือ? พวกลูกน้องเก่าของพ่อสามีของท่านต่างก็พาสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน พอเห็นตงจื้อทำอะไรสุภาพและเหมาะสม ก็ชมนางไม่หยุด ต่อมารู้ว่าเมี่ยวหรงเป็นคนชี้แนะการเรียนของนาง ก็พากันส่งเด็กสาวของตนเองมาหมด และขอให้เมี่ยวหรงช่วยดูการเรียนให้หน่อย เดิมทีเมี่ยวหรงไม่ตกลง ทว่าน้ำใจอันลึกซึ้งยากที่จะปฏิเสธได้ ข้าจึงทำให้ห้องหนังสือของตงจื้อทะลุถึงกัน แล้วทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ก็มานั่งที่บ้าน ให้เมี่ยวหรงเอ่ยให้พวกนางสักหน่อย…เวลานี้นายหญิงคังมาแล้ว ก็ย่อมต้องมอบห้องหนังสือให้ แต่…”
————————————-