มู่หนานจือ - บทที่ 449 ช่วงชิง
หลี่เชียนงับหูของนางและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เจียงเซี่ยนพูดไม่ออก หน้าแดงเหมือนเมฆหลากสี
ตั้งแต่วันนั้นที่หลี่เชียนกับนางนอนในผ้าห่มเดียวกัน หลี่เชียนก็ไม่ยอมนอนคนเดียวแล้ว บอกว่ายุ่งยากเกินไป รีบเดินทาง ยังพิถีพิถันมากขนาดนั้น นางแย้งเขาว่าในเมื่อรังเ เกียจความยุ่งยาก ทำไมยังพาแม่บ้านที่ทำอาหารเป็นมาด้วย? แต่หลี่เชียนกลับบอกว่า นั่นไม่เหมือนกัน ความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่งตัวอุ่นและกินข้าวถึงจะเป็นทางที่ถูกต้อง เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันขนาดนั้น เหมือนเขา ตอนที่วิ่งเต้นอยู่ข้างนอก วัดเก่าและทรุดโทรมที่ไหนสักแห่งก็พักได้ นางเถียงสู้เขาไม่ได้ จึงม้วนผ้าห่มและหันหลังให้เขา านอนคนเดียว ปรากฏว่าเขาก็ไม่ให้สาวใช้เอาผ้าห่มเข้ามาเช่นกัน และหลับไปโดยพิงอยู่ข้างกายนางแบบนั้น เดิมทีนางก็โกรธเขา และยังรอให้เขาง้อนางสักหน่อย จึงย่อมไม่ได้หลับจริ งๆ นานมากเห็นคนข้างกายไม่มีความเคลื่อนไหว จึงหันหน้ากลับไปมอง และตกใจมาก
อากาศหนาวขนาดนี้ จุดแวะพักระหว่างทางก็จุดกระถางไฟแค่อันเดียว
นางจะปล่อยให้เขานอนแบบนี้ได้อย่างไร
จึงจำต้องเลิกผ้าห่มและห่อเขาเข้าไป
ทว่าเขาก็เข้ามาใกล้ทันที และกอดนางไว้ในอ้อมแขน
นางถูกเขากอดอยู่ในอ้อมแขน หลังแนบหน้าอกของเขา หัวใจของหลี่เชียนเต้นสม่ำเสมอ เหมือนเสียงตีกลองอันยาวนาน ราวกับทะลุผ่านร่างกายของเขาโจมตีหัวใจของนางโดยตรง
เจียงเซี่ยนรู้สึกร่วมเป็นร่วมตายกับเขาขึ้นมาทันที
นางรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก และหลับลึกไปแบบนั้น
พอถึงวันรุ่งขึ้น นางโกรธและไม่สนใจเขา
เขาก็ไม่โกรธเช่นกัน ควรทำอะไรก็ทำอันนั้น
เพียงแต่พอถึงตอนกลางคืนบนเตียงก็มีผ้าห่มแค่ผืนเดียวอีก
นางจะไปเรียกสาวใช้ให้เพิ่มผ้าห่มผืนหนึ่ง
ทว่าเขากลับเอ่ยว่า ทั้งสองคนต่างห่มผ้าห่มแค่ผืนเดียวมาสองวันติดกันแล้ว ทีนี้จู่ๆ จะเพิ่มผ้าห่มผืนหนึ่ง พวกสาวใช้กับแม่บ้านที่รับใช้จะคิดอย่างไร? ให้นางไม่ว่าอย่างไรก็ต ต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย อย่างมากก็แค่ไปซีอานแล้ว เขาไปนอนที่ห้องหนังสือ
เจียงเซี่ยนกลัวว่าเขาจะนอนไม่ห่มผ้าห่มเหมือนเมื่อคืน
อากาศแบบนี้ หากเป็นหวัด อาจจะตายได้!
นางจึงจำเป็นต้องประนีประนอม
ดีที่ไม่เกิดเรื่องที่ยื่นมือเข้ามาในเสื้อของนางเหมือนวันนั้นอีกแล้ว
นางจึงค่อยๆ วางใจเช่นกัน
ใครจะรู้ว่าแค่คืนที่สาม หลี่เชียนก็ล้ำเส้นอีกแล้ว…มือเกาะกุมอยู่ตรงเอวของนาง ใกล้จนนางเกือบจะหายใจไม่ออก...นางกระวนกระวายใจ หากไม่ใช่ว่ามีคนมาเยี่ยมหลี่เชียน นางเ เกรงว่า…จะปล่อยให้เขายื่นมือเข้ามา…
คิดถึงเรื่องพวกนี้ นางก็โกรธเล็กน้อย
แต่หลี่เชียนก็ยังจะต่อรองกับนาง บอกว่าถึงซีอานแล้วเขาจะไปอยู่ห้องหนังสือ ทว่านางต้องรับปากเขาข้อหนึ่ง ต้องคุยกับเขาทุกวัน ไม่อย่างนั้นสามีภรรยาคนหนึ่งอยู่เรือนด้านใน อีกคนอยู่เรือนด้านนอก ทำให้คนเห็นแล้วยังคิดว่าพวกเขาสองคนจะแยกกันอยู่คนละห้อง?
‘ไม่ดีต่อชื่อเสียงของข้าเช่นกัน!’
เจียงเซี่ยนดูไม่ออกว่านี่ไม่ดีต่อชื่อเสียงของหลี่เชียนตรงไหน?
กลัวคนอื่นบอกว่าเขาไม่ได้รับความเคารพนับถือในบ้านอย่างนั้นหรือ?
แต่นางปกครองผู้คนเข้มงวดมาก ต่อให้มีคนคิดแบบนี้ ก็ไม่มีทางที่จะแพร่งพรายออกไปอยู่ดี!
หรือรู้สึกไม่มีเกียรติต่อหน้าหญิงรับใช้?
เจียงเซี่ยนกลัวเขาจะก่อกวนต่อไป จึงจำเป็นต้องรับปาก
เขาก็ไม่มารบกวนนางอีกจริงๆ
วันนี้เป็นคืนแรกที่พวกเขาค้างในบ้านของตนเอง นี่หลี่เชียนกำลังบอกเป็นนัยให้นางทำตามสัญญาหรือ?
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะดิ้นและเอ่ยว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกอดข้าแบบนี้เหมือนกัน?” เอ่ยถึงตรงนี้ หน้าของนางแดงมากขึ้น เสียงก็เบาจนแทบไม่ได้ยินเช่นกัน “ข้ าก็ไม่ได้ไล่เจ้าไปนอนที่ห้องหนังสือเสียหน่อย เจ้า…เจ้านอนที่นี่ต่อไปแล้วกัน? แต่ต้องรับปากว่าจะปูผ้าห่มสองผืน…”
“ไม่ได้!” หลี่เชียนเอ่ยข้างหูนางว่า “ข้ากลัวข้าทนไม่ไหว!”
ทนอะไรไม่ไหว?
เจียงเซี่ยนงุนงงอยู่ชั่วครู่ ทว่าไม่นานนางก็เข้าใจ และอายจนแทบอยากจะตบหลี่เชียนออกไปในฝ่ามือเดียว ดังนั้นพอหลี่เชียนวางนางลงบนเตียงอุ่น นางก็อดไม่ได้ที่จะจ้องห ลี่เชียนทีหนึ่ง
หลี่เชียนเพียงแค่มองนางพลางยิ้มตาหยี และหน้าด้านนั่งอยู่ข้างกายนาง แล้วจับมือของนางพลางเอ่ยว่า “เป่าหนิง ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากัน เป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด ข้าปิดบังใ ใครก็ไม่อยากปิดบังเจ้า ดังนั้นถึงได้บอกความจริงกับเจ้า หรือเจ้าจะให้ข้าโกหกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน!” เจียงเซี่ยนโพล่งออกไป และเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “แต่เรื่อง…เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องบอกข้าชัดเจนขนาดนี้เช่นกัน…”
หลี่เชียนได้ยินแล้วก็ทำหน้าประหลาดใจ และกอดนางไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่า “ก็หมายความว่า เป่าหนิงของข้ารู้ว่าในใจข้าคิดอย่างไรหรือ?”
นางรู้ได้อย่างไร?
เพียงแต่นางยังไม่ทันเอ่ยปาก หลี่เชียนก็เรียกว่า “เป่าหนิง” ด้วยเสียงแหบต่ำแล้ว และปิดปากของนางทันที
ลมหายใจร้อนถูกขยาย ร่างกายที่แข็งแรงคลุมอยู่บนตัวนาง แขนที่มีแรงรัดนางแน่น ในขณะที่ทำให้นางหายใจลำบากก็ถูกรุกจนเวียนศีรษะ
ความรู้สึกที่ริมฝีปากก็ชัดเจนมากขึ้นแล้ว
เขาไล่ตามนาง เล่นกับนาง คลอเคลียนางอย่างอ่อนโยน ทำให้นางรู้สึกถึงอารมณ์ของเขาอย่างชัดเจน ทว่าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“คนดี หายใจ!” จู่ๆ หลี่เชียนก็ปล่อยนาง และหัวเราะเบาๆ ข้างหูนาง
เจียงเซี่ยนได้สติกลับมา และจะผลักเขาออกอย่างพาลโกรธ แต่กลับถูกเขารวบเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
“ทำตามข้า…” หลี่เชียนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างมีความสุข…
จนตอนที่เสียงของฉิงเค่อดังเข้ามาผ่านม่าน เจียงเซี่ยนถูกหลี่เชียนพยุงขึ้นมา ก็ยังมึนงงและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลี่เชียนมองริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำและแดงเปล่งปลั่งของนาง เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูร้อน หัวใจก็จะโบยบินขึ้นมาแล้ว
เขาปรึกษากับนางด้วยเสียงอ่อนโยนขณะที่นางกำลังจัดเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ “ฉิงเค่อมาเรียกพวกเรากินข้าว ข้าให้พวกนางตั้งอาหารเย็นที่ห้องพักผ่อนด้านนอกดีหรือไม่?”
เจียงเซี่ยนยังคงหน้าตาเหม่อลอย และตกอยู่ในอ้อมกอดที่เหมือนตกอยู่ในก้อนเมฆเมื่อครู่ จึงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ทว่าในใจกลับคิดว่า บอกว่าอีกครึ่งชั่วยามค่อยเรียกพวกนางรับปร ระทานอาหารเย็นไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็มาแล้ว?
หลี่เชียนหัวเราะเบาๆ และเอ่ยข้างหูนางว่า “ต่อไปเวลาข้าอยู่บ้าน เจ้าอย่าติดเครื่องประดับบนศีรษะเลย ข้าเสียบปิ่นพวกนี้ไม่ค่อยเป็น!”
เวลานี้สมองของเจียงเซี่ยนค่อยๆ ได้สติกลับมา
นึกถึงที่ตนเองยอมทำตามเมื่อครู่ นางก็อายจนแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้นด้วยซ้ำ จึงทำได้เพียงเอ่ยอย่างแสร้งทำเป็นวางอำนาจบาตรใหญ่ว่า “เรื่องนี้ยากตรงไหน? เจ้าทำไม่เป็นก็แล้วไป ยังรั งเกียจที่ข้าติดเครื่องประดับบนศีรษะอีก”
“ข้ารู้แล้ว!” หลี่เชียนพูดไป หน้าตานอกจากมีชีวิตชีวาแล้ว ยังฉายแววได้ใจอย่างเบาบางด้วย
เจียงเซี่ยนรู้สึกขัดตามาก
จึงเอ่ยอย่างดุร้ายว่า “เจ้ารู้อะไรอีก?”
หลี่เชียนเข้ามาใกล้และงับติ่งหูที่อวบอิ่มของนาง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบากว่าเมื่อครู่และคำพูดเจือความเจ้าเล่ห์เล็กน้อยว่า “ครั้งหน้าไว้ข้ารู้ว่าเสียบปิ่นให้เจ้าอย่างไร แล้ว พวกเราค่อยมา…”
“ใคร…ใครจะครั้งหน้ากับเจ้า…” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “หากเจ้าพูดจาเหลวไหลอีก...”
หลี่เชียนชอบแกล้งเจียงเซี่ยน ชอบอยู่ใกล้เจียงเซี่ยน แต่อยากให้เจียงเซี่ยนอารมณ์ดีมากกว่า
เขาไม่กล้าแหย่นางอีก จึงรีบเอ่ยว่า “ข้ารู้ ข้ารู้! พวกเราไปทานอาหารเย็นกันเถอะ? พวกฉิงเค่อยังรออยู่นอกประตูนะ!”
แล้วเขาก็ช่วยนางจัดเสื้อผ้ากับเครื่องประดับให้เรียบร้อย
เจียงเซี่ยนจำต้องตามหลี่เชียนออกจากห้องนอน
แต่ที่คิดไม่ถึงคือ ตอนกลางคืนหลี่เชียนนอนที่ห้องหนังสือจริงๆ
เจียงเซี่ยนนอนอยู่บนเตียงป๋าปู้ที่กว้างใหญ่ รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวคนเดียว ทันใดนั้นก็รู้สึกน้อยใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตอนที่นางให้เขาอย่าแตะต้องนาง อย่างไรเขาก็ไม่ฟังนาง เพียงแค่นางไม่ให้พวกสาวใช้ปูผ้าห่มแค่ผืนเดียวตามที่เขาต้องการ เขาก็หนีไปนอนที่ห้องหนังสือแล้ว
เจียงเซี่ยนฝังตนเองอยู่ในผ้าห่มที่อ่อนนุ่ม ไม่อยากให้คนอื่นเห็นสีหน้าของนาง