มู่หนานจือ - บทที่ 474 กลับบ้าน
เจียงเซี่ยนที่เฝ้ารอหลี่เชียนกลับมาอย่างยากลำบากยิ้มตาหยีพลางนั่งลงหน้าโต๊ะ และมองหลี่เชียนกินบะหมี่คำใหญ่ๆ
เพราะกลับมาดึกเกินไป หากกินข้าวกลัวจะอาหารไม่ย่อย นางจึงตั้งใจสั่งให้ห้องครัวทำบะหมี่เนื้อหมูสามชั้นน้ำแดงโดยเฉพาะ
หลี่เชียนชอบกินมากอย่างที่คิดจริงๆ
“จะดื่มน้ำแกงสักคำหรือไม่!” หลี่เชียนเห็นเจียงเซี่ยนมองจนรู้สึกตื่นเต้น จึงเงยหน้ายิ้มพลางมองนาง
“ไม่!” ดวงตาของเจียงเซี่ยนยิ้มจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ท่านหมอฉางน้อยไม่ให้ข้ากินอาหารตอนกลางคืน”
ก่อนหน้านี้ฉางเหริ่นตงเคยหัวเราะเยาะนาง หลังจากพี่ชายของฉางเหริ่นตงมา เจียงเซี่ยนก็ชอบเรียกฉางเหริ่นตงว่า ‘ท่านหมอฉางน้อย’ เป็นพิเศษ
หลี่เชียนยิ้มตาหยี
เขาไม่ได้เจอเจียงเซี่ยนเกือบสองเดือน จึงอยากคุยกับนางมาก อดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหวอยู่ดี จึงเช็ดปาก และเอ่ยว่า “ท่านหมอฉางบอกว่าจะกลับมาเปิดร้านขายยาและรับ ลูกศิษย์ ทำไปถึงไหนแล้ว?”
เจียงเซี่ยนก็อยากคุยกับหลี่เชียนมากเช่นกัน จึงลืมคำสั่งสอนของบิดามารดาว่า ‘เวลากินข้าวกับเวลานอนห้ามพูดมาก’ ไปจนหมดสิ้นตั้งนานแล้ว นางหัวเราะเบาๆ และเล่าเรื่องที่เกิดข ขึ้นในช่วงนี้ให้หลี่เชียนฟังทีละเรื่อง
หลี่เชียนกินบะหมี่ไปพลาง ฟังเจียงเซี่ยนเล่าไปพลาง ถึงรู้ว่าหลี่หลินมาส่งหลี่ตงจื้อ และยังไม่กลับไป
เขาอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
เจียงเซี่ยนก็เสียใจเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “หากรู้ว่าเจ้าจะอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่แรก ก็น่าจะรอเจ้ากินอิ่มแล้วค่อยบอก มิน่าเล่าพวกบรรพบุรุษถึงห้ามพวกเราพูดตอนกินข้าว จะส่งผลต่อความอ อยากอาหารจริงๆ”
หลี่เชียนหัวเราะ แล้วเข้ามาใกล้เจียงเซี่ยนและกระซิบว่า “แต่ข้าเห็นเจ้าก็อารมณ์ดี จนกินได้อีกชามไม่ใช่หรือ?”
“ไปให้พ้น!” เจียงเซี่ยนใช้ศอกถองหลี่เชียน
ในห้องยังมีสาวใช้กับหญิงรับใช้คอยรับใช้ หลี่เชียนไม่อยากทำให้เจียงเซี่ยนเสียหน้า จึงถือโอกาสนั่งตัวตรงเช่นกัน แล้วกินบะหมี่กับเครื่องเคียงที่เหลือให้หมด และวางตะเกียบลง ง
ไป่เจี๋ยกับพวกสาวใช้รีบเข้ามาจัดการ เจียงเซี่ยนสั่งให้อิ้นไฉ่ตักน้ำเข้ามาและช่วยหลี่เชียนหวีผมกับล้างหน้า
ทว่าหลี่เชียนกลับไม่ละสายตาจากเจียงเซี่ยนแม้แต่เค่อเดียว เขาจับมือของนางและเอ่ยว่า “เจ้าก็นั่งอยู่หน้าประตู พวกเราคุยกัน”
เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม แล้วนั่งลงหน้าประตูห้องน้ำพลางคุยเรื่องจุกจิกในชีวิตประจำวันของครอบครัวและเหล่าเพื่อนบ้านกับหลี่เชียน “…ข้าได้ยินอวิ๋นหลินบอกว่า ท่านพ่อเขียนสาส ส์น อยากให้หลี่หลินดำรงตำแหน่งพวกแม่ทัพโหยวจีที่กองบัญชาการซานซี หากราชโองการลงมา ในบ้านก็มีใต้เท้าหลี่เพิ่มอีกคนไม่ใช่หรือ? ถึงเวลานั้นพวกเจ้าคิดจะเรียกอย่างไร…ใต้เท้า าหลี่เต็มบ้าน?”
ไว้หลี่จี้โตหน่อย นางยังคิดจะขอความคุ้มครองและแต่งตั้งตำแหน่งให้หลี่จี้
นางคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา
“ซนจริงๆ!” หลี่เชียนเอ่ยพึมพำอย่างกลืนไม่ค่อยเข้าคายไม่ค่อยออก และถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องเสียเลย โดยถามเจียงเซี่ยนว่า “ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันน้องหญิงของสกุลเหอก็จะมอบส สินสอดแล้วเช่นกัน? ป้าเหอผู้นี้ไม่เลวทีเดียว ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าลืมส่งของขวัญไป”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า และส่งสัญญาณให้ฉิงเค่อที่รับใช้ข้างกายจำไว้ แล้วเอ่ยว่า “วันที่หลี่หลินมอบสินสอดไล่เลี่ยกับน้องหญิงสกุลเหอ เช่นนั้นพวกเราก็ส่งของขวัญแบบเดียวกันไปแล้ วกัน”
แต่นางจะแอบส่งของขวัญไปให้เหอถงเหนียงเพิ่ม
“ไม่ต้อง!” เสียงของหลี่เชียนเย็นชาเล็กน้อย และเอ่ยว่า “มอบสินสอดดูความคึกคักของครอบครัวฝ่ายหญิง ทางน้องหญิงสกุลเหอส่งไปมากหน่อย ถือว่าพวกเราที่เป็นพี่ชายกับพี่สะใภ้เป็ นหน้าเป็นตาให้นาง ส่วนทางท่านพี่…พวกเราเป็นญาติทางครอบครัวฝ่ายชาย ไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าเป็นตาให้คนของครอบครัวสะใภ้ใหม่ ของขวัญไปถึงก็พอแล้ว”
นี่หลี่เชียนโกรธหลี่หลินหรือ?!
ทว่าเจียงเซี่ยนยินดีที่ได้เห็นผลลัพธ์นี้
นางแอบยิ้มในใจอย่างมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่นเล็กน้อย และตอบรับทันที
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็คุยเรื่องตอนปีใหม่ของเมืองซีอานอีกพักหนึ่ง พอรู้ว่าเจียงเซี่ยนจัดการทุกสิ่งอย่างรอบคอบ แถมยังไปร่วมงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิหลายครั้งเพราะหลี่เชียน หลี เชียนที่หวีผมและล้างหน้าเสร็จแล้วก็ซาบซึ้งมาก จึงจับมือของเจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “ข้าจะพยายามย้ายกลับมาเร็วหน่อย เจ้าจะได้ไม่ต้องช่วยข้าทำเรื่องพวกนี้อีก”
แต่เจียงเซี่ยนกลับรู้สึกสนุกเล็กน้อย จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าเวลา ตอนที่เจ้าไม่อยู่ ข้าก็มีงานทำเช่นกัน”
ทั้งสองคนคุยกันอย่างมีความสุขนานมาก ถึงจะไปที่ห้องนอน
บนเตียงทาสีป๋าปู้ที่กว้างใหญ่ ปูผ้าห่มแค่ผืนเดียว
มุมปากของหลี่เชียนก็ยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าพอคิดถึงความขี้อายของเจียงเซี่ยน เขาก็ฝืนกดเส้นโค้งอันน้อยนิดนั้นลงไป และเอ่ยอย่างสดใสว่า “ดึกมากแล้ว” และขึ้นเตียงไปก่อน
เจียงเซี่ยนโล่งอก ในที่สุดใบหน้าที่ร้อนเล็กน้อยก็กลับมาอุณหภูมิเท่าเดิม นางยิ้มพลางล้างเครื่องสำอาง และขึ้นเตียง
ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อปล่อยม่านเตียงลงอย่างแผ่วเบา และดับไส้ตะเกียงของโคมวังหลวงตรงมุมกำแพงสองดวง เหลือเพียงแสงไฟน้อยนิดขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ส่องในห้องอย่างสลัวๆ อบอวลไปด้วยกล ลิ่นอันอบอุ่น
หลี่เชียนพลิกตัวและกอดเจียงเซี่ยนไว้ในอ้อมแขน ในใจเหมือนไฟกำลังลุกไหม้
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะดิ้นเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เจ้ากอดแน่นขนาดนี้ทำไม? ข้าใกล้จะหายใจไม่ออกแล้ว!”
“เด็กดี!” หลี่เชียนเอ่ยเสียงอู้อี้ แล้วก้มหน้าลงมาฝังตรงซอกคอของเจียงเซี่ยนและสูดหายใจลึกสองสามครั้ง
กลิ่นหอมที่ไม่รู้ชื่อผสมความร้อนบนตัวเจียงเซี่ยนอบออกมาเป็นกลิ่นที่ทำให้เขาเลือดเดือดพลุ่งพล่าน ทำให้เขารู้สึกว่ากอดก็ผิด ไม่กอดก็เสียดาย จนแทบอยากจะให้เวลาหยุดลงตรงน นี้ ทำให้เขาสามารถกอดคนน่ารักในอ้อมแขนแบบนี้ได้ตลอดไป
หน้าของเจียงเซี่ยนแดงจนเหมือนเลือดจะหยดออกมาได้ทันที ความร้อนตรงซอกคอราวกับปีนเข้าไปในใจของนาง ทำให้นางสองขาอ่อนแรง หลังและแขนขาชาไร้เรี่ยวแรง ลนลานและคิดฟุ้งซ่าน
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไร?” นางเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจ
“เด็กดี!” หลี่เชียนสูดหายใจลึกอีกครั้ง “อย่าขยับมั่วซั่ว!”
มือที่เขาวางอยู่ตรงเอวของนางไม่กล้าก้าวไปอีกขั้นด้วยซ้ำ
หลี่เชียนกลัวว่าจะควบคุมไม่ไหวจนทำสิ่งที่ทำให้ตนเองเสียใจ
เขาทั้งรู้สึกมีความสุขและเจ็บปวด
มีความสุขที่เจียงเซี่ยนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เจ็บปวดที่เขาไม่ควรคิดหาทางนอนในผ้าห่มผืนเดียวกับเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนเหมือนยังงุนงงเล็กน้อย แต่เขากลับเคยถูกคนสอนก่อนแต่งงาน ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์ เพียงแค่ภาพวาดไม่กี่ภาพ กลับเล่าเรื่องของชายหญิงได้ชัดเจนมาก บิดาของเขากลัวเขา าไม่เข้าใจ ยังหาชายหญิงคู่หนึ่งมาเตรียมแสดงให้เขาดูด้วย หากไม่ใช่ว่าเขาขี้อาย และปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ก็คงจะได้ดูภาพการเสพสังวาสหลายรอบแล้ว
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ หัวใจของเขากลับค่อยๆ สงบลง
เจียงเซี่ยนเด็กเกินไป
การให้กำเนิดเร็วเกินไปจะทำให้ผู้หญิงเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
เขาอยากอยู่กับเจียงเซี่ยนจนแก่เฒ่า ไม่ได้อยากได้ความสุขในเวลานี้
หลี่เชียนกอดเจียงเซี่ยนแน่นขึ้น และกระซิบข้างหูนางว่า “เด็กดี ข้าคิดถึงเจ้ามาก เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่? เจ้าก็ให้ข้ากอดสักครู่…”
ในน้ำเสียงของเขาเจือความเจ็บปวดที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการโดยที่ตัวเขาไม่รู้ด้วยซ้ำ
หลี่เชียนอยากกอดนางขนาดนี้เชียวหรือ?
เจียงเซี่ยนคิดถึงตนเอง ก็เหมือนจะชอบให้หลี่เชียนกอดนางแบบนี้มากเหมือนกัน
ราวกับนางเป็นของล้ำค่าในฝ่ามือเขา จึงถูกคุ้มครองอย่างระมัดระวังมาก
นี่ทำให้นางรู้สึกดีใจ และทำให้นางรู้สึกสบายใจ
เจียงเซี่ยนครุ่นคิด ทว่าร่างกายกลับมีปณิธานของตนเองตั้งนานแล้ว จึงแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เชียนอย่างอ่อนแรง ปล่อยให้เขารัดนางอยู่ในอ้อมกอด และหลับลึก
ปรากฏว่าตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้นหลี่เชียนแขนชาจนไม่มีความรู้สึกแล้ว ส่วนเจียงเซี่ยนหลังเหมือนถูกคนทุบ ทั้งสองคนต่างไม่ค่อยสบายนัก
หลี่เชียนหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “ฝึกฝนให้มากก็ได้แล้ว”
เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนตาขวางทีหนึ่ง แต่ในใจกลับบ่นนิยายของไป่เสี่ยวเซิง คนพวกนั้นในหนังสือจะไม่รู้สึกปวดเอวปวดหลังแม้แต่นิดเดียวอย่างนั้นหรือ? จะเห็นได้ว่าไป่เสี่ยวเซิ งแต่งขึ้นมามั่วๆ ทั้งหมด…
นางใส่ร้ายไป่เสี่ยวเซิงในใจอีกครั้ง