มู่หนานจือ - บทที่ 12 แทรกแซง
เจียงเซี่ยนยิ้มเยาะ
ตอนที่เฉาไทเฮากุมอำนาจในการปกครอง คนพวกนั้นรู้สึกว่าเฉาไทเฮาเป็นดั่งคำว่า ‘แม่ไก่ขันตอนเช้า[1]’ จึงต่างอยากให้จ้าวอี้ดำรงตำแหน่ง
จนกระทั่งจ้าวอี้ดำรงตำแหน่งแล้ว พวกเขาถึงรู้ว่าความจริงแล้วจ้าวอี้เทียบกับแม่ไก่สักตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“เฉาไทเฮาไม่คืนอำนาจให้ฝ่าบาทหนึ่งวัน ฝ่าบาทก็จดจำความแค้นที่มีต่อเฉาไทเฮาและตระกูลเฉาหนึ่งวัน” นางเอ่ยอย่างเฉยชา “ดังนั้นหากเฉาไทเฮาหมดอำนาจ ก็รอดูเฉาเซวียนถูกฝ่าบาทคิดบัญชีเถอะ! ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องพูดถึงชีวิตของภรรยาและลูกของเขาแล้ว เกรงว่าชีวิตของเขาเองก็ยากที่จะปกป้องไว้ได้…”
“เป็นไปไม่ได้!” ไป๋ซู่เอ่ยแทรกเจียงเซี่ยนเสียงดัง และจ้องเจียงเซี่ยนตาโต
เจียงเซี่ยนจ้องนางตอบอย่างไม่ถอยแม้แต่นิดเดียว
บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ ตึงเครียดขึ้น
ไป๋ซู่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางห่อไหล่ แล้วถอนหายใจยาวเหยียด และพึมพำว่า “เจ้าพูดถูก…”
ทว่าหน้าตาของเจียงเซี่ยนกลับยังคงกดดันคนเช่นเดิม
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร?” นางถามไป๋ซู่
ไป๋ซู่ยิ่งแลดูเหงาหงอย นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ายังจะทำอะไรได้? อย่างไรก็คงทำให้ทั้งตระกูลไป๋วิตกกังวลเพราะข้าตามข้าไปด้วยไม่ได้กระมัง! พวกเราอยู่ในวัง เรื่องราวข้างนอกเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีมูล เหมือนตั้งเวทีชมการแสดง ดูตอนที่เศร้าก็จะร้องไห้ แต่ก็เสียน้ำตาแค่ไม่กี่หยดเท่านั้นเช่นกัน ไม่มีทางบาดเจ็บสาหัส แต่ข้ากลับบ้านไปดูแลคนป่วยครั้งนี้ได้อยู่อีกหลายวัน ถึงเข้าใจเรื่องบางเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง…ตอนที่ฮูหยินอันกั๋วกงมาเยี่ยมคนป่วย นางมอบโสมอายุร้อยปีให้คู่หนึ่ง ตอนนั้นข้าเป็นคนรับไว้กับมือ และเพราะต้องจดบันทึกลงในสมุดรายชื่อ ข้าจึงลองเปิดดู แล้วก็พบว่าบนโสมนั้นใช้ด้ายไหมห้าสีผูกดอกเหมยถักคู่หนึ่งไว้ ข้าตกใจมาก พอตั้งใจดูอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นของที่ไทเฮาพระราชทานให้จวนอันกั๋วกงตอนที่ฮูหยินอันกั๋วกงป่วยเมื่อหลายปีก่อน…”
“เจ้าจำได้อย่างไร?” เจียงเซี่ยนตกใจ
“เจ้าลืมไปแล้วหรือ?” ไป๋ซู่เอ่ย “ตอนนั้นที่กรมวังเอาโสมมา เจ้ากำลังเรียนถักเชือกจีนอยู่ แม่นมเมิ่งไปขอคำแนะนำจากไทฮองไทเฮา เจ้าก็เอาดอกเหมยถักที่ตนเองถักไปได้ครึ่งหนึ่งวางลงไปบนโสมสองชิ้นนั้น กล่องที่บรรจุโสมนั้นข้าก็เป็นคนปิดเอง!”
นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่ตอนไหน เจียงเซี่ยนลืมไปตั้งนานแล้ว
ไป๋ซู่เอ่ยอย่างผิดหวังว่า “เมื่อก่อนใครจะเอาของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้มามอบให้เป็นของขวัญกัน! จะเห็นได้ว่าจวนอันกั๋วกงใช้ชีวิตลำบากแค่ไหนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลที่มีความดีความชอบตระกูลอื่นแล้ว ส่วนตระกูลของพวกเราเวลานี้ยังรักษาเกียรติของครอบครัวตระกูลขุนนางที่มีความดีความชอบไว้ได้บ้าง นั่นก็เป็นเพราะข้าเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเช่นกัน ฮ่องเต้องค์ก่อนกับไทฮองไทเฮาต่างก็พระราชทานรางวัลให้มากมาย ถึงได้ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับพวกเขา…”
เจียงเซี่ยนถามนาง “แล้วตัวเจ้าเองล่ะ? ก็ยอมรับชะตากรรมแบบนี้งั้นหรือ?”
ไป๋ซู่ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อย่างไรท่านแม่ก็ไม่มีทางที่จะทำร้ายข้า!”
ก็จริง
ไป๋ซู่ถึงอายุที่เหมาะจะแต่งงานแล้ว เจียงเซี่ยนเป็นฮองเฮาแล้ว ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยต่างก็มีชีวิตอยู่ ไม่เพียงแต่ฮูหยินเป่ยติ้งโหวเท่านั้น แม้แต่พวกนางก็กังวลกับเรื่องแต่งงานของไป๋ซู่ไปด้วย พวกนางคัดชายหนุ่มที่ฐานะครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเท่ากันและอายุเท่ากันทั้งเมืองหลวงออกมารอบหนึ่ง แล้วคัดไปคัดมาก็เลือกจิ้นอันโหว
ปรากฏว่าจิ้นอันโหวสืบรู้สถานการณ์ของเจียงเซี่ยนแล้ว จึงกลัวว่าจะผิดใจกับฮูหยินเฟิ่งเซิ่งสกุลฟางและจ้าวอี้ พอเตือนให้ไป๋ซู่ห่างจากเจียงเซี่ยนไม่สำเร็จ ก็รู้สึกว่าภรรยาไม่เชื่อฟังคำพูดของสามี จึงเริ่มไม่ชอบไป๋ซู่ไปด้วย
ไป๋ซู่เติบโตที่วังฉือหนิง เป็นท่านหญิงที่มีบรรดาศักดิ์ จิ้นอันโหวไม่ชอบนาง นางก็จะไม่ไปให้จิ้นอันโหวเมินใส่อย่างเด็ดขาด
สองสามีภรรยายิ่งเดินก็ยิ่งห่าง
ส่วนตัวเจียงเซี่ยนเองนั้น?
เรื่องแต่งงานของนาง ไทฮองไทเฮากับเจียงเจิ้นหยวนก็ต้องเลือกอย่างละเอียดมากอย่างแน่นอน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นญาติพี่น้องกัน เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก นิสัยเข้ากันได้…ซึ่งก็ดูผิดไปเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเจ้าวางแผนมาอย่างดีแล้วจะได้ตามที่ปรารถนา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ทำตามใจตนเอง ให้ตนเองมีความสุขสักหน่อยล่ะ?
เจียงเซี่ยนเอ่ยเสียงเบาว่า “จ่างจู หากไม่ทำให้จวนเป่ยติ้งโหวเดือดร้อน เจ้าอยากแต่งงานกับเฉาเซวียนหรือไม่?”
นัยน์ตาของไป๋ซู่สว่างขึ้น
เจียงเซี่ยนฉลาดเป็นพิเศษ นางไม่เพียงแต่พูดต่อหน้าไทฮองไทเฮาและฮองไทเฮาได้ ต่อหน้าฮ่องเต้กับเจิ้นกั๋วกงก็พูดได้เช่นกัน ยิ่งกว่านั้นนางก็เป็นคนที่พูดจาและทำอะไรเข้มแข็งและมีพลัง นางพูดออกมาว่าจะช่วยตนเองก็จะต้องมีทางอย่างแน่นอน!
ทว่าแสงไฟที่อยู่ในดวงตาของไป๋ซู่ก็หายไปในชั่วพริบตาราวกับดอกไม้ไฟ
นางก้มหน้าลง พลางเอ่ยว่า “ข้าอยากแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตั้งแต่ต้นจนจบข้ากับเฉาเซวียนเคยคุยกันไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ข้าตามเจ้าไปเจอเขาระหว่างทาง เขาก็ทักทายข้าคำเดียว แล้วก็มีครั้งหนึ่ง วันที่สามเดือนสาม เขารับคำสั่งจากเฉาไทเฮาให้มาส่งดอกไม้ประดับผม ก็พูดกับข้าประโยคเดียว ‘ท่านหญิงเจียหนานปักดอกซงหงเหมย[2]สวย ส่วนท่านหญิงไป๋ซู่เหมาะที่จะปักดอกฉาเหมย[3]มากกว่า’ แล้วก็มีอีกครั้งหนึ่ง…”
เจียงเซี่ยนสงสัยว่านางจำรายละเอียดของทุกครั้งที่เจอเฉาเซวียนได้หมดแล้ว
ชาติก่อนนางอยู่กับจิ้นอันโหวนานขนาดนั้นได้อย่างไร?
เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็รู้สึกปวดใจ
นางเอ่ยแทรกไป๋ซู่ทันที “เอาล่ะ เอาล่ะ เวลานี้จะพูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน? ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าอยากแต่งงานกับเฉาเซวียนหรือไม่!”
ไป๋ซู่หน้าแดงก่ำ นานมากกว่าจะเอ่ยเสียงเบาว่า “มีใครไม่อยากแต่งงานกับเขาบ้างล่ะ?”
เจียงเซี่ยนแอบหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “นั่นก็พอแล้วมิใช่หรือ! เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าเขาชอบเจ้าหรือไม่ เจ้าชอบเขาก็พอแล้ว”
ชาติก่อน เฉาเซวียนก็ไม่ได้แต่งงานเช่นกัน
ถึงแม้เขาจะไม่พูด ทว่าเจียงเซี่ยนมองออก เฉาเซวียนกังวลกับสถานการณ์ของตนเองมากมาตลอด จึงเหมือนไม่กล้าแต่งงาน เพราะกลัวจะทำให้ภรรยาและลูกเดือดร้อนไปด้วย
“หากวันไหนเจ้ารู้สึกว่าเฉาเซวียนไม่ดีกับเจ้าแล้ว และรู้สึกว่าอยู่ร่วมกับเขาต่อไปไม่ได้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเช่นกัน เจ้าก็หย่าแล้วกัน อย่างน้อยเจ้าก็ได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจ” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็เหมือนกับที่เจ้าชอบกินผัดตับที่ถนนวัว ถึงแม้จะกินแล้วท้องเสีย แต่มันก็อร่อยแล้วก็มีความสุขตอนที่กินนี่นา! แล้วก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะแบกรับผลจากการท้องเสียไม่ไหวเสียหน่อย เจ้ามีอะไรต้องกลัวกัน!”
นางพูดอยู่ จู่ๆ ก็คิดถึงหลี่เชียนขึ้นมา
เวลานี้ลองคิดดูแล้ว ตอนนั้นหลี่เชียนก็พูดมีเหตุผลอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ทำไมไป๋ซู่จะต้องเสียใจและเป็นทุกข์อยู่ที่นั่นด้วย นางทำงานหนักอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อจวนจิ้นอันโหว ส่วนจิ้นอันโหวก็เสวยสุขอยู่ที่นั่นอย่างสบายใจ
หากนางรู้ว่าคนที่ไป๋ซู่ชอบคือเฉาเซวียน ก็จับคู่ไป๋ซู่กับเฉาเซวียนไปตั้งนานแล้ว
“เจ้า…เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร!” ไป๋ซู่ได้ยินก็ตกใจกับความคิดนอกรีตของเจียงเซี่ยนจนตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ตลอด นางปิดปากเจียงเซี่ยนอย่างลนลานจนทำอะไรไม่ถูก “เจ้าพูดต่อหน้าข้าก็แล้วไป แต่จะพูดแบบนี้ต่อหน้าคนข้างนอกไม่ได้ ไทฮองไทเฮาได้ยินเข้าจะทรงกังวลและไม่สบายพระทัย”
เจียงเซี่ยนยิ้ม
ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร ไป๋ซู่ก็ยืนอยู่เคียงข้างนางเสมอ
นางดึงมือของไป๋ซู่ลงจากบนปากของตนเอง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็จะไม่พูดกับเจ้ามากเช่นกัน เจ้าลองคิดให้ดีว่าสิ่งที่ข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่ ชีวิตคนลำบากก็แค่ไม่กี่สิบปี หากพวกเราเองไม่หาความสุขให้ตนเองกันสักหน่อย แล้วยังจะมีใครสนใจว่าเจ้ามีความสุขหรือไม่?”
ไป๋ซู่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
เจียงเซี่ยนดึงผ้าห่มมาถึงคาง แล้วหลับตาลง
นางยังต้องส่งคนไปลองสืบว่าหลี่เชียนถูกส่งไปเป็นขุนนางที่ไหนกันแน่
ถึงรูปร่างหน้าตาของเขาจะธรรมดา แต่กลับมีความสามารถมาก จัดอยู่ในประเภทคนที่มีความสามารถทว่าไร้คุณธรรม ปกติแล้วคนแบบนี้เหมือนประทัดที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดตอนไหน
อย่างไรนางก็ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางอยากแก้ไขเรื่องบางเรื่องในชาติก่อน ตอนที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากท่านลุงเจียงเจิ้นหยวน คนๆ นี้อย่าคิดอะไรแปลกๆ ให้ตนเองจะดีกว่า…แล้วยังไป๋ซู่ ต้องคว้าโอกาสทั้งหมดเอาไว้ คิดหาทางเปลี่ยนแปลงนาง นางจะได้ไม่เป็นเหมือนในชาติที่แล้วที่รู้จักแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน และเป็นภรรยาที่ดีของสามีนางและแม่ที่ดีของลูกนาง…
————————————–
[1] แม่ไก่ขันตอนเช้า หมายถึง ผู้หญิงกุมอำนาจในการปกครองจะทำให้แคว้นเกิดความวุ่นวาย
[2] ดอกมานูก้า
[3] ดอกคามิเลีย