มู่หนานจือ - บทที่ 19 สวนดอกไม้
เจียงเซี่ยนกับหวังจ้านหันไปมองตามเสียง
ก็เห็นใบหน้ายิ้มที่เปล่งประกายสว่างไสวยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ในฤดูร้อนเสียอีก
นั่นใครน่ะ?
หวังจ้านสีหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย
แต่เจียงเซี่ยนกลับเกือบจะกระโดดขึ้นมา
หลี่เชียน!
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนอย่างงุนงง
ทว่าหลี่เชียนกลับมองนางแล้วฉีกยิ้ม รอยยิ้มจึงสดใสมากขึ้น
เจียงเซี่ยนฝืนอดทนไว้ถึงไม่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
หลี่เชียนหน้าด้านมาตีสนิทกับหวังจ้านแล้ว “ซื่อจื่อชินเอินป๋อจำข้าไม่ได้แล้วกระมัง? ครั้งที่แล้วซื่อจื่ออันกั๋วกงเลี้ยงอาหารที่หอฉยงฮวา พองานเลี้ยงจบแล้วออกมาจากหอฉยงฮวา ก็เจอซื่อจื่อกับเหล่าเพื่อนขุนนางของค่ายทหารภูเขาตะวันตกหน้าประตู และเคยคารวะซื่อจื่อ…”
หวังจ้านเข้าใจได้ทันที จึงเอ่ยว่า “เจ้าคือลูกชายของหลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยน เป็นองครักษ์อยู่ในวัง ชื่อหลี่…หลี่…”
หลี่เชียนรีบตอบว่า “ข้าชื่อหลี่เชียน ชื่อจงเฉวียนขอรับ”
“ข้าจำได้แล้ว” หวังจ้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าสีหน้ายังฉายแววอึดอัดที่เพราะก่อนหน้านี้จำหลี่เชียนไม่ได้อยู่เล็กน้อย “เมื่อครู่เห็นเจ้าก็รู้สึกว่าคุ้นหน้า แต่วันนั้นคนเยอะและวุ่นวาย ข้าจึงนึกไม่ออกไปชั่วขณะ” เขาเอ่ยจบก็เผยความสงสัยออกมาเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเขาน่าจะรับใช้วังคุนหนิงใช่หรือไม่? ทำไม…”
สายตาของหลี่เชียนจับจ้องไปยังบนมือของเจียงเซี่ยนที่ถือขนมกุหลาบครึ่งชิ้นอยู่ แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “เฉิงเอินกงบอกว่า ท่านหญิงอยากกินขนมถั่วแดง…”
เจียงเซี่ยนกับหวังจ้านถึงเห็นว่าหลี่เชียนถือของว่างอยู่ในมือสองกล่อง
หวังจ้านยิ้มพลางยื่นมือออกไป และเอ่ยว่า “เฉาเซวียนให้เจ้ามาส่งหรือ? ขอบคุณมาก น้องสาวข้าร่างกายอ่อนแอ ขนมถั่วแดงนี้กินได้หรือไม่ต้องเชิญหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงมาตรวจดูก่อนถึงจะรู้ ข้าถือกลับไปให้นางก่อนแล้วกัน”
สายตาของหลี่เชียนทอประกายอย่างเบาบาง
เห็นสภาพของเจียงเซี่ยนก็รู้สึกว่านางร่างกายไม่แข็งแรง เฉาเซวียนซื้อของว่างจากข้างทางมาสองกล่องแล้วให้เขาส่งเข้าวังมาให้ไป๋ซู่ เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ
ได้ยินว่าน้ำที่ดื่มในวังล้วนส่งเข้ามาจากภูเขาอวี้เฉวียนโดยเฉพาะ
ท่านหญิงเจียหนานเติบโตในวังตั้งแต่เด็ก เกรงว่าระบบย่อยนี้คงจะเลี้ยงดูจนอ่อนแอและไม่ไหวไปตั้งนานแล้ว
หากของว่างนี้ทำอย่างมักง่ายเกินไป ท่านหญิงเจียหนานกินแล้วไม่สบาย…ดูท่าทางที่ไม่มีชีวิตชีวาและดูเหมือนป่วยของนางแล้ว เกรงว่าจะโดนโทษหนัก
เขาเดินไปได้ครึ่งทางก็ย้อนกลับไปอีกครั้ง ลองเจ็ดแปดร้านแล้วก็ไม่รู้สึกว่าอร่อยสักร้าน พอคิดได้ว่าท่านพ่อตั้งใจให้เขาพาพ่อครัวมาห้าหกคนด้วยโดยเฉพาะ เพื่อให้เขาผูกมิตรกับชนชั้นสูงในเมืองหลวง และตั้งแต่อาหารซานตงจนถึงอาหารกวางตุ้งก็ล้วนน่าแสดงฝีมือออกมาทั้งนั้น เขาจึงกลับบ้านไปให้พ่อครัวที่ถนัดทำอาหารกวางตุ้งในบ้านทำขนมถั่วแดงสองกล่อง ไส้ละเอียด ไม่ค่อยหวานนัก เขาชิมแล้วรู้สึกว่าอร่อย ถึงเอาเข้าวังมา
คิดไม่ถึงว่าพอเข้าวังก็เห็นท่านหญิงเจียหนานนั่งเคียงข้างและคุยกับชายผู้หนึ่งใต้ต้นไป่โบราณอย่างสนิทสนมและอบอุ่น รอยยิ้มหวานนั้นแลดูจริงใจ เป็นธรรมชาติ และเปิดเผยตัวตนอย่างหมดเปลือก ไม่มีความเย็นยะเยือก เย่อหยิ่ง และทะนงตนเวลาคุยกับคนอื่นแม้แต่นิดเดียว
หลี่เชียนรู้สึกได้ทันทีว่าเจียงเซี่ยนชอบผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้มาก
เขาไปที่ต้นไป่โบราณอย่างเงียบๆ และเบิกตาโตคอยสังเกตอย่างละเอียด
แล้วก็พบว่าชายผู้นั้นคือหวังจ้านซื่อจื่อแห่งจวนชินเอินป๋อ
เขาแอบโล่งอก
แล้วก็คิดถึงเรื่องแต่งงานของท่านหญิงเจียหนานขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้
ว่ากันว่าฮ่องเต้กับท่านหญิงเจียหนานเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก และเป็นเพื่อนเล่นกันโดยไม่ได้คิดอะไร เสียดายที่ภูมิหลังตระกูลของท่านหญิงเจียหนานมีอำนาจมากเกินไปแล้ว และเฉาไทเฮาก็ไม่อยากมอบอำนาจคืนให้ฮ่องเต้มาตลอด จึงไม่มีทางที่จะให้ฮ่องเต้แต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานอย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้นเฉาไทเฮาก็คงจะไม่ให้โอกาสเฉาเซวียนเข้าออกวังหลังอย่างอิสระแล้วเช่นกัน…เฉาไทเฮายังต้องการการสนับสนุนจากจวนเจิ้นกั๋วกง จึงไม่สามารถบีบบังคับให้ท่านหญิงเจียหนานแต่งงานกับเฉาเซวียนได้ และจำเป็นต้องให้เฉาเซวียนคิดหาทางล่อลวงท่านหญิงเจียหนาน
นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมตระกูลของพวกเขาถึงถูกเรียกเข้าเมืองหลวงเช่นกัน
เฉาไทเฮาอยากเลื่อนตำแหน่งให้บิดาของเขา ทำให้บิดาของเขาค่อยๆ ฐานะเท่ากันและต้านทานเจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงได้
ฮ่องเต้จะชอบท่านหญิงเจียหนานแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนี้ คนที่ฉลาดมากหน่อยในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่า ถึงเฉาไทเฮาจะไม่มีทางให้ฮ่องเต้แต่งงานกับท่านหญิงเจียหนาน ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงเจียหนานก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ชอบเช่นกัน การสู่ขอท่านหญิงเจียหนานก็เท่ากับแย่งผู้หญิงกับฮ่องเต้ เวลานี้ฮ่องเต้ไม่สามารถคิดเล็กคิดน้อยได้ แต่สิบปีหลังจากนี้หรือยี่สิบปีหลังจากนี้ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?
ส่วนชินเอินป๋อนั้นเมื่อราชสำนักอ่อนแอและไร้ความสามารถ ดูจากการกระทำของจวนชินเอินป๋อในเวลานี้ เกรงว่าไทฮองไทเฮาคงอยากให้จวนชินเอินป๋อเป็นคนร่ำรวยที่ว่างงานและมีอิสระ เช่นนั้นต่อให้หวังจ้านชอบท่านหญิงเจียหนาน ไทฮองไทเฮาก็ไม่มีทางให้เหลนชายของตนเองแต่งงานกับหลานสาวของตนเองเช่นกัน…นี่หากวันไหนฮ่องเต้นึกอยากคิดบัญชีเรื่องนี้ขึ้นมา ญาติสนิททั้งสองคนของนางก็คงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย!
ยิ่งกว่านั้นยังมีเฉาเซวียนที่ประสงค์ร้ายและเฝ้ารอโอกาสฉกฉวยอยู่ข้างๆ อีกคน
ใครก็ไม่อยากเอาอนาคตของวงศ์ตระกูลไปเดิมพันกับชัยชนะและความพ่ายแพ้นี้เช่นกัน!
พอคิดแบบนี้ ท่านหญิงเจียหนานก็น่าสงสารมากเหมือนกัน
เห็นว่าสูงศักดิ์อย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ความจริงแล้วก็เป็นแค่แมวที่เลี้ยงอยู่ในกรงตัวหนึ่งเช่นกัน
แถมยังป็นแมวที่แสร้งทำเป็นวางอำนาจบาตรใหญ่
ความคิดเหล่านี้ฉายวาบผ่านไปในความทรงจำของหลี่เชียน เขาส่งของว่างให้หวังจ้านอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวแล้ว และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็รบกวนซื่อจื่อชินเอินป๋อแล้ว!”
หวังจ้านยิ้มพลางพยักหน้า และส่งสัญญาณให้เจียงเซี่ยนไปจากที่นี่
เจียงเซี่ยนเข้าใจ นางยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยนและแสร้งทำตัวเป็นบุตรสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ที่ปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผน หลังจากฟังหวังจ้านกับหลี่เชียนทักทายกันจบแล้วก็ตามหวังจ้านไปวังฉือหนิงโดยไม่หันกลับไปมองอีก
ตอนที่ออกจากอุทยานหลวง หวังจ้านแอบหันกลับไป และเห็นหลี่เชียนยังคงยืนจ้องมองพวกเขาจากมาอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาจึงขมวดคิ้ว และเอ่ยเสียงเบากับเจียงเซี่ยนว่า “อย่าสนใจหลี่เชียนเลย เขารับใช้วังคุนหนิง ถึงแม้หลี่ฉางชิงจะเป็นโจร แต่กลับปกครองใต้หล้าและทำสงครามเก่งมาก เฉินถงเฮ่อผู้ว่าราชการมณฑลซานซี เฉิงฉินกองบัญชาการห้าทัพ หลี่เหยากรมกลาโหม ต่างก็พ่ายแพ้ให้กับมือของหลี่ฉางชิงทั้งนั้น พ่อของข้ายังคิดว่าราชสำนักจะส่งลุงของเจ้าไปล้อมปราบ ใครจะรู้ว่าหลังจากอู๋เยี่ยนเต้ารับช่วงตำแหน่งต่อจากเฉินถงเฮ่อเป็นผู้ว่าราชการมณฑลซานซีแล้ว หลี่ฉางชิงกลับถูกเขาเกลี้ยกล่อมจนยอมจำนนอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ทำให้อู๋เยี่ยนเต้าได้เป็นรองเสนาบดีกรมกลาโหม และยังถูกคุยโวโอ้อวดว่าเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งในราชวงศ์ปัจจุบันอีก…”
ทำให้เฉิงฉินโกรธแทบเป็นแทบตาย
เจียงเซี่ยนอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ปรากฏว่าไทเฮาคิดว่าอู๋เยี่ยนเต้านั่นเดินทัพและจัดวางกำลังทหารเก่งมากจริงๆ เสียด้วย จึงเรียกลุงของข้ากลับมาจากต้าถง และให้เขาไปสู้รบกับชนกลุ่มน้อยทางเหนือ…”
แล้วถูกชนกลุ่มน้อยทางเหนือบุกโจมตีมาอย่างเร็วมาก โจมตีติดต่อกันสามเมือง จนเกือบจะตีเข้ามาในเมืองหลวง
เฉาไทเฮาจำเป็นต้องไปเชิญเจียงเจิ้นหยวนที่จวนเจิ้นกั๋วกงให้ออกรบด้วยตนเอง และมอบตราพยัคฆ์ของค่ายทหารภูเขาตะวันตกให้เจียงเจิ้นหยวน
อู๋เยี่ยนเต้าถูกประหารทั้งตระกูล
หวังจ้านมองพลางยิ้มอย่างจนใจ แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอย่าใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เลย หากไม่ใช่ว่าอู๋เยี่ยนเต้ายโสโอหังจะแข่งกับท่านลุงเจียง จะนำทหารไปต้านชนกลุ่มน้อยให้ได้ อู๋เยี่ยนเต้าก็คงจะไม่มีจุดจบแบบนี้…ถึงอย่างไรราชสำนักในเวลานี้ก็มีคนที่ไร้ความสามารถเยอะ…พึ่งพาอาศัยขุนนางที่ซื่อสัตย์คนสองคน ถึงอย่างไรกำลังของคนๆ เดียวก็ยากที่จะประคับประคองสถานการณ์ทั้งหมดได้…”
เจียงเซี่ยนนิ่งเงียบ
นางเคยเป็นไทเฮาที่สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ จึงรู้สึกได้มากกว่าหวังจ้าน
ราขสำนักนี้ไม่มีทางช่วยได้แล้วจริงๆ หรือ?
หากนี่เป็นชะตาลิขิต พวกนางจะเลือกทางไหนดี?
หวังจ้านบอกลากับเจียงเซี่ยนหน้าประตูวังฉือหนิง “เจ้าก็อย่าเพิ่งทำอะไรเอง รอข่าวจากข้า อย่างมากก็ในสองวันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเจอเซียวหรงเหนียงคนนั้น”
เจียงเซี่ยนเก็บความรู้สึกที่งุนงงขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “ท่านไม่เข้าไปคารวะไทฮองไทเฮาสักหน่อยหรือ?”
“ไม่ไปแล้ว” หวังจ้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นางจะได้ไม่ถามขึ้นมาว่าข้าเข้าวังมาทำไม ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ครั้งหน้าค่อยมาเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาแล้วกัน”
———————————-