มู่หนานจือ - บทที่ 42 พิสูจน์
เจียงเซี่ยนกลับถึงวังฉือหนิง เพิ่งจะเลยยามเว่ย[1]ไปหนึ่งเค่อ
นางเหมือนกับหลี่เชียน บนหน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว
นางในและขันทีเห็นนางก็ยืนชิดกำแพงและย่อตัวคารวะมาแต่ไกล
นางเดินผ่านไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กลับไปยังตำหนักตงซาน
ฉิงเค่อที่ได้ข่าวแล้วกลัวจะเจอคนที่รับใช้ข้างกายไทฮองไทเฮา จึงไม่กล้าไปรับถึงหน้าประตูใหญ่ และยืนเงยหน้ารออยู่บนบันไดของตำหนักตงซานอย่างร้อนใจ
พอเห็นเจียงเซี่ยน นางก็รีบพาเหล่านางในเข้าไปหา
เจียงเซี่ยนถามนาง “จ่างจูกลับมาหรือยัง?”
ฉิงเค่อคารวะนาง พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ยังเจ้าค่ะ แต่ตอนเที่ยงแม่นมเมิ่งมา ข้าบอกว่าท่านกับท่านหญิงแอบไปเล่นที่วังเฉียนชิงแล้ว นางก็สั่งให้ข้ากับหลิ่วเหมยเขียนตัวอักษรใหญ่คนละยี่สิบหน้า แล้วก็บอกว่าหากท่านกับท่านหญิงเจอไทฮองไทเฮาก็บอกไปว่าเขียนตัวอักษรใหญ่อยู่ในห้อง”
เจียงเซี่ยนพยักหน้าอย่างเหม่อลอย และกระซิบสั่งข้างหูฉิงเค่ออยู่นานมาก
ตอนแรกฉิงเค่อสายตาลนลานและนิ่งอึ้งไปเหมือนตกใจ ตอนหลังก็ค่อยๆ สงบสติได้ในขณะที่เจียงเซี่ยนเอ่ยเสียงเบามาก และพยักหน้าด้วยสีหน้านอบน้อมอย่างมาก พลางเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ” แล้วให้คนไปเชิญไป่เจี๋ยมาช่วยเจียงเซี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตนเองก็พานางในออกจากตำหนักตงซานไปสองคน
เจียงเซี่ยนสีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อย นางหวีผมใหม่ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ดื่มชาร้อนถ้วยหนึ่ง พอคิดทบทวนว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ถึงไปห้องอุ่นตะวันออก
ทว่านางถึงห้องอุ่นตะวันออกแล้วกลับไม่เข้าไป แต่อ้อมห้องอุ่นตะวันออกไปยังตำหนักชินอันที่อยู่ใกล้ประตูซุ่นเจิน
นางยืนมองประตูซุ่นเจินอยู่หลังต้นไม้โบราณข้างๆ ตำหนักชินอัน
ไม่นานนัก คนสกุลฟางก็พานางในสองคนเดินเข้ามา
นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสองชั้นทอลายคนโทและองุ่นสีน้ำเงินเข้ม กลัดกระดุมถักทรงผีผาตั้งแต่คางจรดเอว แขนเสื้อเรียว ชายกระโปรงกว้าง มาด้วยท่าทางอ่อนช้อยงดงาม เหมือนผู้หญิงท้องที่ไหนกัน
เจียงเซี่ยนนึกถึงตอนที่จ้าวอี้อุ้มจ้าวสี่มาให้นางดู เห็นได้ชัดว่าอายุสามเดือนแล้ว ทว่ากลับไม่มีแม้แต่แรงดูดนมเหมือนแมว นางก็หัวเราะเยาะในใจ
คนสกุลฟางใช้ความคิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพื่อปิดบังเรื่องที่นางตั้งครรภ์
นางคงกลัวเด็กตัวใหญ่เกินไปจนปิดบังไม่ได้ เลยไม่กล้ากินมากนัก
ไม่งั้นจ้าวสี่ก็ไม่มีทางที่จะตัวเล็กขนาดนั้นเช่นกัน
เจียงเซี่ยนเข้าใจมาโดยตลอดว่าเป็นเพราะเซียวหรงเหนียงรูปร่างผอมแห้ง
เจียงเซี่ยนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ มองคนสกุลฟางค่อยๆ เดินห่างออกไป
มีนางในตามมาทางด้านหลังนางอย่างเหนื่อยจนหอบ “แม่นม แม่นม ค่อยๆ เดินเจ้าค่ะ” คนสกุลฟางหยุดฝีเท้า
นางในคนนั้นอาจจะคิดไม่ถึงว่านางจะหยุดอย่างกะทันหัน จึงตั้งตัวไม่ทันจนชนอกคนสกุลฟาง
นางในสองคนที่อยู่ข้างหลัง คนหนึ่งไปผลักนางในที่ตามเข้ามาทางด้านหลังนางออก ส่วนอีกคนก็ไปพยุงคนสกุลฟางเอาไว้
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังถูกชนจนหงายหลังอยู่ดี
เสื้อคลุมบนตัวนางตกลงไปทางด้านหลัง เผยให้เห็นขากางเกงสีขาวราวกับหิมะและหน้าท้องที่นูนขึ้นมา
คนสกุลฟางสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก นางเกาะนางในที่อยู่ข้างกายแล้วลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วว่องไว พลางตวาดเสียงดังว่า “เจ้าเป็นคนของวังไหน ทำไมถึงเลินเล่อเช่นนี้? เวลาพวกเจ้าอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทก็เป็นเช่นนี้งั้นหรือ? แม่นมที่สั่งสอนเจ้าเป็นใคร? ข้าว่าเจ้าต้องกลับไปอบรมใหม่อีกรอบถึงจะใช้ได้!”
นางพูดไปก็เผลอลูบท้อง พอไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงแทบจะทันที
เจียงเซี่ยนเบ้ปากอย่างดูถูก
ดูท่าทางที่พูด การวางท่าสิ อย่างกับชนชั้นสูงในวัง!
มิน่าเล่า ชาติก่อนสามปีก็ทนต่อไปไม่ได้จนต้องยื่นหน้ามาท้าทายนาง
จ้าวอี้ก็มีความสามารถในการมองผู้หญิงเพียงเท่านี้
แต่ตัวนางเองก็เหมือนไม่ได้ดีกว่าไปสักเท่าไร มองผู้ชายไม่ค่อยออกเช่นกัน
พูดถึงเรื่องนี้พวกเขาก็สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน
ฉิงเค่อไม่รู้วิ่งออกมาจากตรงไหน นางเอ่ยขอโทษติดกันหลายครั้ง “ขออภัยเจ้าค่ะ! ขออภัยเจ้าค่ะ! จื่อย่วนไม่ได้ตั้งใจ จริงๆ แล้วเพราะรีบเดินจึงชนท่าน ท่านก็เป็นคนใจกว้าง ครั้งนี้ก็อภัยให้นางเถอะเจ้าค่ะ!”
คนสกุลฟางจำฉิงเค่อได้ จึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ที่แท้ก็ฉิงเค่อที่รับใช้ข้างกายท่านหญิงเจียหนานนี่เอง เจ้าเกรงใจข้าทำไมกัน? พูดถึงฝ่าบาทของพวกเรากับท่านหญิงเจียหนานก็เหมือนพี่น้องกันแท้ๆ คนรับใช้อย่างพวกเราก็ต้องสนิทกันมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ข้าก็รู้ว่าท่านหญิงเจียหนานเป็นคนเมตตากรุณา แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างพวกเจ้าก็ควรจะประพฤติตัวดีๆ เป็นหน้าเป็นตาของท่านหญิงถึงจะถูก วันนี้ยังดีที่ชนข้า หากชนคนที่อยู่ข้างกายไทเฮา คงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ และไม่แน่ว่าท่านหญิงของพวกเจ้าก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วย”
ฉิงเค่อขานรับอย่างนอบน้อม
คนสกุลฟางยิ้มอย่างพอใจ
เจียงเซี่ยนรู้สึกแปลกใจ
ทำไมชาติก่อนนางถึงมองไม่ออกว่าคนสกุลฟางเป็นคนเจ้าอารมณ์ขนาดนี้?
คนสกุลฟางเอ่ยว่า “ฉิงเค่อ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ฉิงเค่อยิ้มและเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮาจะหาคนเล่นไพ่ ปรากฏว่าฝ่าบาทเสด็จไปที่ภูเขาวั่นโซ่วแล้ว ท่านหญิงทั้งสองก็ไม่รู้ว่าไปไหนแล้วเช่นกัน พวกเราหานานมากแล้วก็หาไม่เจอ วงไพ่ก็เลยขาดขา…”
คนสกุลฟางได้ยินก็โล่งอก แล้วก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “ท่านหญิงทั้งสองไปไหนหรือ?”
ฉิงเค่อเอ่ยอย่างจนใจว่า “เห็นว่าตามฝ่าบาทไปภูเขาวั่นโซ่วแล้ว…”
เจียงเซี่ยนเห็นว่าคนสกุลฟางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
“ตามฝ่าบาทไปภูเขาวั่นโซ่วแล้วหรือ!” คนสกุลฟางเอ่ยเสียงเบา สายตาแลดูคมกริบเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเสด็จไปทรงงาน ท่านหญิงทั้งสองตามไปทำไมกัน? ไทฮองไทเฮาไม่พิโรธหรือ?”
“พิโรธน่ะสิ!” ฉิงเค่อท่าทางไม่รู้จักอันตราย นางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “แต่ใครจะห้ามท่านหญิงได้ล่ะ! สองวันก่อนฝ่าบาทส่งน้ำหอมกับขนมอบมาด้วย ไม่อย่างนั้นท่านหญิงก็คงจะไม่ตามฝ่าบาทไปภูเขาวั่นโซ่วหรอก!”
ใบหน้าของคนสกุลฟางเปลี่ยนเป็นบูดเบี้ยวขึ้นมาทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงเก็บสีหน้า และเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้ม พลางเอ่ยว่า “ฉิงเค่อ งั้นเจ้าก็รอท่านหญิงของพวกเจ้าอยู่ที่นี่เถอะ! ข้าจะไปวังคุนหนิงสักหน่อย ไทเฮาทรงเรียกข้าเข้าเฝ้า”
ฉิงเค่อได้ยินก็มองซ้ายมองขวา และเอ่ยเสียงเบาว่า “แม่นมฟาง ท่านหาที่พักเหนื่อยสักหน่อยดีกว่า! ได้ยินว่าหลังจากสาส์นของสำนักราชเลขาธิการส่งเข้ามา ไทเฮาก็พิโรธเป็นอย่างมาก แม้แต่ขันทีเฉิงก็ถูกตวาดด่าเช่นกัน…ตอนนี้ไทเฮากำลังสนทนากับราชเลขาธิการเหยียนอยู่พอดี!”
คนสกุลฟางอึ้งไป และเอ่ยว่า “แต่ไทเฮาทรงเรียกข้า…”
ฉิงเค่อเม้มปากยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “นี่จะไปยากอะไร วันนี้ไทเฮาอารมณ์ไม่ดี จะนึกถึงท่านได้อย่างไรล่ะ! อย่างไรท่านก็รออยู่ในห้องชาตลอดไม่ได้กระมัง? ข้าว่าท่านไปพูดจาดีๆ ต่อหน้าขันทีเฉิงสักหน่อยดีกว่า ต่อให้ไทเฮานึกขึ้นมาได้แล้ว มีขันทีเฉิงขวางอยู่ ท่านจะกังวลอะไร”
ให้นางไปติดสินบนเฉิงเต๋อไห่ขันทีวังคุนหนิง
นางเกลียดจนกัดฟันกรอด
นางไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก
ในสายตาของพวกเฉาไทเฮา ไทฮองไทเฮา หรือกระทั่งเจียงเซี่ยน นางก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งที่เชื่อฟังคำสั่งมากเท่านั้น ยังจะจำได้ว่าเคยเรียกนางเข้าเฝ้าได้อย่างไรล่ะ?
จะโทษก็โทษที่หลายวันนี้นางทำอะไรราบรื่นจนชะล่าใจเกินไปแล้ว
คนสกุลฟางสูดหายใจลึก
หากเป็นยามปกติ ต่อให้นางยืนอยู่นอกตำหนักของเฉาไทเฮาทั้งวันก็ไม่กลัว ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน นางจะรออยู่ในห้องชาของวังคุนหนิงทั้งคืนได้อย่างไรล่ะ!
นางรั้งแขนของฉิงเค่อไว้ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าท่านหญิงจะกลับมาเมื่อไรหรือ? อย่างไรไทเฮาก็คงจะไม่เรียกข้าเข้าเฝ้าสักพัก ข้าก็รอท่านหญิงอยู่ที่นี่ด้วยกันกับเจ้าแล้วกัน”
———————————–
[1] ยามเว่ย = ช่วงเวลา 13.00-14.59 น.