มู่หนานจือ - บทที่ 131 เรื่องในใจ
หลี่เชียนเกาะราวของศาลาริมน้ำ และถอนหายใจยาวเหยียด
ลมหายใจตกลงไปในคืนฤดูหนาวที่หนาวเย็น และกลายเป็นหมอกขาวในชั่วพริบตา
เหมือนกับความรู้สึกของเขาในเวลานี้
แปรปรวน บอกไม่ถูก
เจียงเซี่ยนเป็นท่านหญิงในราชวงศ์ปัจจุบัน หนึ่งในคนที่ฐานะสูงศักดิ์ที่สุด
นางอยากให้ตนเองแต่งงานออกไป สามารถเลือกบุรุษทั่วหล้าได้ตามใจชอบ
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่ทำไมถึงรู้สึกเศร้ามาก และรู้สึกไม่สบายใจเล่า?
เป็นเพราะนางให้ตนเองแต่งงานอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ?
จินเซียวเขาไม่เคยพบ เติ้งเฉิงลู่เขาก็ไม่รู้จัก ทว่าจ้าวเซี่ยว…หล่อเหลาสง่างาม ครอบครัวมีฐานะและมีอำนาจมาก พูดจาสุภาพ มีมารยาท และมีความรู้ ผู้หญิงทุกคนก็คงจะชอบกระมัง?
นางเลือกคนแบบนี้เป็นสามี ทำไมเขาต้องรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากด้วย?
หลี่เชียนก้มหน้า
แสงจันทร์ที่สุกสกาวสาดส่องลงบนทะเลสาบคุนหมิง แสงสะท้อนจากคลื่นน้ำที่บางเฉียบแต่ละเส้นเหมือนปลายดาบที่คมกริบ เห็นแล้วก็ทำให้คนปวดใจ
แต่เขาไม่อยากกลับห้อง
กลับเข้าไปในห้องที่อุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิเพราะจุดเตาไฟใต้ห้องคลายหนาว
เขาหันตัวไป เห็นเซี่ยหยวนซีที่สวมเครื่องแบบองครักษ์เดินมาทางเขา ห่างจากเขาไม่เกินยี่สิบก้าว
หลี่เชียนอดที่จะเยาะเย้ยตนเองไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาไม่รู้สึกตัวแม้กระทั่งว่ามีคนเข้ามาใกล้
นึกไม่ถึงว่าการแต่งงานของเจียงเซี่ยนจะก่อกวนจิตใจของเขา
สองสามวันนี้หลี่เชียนแปลกไปเล็กน้อย เซี่ยหยวนซีรู้สึกได้แล้ว เขาคิดว่าหลี่เชียนกังวลที่จะกลับไปซานซี เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่หลี่เชียนเหม่อลอยอยู่ตรงนี้เพียงลำพังมาหาหลี่เชียน กะว่าจะคุยกับเขาเรื่องที่ตระกูลหลี่กลับซานซี
“ท่านแม่ทัพ!” ตั้งแต่คำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งของหลี่เชียนออกมา คนที่อยู่ข้างกายหลี่เชียนก็เปลี่ยนคำเรียกเขา “สองสามวันนี้ท่านกังวลอะไรอยู่กันแน่? หากเป็นเรื่องคน ซานซีเป็นสถานที่ที่ตระกูลหลี่ทำให้เจริญขึ้นมา ถึงแม้ตอนหลังคนที่ติดตามใต้เท้าจะถูกแบ่งสรรไปยังแต่ละฐานที่มั่นแล้ว แต่ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็หลุดพ้นจากความลำบากเพราะติดตามใต้เท้า เพียงแค่ใต้เท้าริเริ่ม คนมากมายก็จะมาพึ่งพาอาศัยตระกูลหลี่ หากเป็นเงิน ข้าคำนวณมาอย่างละเอียดแล้ว ย้ายกิจการที่อยู่ภายใต้ชื่อท่านทั้งหมดออกไป บวกกับรายได้ของพวกเราที่ฝูเจี้ยนสองสามปีนี้ ประคับประคองได้เจ็ดแปดปีโดยไม่มีปัญหาใดๆ ยิ่งกว่านั้นหลังจากท่านกับใต้เท้ารับตำแหน่ง พวกเรายังสามารถวางแผนเงินเดือนทหารส่วนหนึ่งได้เอง พอคิดแบบนี้ ก็สามารถประคับประครองได้อีกสองสามปี และหากสามารถหาเงินจากเฉาไทเฮาได้เล็กน้อย พวกเราก็ใช้ชีวิตสบายขึ้นแล้ว ส่วนหูอี่เหลียงผู้ว่าราชการมณฑลซานซีนี้ ข้าให้คนไปสืบแล้ว ถึงเขาจะเป็นคนดี แต่ไม่แน่อาจจะชอบเก็บสะสมภาพเขียนด้วยก็ได้? เพียงแค่พวกเราเอาใจด้วยสิ่งที่เขาชอบ ก็ไม่มีทางที่จะจัดการเขาไม่ได้ พวกเรากลับซานซีเวลานี้ เรียกได้ว่า ‘เวลา สถานที่ และความสามัคคีของผู้คน’ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว ท่านก็บอกความจริงข้ามาเถอะ! ท่านเป็นอะไรไปกันแน่?”
เพียงแค่เขาคิดว่าเจียงเซี่ยนจะแต่งงานกับคนอื่นแล้วกลายเป็นภรรยาของคนอื่น เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ…รู้สึกว่าเจียงเซี่ยนมีคนที่เล่นเป็นเพื่อนนางแล้ว ก็จะค่อยๆ ลืมเขา และค่อยๆ ห่างเหินกับเขา…
คำพูดนี้เขาจะพูดออกไปได้อย่างไร?
เดิมทีระหว่างพวกเขาก็ฐานะแตกต่างกันไกลมาก ต่อให้เขาถีบตัวขึ้นมา พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะอยู่ในวงสังคมเดียวกันได้อยู่ดี
สิบปีหรือยี่สิบปีหลังจากนี้ เขามั่นใจว่าจะยืนคุยอยู่ในวงเดียวกับเจียงเซี่ยน
ทว่าเวลานี้…เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
หากเจียงเซี่ยนสามารถรอเขาได้อีกหน่อยก็ดี!
ความคิดฉายวาบผ่านไป เขาก็ยิ่งท้อใจ
ถึงเขาจะมั่นใจเช่นนี้ แต่สักสิบปีหรือแปดปีเขาก็ไม่มีทางทำได้
เจียงเซี่ยนยังรอเขาสักสิบปีหรือแปดปีได้งั้นหรือ?
ทั้งหมดนี้เขาเพียงแค่คิดเพ้อเจ้อไปเท่านั้น
แม้แต่เขาเองก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเขาจะพูดออกไปให้คนอื่นดูถูกได้อย่างไร?
หลี่เชียนเอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่กังวลเรื่องท่านพ่อนิดหน่อย สองสามวันนี้เขาพบปะผู้คนไปทั่ว แต่อย่าทำให้เรื่องสำคัญล่าช้า…เดิมทีพวกกิจการที่ฝูเจี้ยนก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว จิ้งไห่โหวจะต้องฉวยโอกาสมาแบ่งน้ำแกงอย่างแน่นอน ให้ท่านพ่อจับตาดูไว้หน่อย หากจิ้งไห่โหวอยากได้ก็ให้เขาไป อย่าขัดแย้งกับเขาเพราะเงินเล็กน้อย”
ตระกูลหลี่จะกลับไปซานซีแล้ว หลี่เชียนเป็นคนเปิดเผยข่าวนี้ออกมาเป็นคนแรก และให้หลี่ฉางชิงรวบรวมกิจการของตระกูลที่ฝูเจี้ยน อันที่ควรปล่อยก็ปล่อยไป อันที่สามารถลดราคาได้ก็ลดราคา หลี่ฉางชิงรู้สึกว่าภายในเวลาครึ่งปีที่มาเมืองหลวงนี้ลูกชายเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และเริ่มมีบุคลิกของแม่ทัพใหญ่รางๆ แล้ว ไม่เพียงแต่ทำอะไรสุขุมขึ้น ทว่าวางแผนก็ไวขึ้นด้วย ดีกว่าที่เขาหวังไว้มากทีเดียว เขาจึงสบายใจมาก แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังสงสัยเรื่องที่ตระกูลหลี่สามารถกลับซานซีได้เร็วขนาดนี้เล็กน้อย เพียงแต่เขาสนับสนุนทุกความคิดของลูกชายมาโดยตลอด ดังนั้นปากจึงชมลูกชายอย่างมาก ทว่าลับหลังกลับไม่กระตือรือร้นที่จะจัดการกิจการของตระกูลหลี่ที่ฝูเจี้ยนนัก จนกระทั่งมีราชโองการลงมา หลังจากเขาประหลาดใจมากไปแล้ว ตอนที่เริ่มจัดการกิจการของตระกูลหลี่อย่างเต็มกำลังก็มีอุปสรรคในด้านเวลาเป็นอย่างมาก
หลี่เชียนกังวลว่าจะจัดการเรื่องนี้ไม่เรียบร้อย จึงเข้ามาก้าวก่ายด้วยตนเองหลายครั้ง ถึงได้รู้ว่าตอนแรกบิดาไม่ได้ลงมืออย่างเต็มที่ และตอนหลังก็ให้เหอหย่งเจี๋ยพี่น้องของคนแซ่เหอแม่เลี้ยงของเขาช่วย เพื่อให้ความกระจ่างกับเขาอย่างเร็วที่สุด
เหอหย่งเจี๋ยผู้นี้คนตระกูลหลี่ต่างรู้ว่าเป็นคนซื่อสัตย์มากจริงๆ และทำอะไรก็ขยันขันแข็ง ข้อเสียคือทำอะไรจริงจังเกินไป หนึ่งคือหนึ่ง สองคือสอง ต้องพูดให้ชัดเจนทุกเรื่อง คนนี้เป็นนักบัญชีก็เป็นมือดีคนหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการกิจการของตระกูลหลี่ที่ฝูเจี้ยน
ตอนที่หลี่เชียนรู้ เหอหย่งเจี๋ยก็รับช่วงต่อแล้ว
เขาจึงทำได้เพียงกำชับหลี่ฉางชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลี่ฉางชิงก็รู้เช่นกันว่าตนเองเดินหมากไม่ดีอีกแล้ว จึงส่งหวังไหวอิ๋นไปอย่างกระอักกระอ่วนมาก
เวลานี้หวังไหวอิ๋นไปได้ยี่สิบวันแล้ว ทว่ายังไม่มีข่าวจากทางฝูเจี้ยน
หลี่เชียนนึกถึงเรื่องนี้ก็จนใจเล็กน้อย เขาเคยเอ่ยกับเซี่ยหยวนซีว่า “ท่านลุงเหอเป็นคนเช่นไร ท่านพ่อจะไม่รู้ได้อย่างไร สุดท้ายแล้วก็ยังเสียดายกิจการเล็กน้อยนั้น”
เวลานี้หลี่เชียนเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เซี่ยหยวนซีรู้ว่าเขารู้สึกร้อนใจเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว! ข้าจะลองไปถามใต้เท้าเดี๋ยวนี้ ดูว่าหวังไหวอิ๋นมีข่าวหรือไม่”
หลี่เชียนพยักหน้าอย่างไม่สบายใจนัก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการกลับซานซีก็ไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นแล้วเช่นกัน
เขาถามเซี่ยหยวนซี “เจ้าเคยคิดที่แต่งงานใหม่หรือไม่?”
ภรรยากับลูกสาวของเซี่ยหยวนซีต่างตายตอนที่พวกโจรสลัดญี่ปุ่นขึ้นฝั่งมาปล้นฆ่า หลายปีมานี้เซี่ยหยวนซีใช้ชีวิตอย่างสงบและลดความอยากมาตลอด
เขาได้ยินก็อดที่จะเดินไปข้างราวไม่ได้ เขามองน้ำในทะเลสาบคุนหมิงแล้วหรี่ตา สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “ไม่รู้สิ…ตระกูลเซี่ยเหลือแต่ข้าแล้ว ข้าต้องมีลูกสืบสกุลอย่างแน่นอน แต่หาใครอีกคน…ข้าไม่คิดแม้แต่นิดเดียว…ไม่อยากลืมนาง แล้วก็ไม่อยากลืมลูกด้วย…ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นแบบนี้ต่อไปอายุยิ่งมากขึ้นก็ยิ่งมีลูกยากขึ้น…ข้าก็อยากทนอยู่แบบนี้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองกำลังทนอะไรอยู่บ้างกันแน่…”
หลี่เชียนไม่เอ่ยสิ่งใด
เขารู้สึกว่าคำว่า ‘ทน’ ของเซี่ยหยวนซีพูดโดนส่วนลึกในใจของเขา
เช้าวันนี้บิดาของเขายังเสียดายที่เขาไม่ได้แต่งงานกับคุณหนูใหญ่แห่งจวนเป่ยติ้งโหว แต่ตัวเขากลับโล่งอก…แล้วก็รู้สึกตนเองเป็นแบบนี้ก็ดีมากเช่นกัน จึงไม่อยากแต่งงาน…ทั้งที่รู้ดีว่าเขาเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก ลูกที่เขาให้กำเนิดถึงจะเป็นสายตรงของตระกูลหลี่ เขาควรจะรีบแต่งงาน และสืบทอดสายเลือดของบรรพบุรุษให้ตระกูลหลี่ แต่เขาไม่อยาก…เขาอยากทนอยู่คนเดียวแบบนี้ ทนจนตนเองทนต่อไปไม่ได้แล้ว ทนจนตระกูลหลี่ก็รอไม่ไหวอีกแล้วเหมือนกัน บางทีเขาอาจจะอยากแต่งงานมีลูกก็ได้!
เวลานี้เขาพลันรู้สึกสนิทกับเซี่ยหยวนซีขึ้นมาในทันใดอย่างบอกไม่ถูกอย่างคนหัวอกเดียวกัน มีศัตรูร่วมกัน และสมรู้ร่วมคิดกัน
“ไป!” หลี่เชียนตบบ่าของเซี่ยหยวนซีเสียงดัง “วันนี้หนาวขนาดนี้ ต้องดื่มสุรา พวกเราไปกัน!”
——————