มู่หนานจือ - บทที่ 197 รับราชโองการ
หลี่เชียนเคยคิดว่าตระกูลเจียงจะจำใจให้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับเขา เคยคิดว่าเจียงเซี่ยนจะทนเห็นตนเองลำบากอีกไม่ได้และขอตามเขากลับซานซีเอง เคยคิดว่าบั้นปลายชีวิตเขาอาจจะยอมก้มศีรษะให้ตระกูลเจียงเพราะเรื่องของเจียงเซี่ยน แต่เขาไม่เคยคิดฝันว่า เรื่องราวยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น นึกไม่ถึงว่าไทฮองไทเฮาจะพระราชทานงานสมรสให้เขา ให้เขาแต่งงานเป็นสามีภรรยากับเจียงเซี่ยน!
เขาเป็นคนที่ไม่กลัวผีและเทวดาและไม่นับถือพระพุทธเจ้า!
ทว่าเวลานี้เขาอดที่จะขอบคุณเทวดาและพระพุทธเจ้าทั่วทั้งท้องฟ้าอย่างจริงจังในใจไม่ได้ ขอบคุณที่พวกเขายืนอยู่ข้างเขาในเวลานี้ ทำให้ความหลงใหลของเขาสมปรารถนา
หลี่เชียนปิดตา และไม่เงยหน้านานมาก
เฉาเซวียนอ่านราชโองการ พลางถอนหายใจในใจ
หลี่เชียน…ก็น่าจะชอบเจียงเซี่ยนมากเหมือนกันกระมัง?
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตื่นเต้นแบบนี้
แต่ความชอบแบบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน?
หลี่เชียนไม่ยอมอยู่ใต้คนอื่น ทั้งสองตระกูลถูกกำหนดให้แข่งกันว่าใครจะเก่งกว่ากันในราชสำนัก แล้วสิ่งที่ตัดสินใจตอนอยู่ในวัยเลือดร้อนจะอยู่ไปได้นานแค่ไหนกัน?
ตอนที่เขาอ่านราชโองการจบ เสียงก็อดที่จะนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ “หลี่เชียน ลุกขึ้นมารับราชโองการเถอะ!”
“ขอบคุณมาก! ขอบคุณมาก!” หลี่เชียนเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาแดงก่ำ พลางพึมพำขอบคุณเขา และรับราชโองการไปอย่างนอบน้อม จนลืมขอบคุณ
เฉาเซวียนยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้เตือนเขาเช่นกัน
พวกจงเทียนอี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มดีใจออกแล้ว ทว่าตอนที่อยากกระโดดขึ้นมาโห่ร้องอย่างดีใจนั้น อวิ๋นหลินกลับรีบทำสัญญาณมือห้ามไว้
ทุกคนถึงเห็นว่าสีหน้าของเจียงลวี่ดำเหมือนก้นหม้อ
หลี่เชียนยังไม่รู้ และยังคงเอ่ยกับเฉาเซวียนอย่างรู้สึกตื่นเต้นอยู่ตรงนั้นว่า “วันนี้ขอบคุณท่านมากจริงๆ วันนี้ท่านเป็นทูตของฝ่าบาท มารยาทไม่อาจละทิ้งได้ เดี๋ยวต้องดื่มกับข้าสักสองสามจอก…”
เฉาเซวียนยิ้มพลางพยักหน้า
หลี่เชียนก็หันหน้าไปหาเจียงลวี่ อยากชวนเขาไปดื่มด้วยกันสักสองสามจอกเช่นกัน…ในใจเขา เวลานี้เจียงลวี่เป็นพี่ชายของภรรยาของเขาแล้ว
สีหน้าของเจียงลวี่ยิ่งดูแย่
เขาไม่มองหลี่เชียนแม้แต่นิดเดียว เอ่ยกับเฉาเซวียนด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ข้าจะไปดูเจียหนานหน่อย” และสาวเท้าไปทางเรือนด้านในทันที
หลี่เชียนยังกล้าให้นักยิงหน้าไม้เล็งเจียงลวี่ที่ไหนกัน เขารีบทำสัญญาณมือ นักยิงหน้าไม้เหล่านั้นก็ถอยไปเหมือนกระแสน้ำทันที และเปิดทางสู่ห้องโถงตรงประตูใหญ่
เจียงลวี่โกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง
เจ้าเด็กนี่…ช่างกำเริบเสิบสานจริงๆ!
สักวันหนึ่งเขาจะจับเจ้าหมอนี่มาซ้อมให้หนัก
เจียงลวี่เข้าไปในเรือนด้านในอย่างโมโห และเห็นเจียงเซี่ยนกำลังยืนรอเขาอยู่ใต้ค้างองุ่นในลาน
ตอนนี้เป็นเดือนสี่พอดี ถึงแม้อากาศหนาวในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้จะนานมาก แต่พออากาศหนาวไป ไม่นานอากาศก็อบอุ่นขึ้น บนเถาวัลย์เก่าสีน้ำตาลแห้งเหี่ยวเต็มไปด้วยหน่ออ่อนๆ สีเขียว แสงแดดที่สว่างไสวและสวยงามทะลุผ่านค้างองุ่นมาสาดลงบนตัวของเจียงเซี่ยน ใบหน้าของนางขาวสะอาดมาก สายตาสงบนิ่งและเยือกเย็น ราวกับอวี้หลานสีขาวที่บานสะพรั่งอยู่บนกิ่งไม้อย่างเงียบเชียบท่ามกลางทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิ
ความโกรธของเจียงลวี่ก็หายไปจนหมดสิ้นทันที
เขาค่อยๆ เดินไปหา และถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เป่าหนิง เจ้าเด็กนั่นมีอะไรดี?”
ตอนที่เฉาเซวียนออกมาอ่านราชโองการ เจียงลวี่ก็รู้แล้วว่านี่เป็นสิ่งที่เจียงเซี่ยนน้องสาวของเขาเลือกเอง ไม่อย่างนั้นเฉาเซวียนก็คงจะไม่ยืนกรานที่จะพบเจียงเซี่ยนก่อนที่จะประกาศราชโองการ ไม่อย่างนั้นหวังจ้านก็คงจะไม่ส่งจ้าวเซี่ยวกลับเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นจ้าวเซี่ยวก็คงจะไม่บอกหลี่เชียนที่เขาไม่ได้สนิทสนมอะไรว่าตัดขาดความเป็นเพื่อนอย่างเด็ดขาด
ทว่าทำไมน้องสาวของเขาถึงเลือกหลี่เชียนเป็นสามี?
แม้แต่จ้าวเซี่ยวก็ถูกเลือกเพียงเพราะอายุเหมาะสมกับน้องสาวของเขาเช่นกัน…แล้วหลี่เชียนเอาอะไรมาเทียบกับจ้าวเซี่ยว?
สีหน้าไม่สบอารมณ์ของเจียงลวี่นั้น เหมือนเด็กที่ถูกแย่งของเล่นไป
เจียงเซี่ยงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ นางชี้ม้าหินที่ปูเบาะรองนั่งหนาๆ เอาไว้ใต้ค้างองุ่นพลางชวนเขานั่งลง และรินชาให้เจียงลวี่ด้วยตนเอง ถึงจะค่อยๆ เอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีอะไรดี?”
นี่เป็นคำพูดจากใจจริง
หากนางรู้ว่าหลี่เชียนมีอะไรดีกันแน่ นางก็สามารถหาสามีสักคนตามข้อดีของหลี่เชียนได้แล้ว
เช่นนั้นนางก็สามารถอยู่ต่อหน้าสามีของตนเองได้เหมือนที่อยู่ต่อหน้าหลี่เชียน ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะมีความสุขเล็กๆ ในใจ แม้จะทะเลาะกันก็ไม่ได้โกรธจริงๆ และที่สำคัญที่สุดคือ นางไม่ต้องกังวลว่าสักวันหนึ่งหลี่เชียนจะทอดทิ้งนางเพื่อตระกูลหลี่
นางก้มหน้าดื่มชา ในดวงตาเต็มไปด้วยความงุนงงและไม่รู้จะทำอย่างไรดี
มีความดีใจของผู้หญิงที่เพิ่งจะได้ออกเรือนที่ไหนกัน
เจียงลวี่เห็นแล้วก็ปวดใจ จนอดไม่ได้ที่จะจับมือของเจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “ผู้ชายของตระกูลเจียงของพวกเราจะทำสงครามเพื่อแคว้นอยู่ข้างนอกไปเพื่ออะไร? หากปกป้องผู้หญิงไม่ได้สักคน ก็ออกจากกองทัพและกลับบ้านเกิดมาเป็นชาวบ้านธรรมดาดีกว่า เพียงแค่เจ้าบอกว่าไม่ต้องการ ราชโองการฉบับนั้นก็จะเป็นเรื่องเหลวไหล และพี่จะพาเจ้าไปเดี๋ยวนี้…”
เจียงเซี่ยนหัวเราะลั่น
นางนึกถึงชาติก่อน นางเป็นฮองเฮาได้ไม่นาน เจียงลวี่ก็ทะเลาะวิวาทกับจ้าวอี้หลายครั้ง
ตอนนั้นนางแค่รู้สึกว่าเจียงลวี่แปลกมาก เวลานี้คิดดูแล้ว ตอนนั้นเขาต้องรู้เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของจ้าวอี้กับคนสกุลฟางแล้วอย่างแน่นอน แต่ติดที่ว่านางได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นฮองเฮาแล้ว จึงทำได้เพียงใช้วิธีผิวเผินแบบนี้เตือนจ้าวอี้อย่างจนใจ
“ท่านพี่!” นางมองเจียงลวี่ นัยน์ตาที่อมยิ้มนั้นสดใส อ่อนโยน และอดทน แวววาวเหมือนดวงดาว “หากหลี่เชียนกล้าตอบโต้ ตอนที่ท่านซ้อมเขา ข้าจะให้เขาคุกเข่าดีดลูกคิด”
เจียงลวี่ไม่เชื่อเด็ดขาด
หากไม่พอใจมาก ทำไมนางถึงเลือกหลี่เชียนเป็นสามี
ถึงเวลานั้นหากเขาซ้อมหลี่เชียนขึ้นมาจริงๆ ยัยหนูนี่ยังไม่รู้ว่าจะปกป้องหลี่เชียนอย่างไรเลย!
แค่ดูจากที่นางตามหลี่เชียนมาถึงซานซีอย่างเงียบๆ ก็รู้แล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะดึงเจียงเซี่ยนขึ้นมาทันที และมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “หลี่เชียน รังแกเจ้าหรือเปล่า?”
ถึงอย่างไรเจียงเซี่ยนก็ไม่ใช่เด็กสาวที่อายุสิบห้าปีเต็มจริงๆ พอได้ยินก็หน้าแดง และจ้องเจียงลวี่พลางเอ่ยว่า “เขากล้าหรือ”
ท่าทางนั้นเหมือนผู้หญิงที่ดุมาก
ทว่าเจียงลวี่กลับพยักหน้าอย่างพอใจ และกำชับนางเสียงเบา “เจ้าไม่ต้องกลัวเขา หากเขากล้าเสียมารยาทกับเจ้า เจ้าก็ทะเลาะกับเขาให้เต็มที่ เจ้ากับเขาเป็นคู่ครองที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ เขาไม่กล้าปลดเจ้า ไว้ทะเลาะกันรุนแรงแล้ว ก็เขียนจดหมายมาหาข้า ข้าจะรับเจ้ากลับมาอยู่จวนองค์หญิงที่เมืองหลวง เมืองหลวงเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเจียงของพวกเรา ต่อให้เขาเลือกมังกรมาแล้วก็ต้องจัดการใส่งูให้ข้าอยู่ดี อย่าว่าแต่ลอบบุกจวนองค์หญิงเลย ต่อให้ลอบบุกจวนเจิ้นกั๋วกง ถึงเวลานั้นข้าก็มีวิธีทำให้เขารับไม่ไหวเช่นกัน”
“แล้วข้าค่อยเลี้ยงนักแสดงงิ้วให้เจ้าสักคณะ สร้างเรือนที่ทิวทัศน์แตกต่างกันสักสองสามเรือน เจ้าก็ดูงิ้วและเที่ยวเล่นฆ่าเวลาในเมืองหลวง”
“ถึงจะมีลูกก็ไม่ต้องกลัวเช่นกัน”
“ตระกูลหลี่ของพวกเขาไม่ยอมรับตระกูลเจียงของพวกเรายอมรับ”
“ก็เลี้ยงไว้ใต้ชื่อของข้า”
“ถึงอย่างไรตระกูลเจียงก็มีลูกหลานน้อยนิด ถึงเวลานั้นอาจจะเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ได้ ตระกูลเจียงของพวกเราก็ถือว่ามีคนสืบทอดแล้ว…”
นี่ทำให้หลี่เชียนที่มาชวนเจียงลวี่ไปดื่มเหล้าด้วยกันด้วยตนเองได้ยินแล้วหน้าตาเคร่งขรึม
มีพี่ชายของภรรยาแบบนี้ด้วยหรือ?
เขายังไม่ได้แต่งงานกับน้องสาวของเจียงลวี่ เจียงลวี่ก็ยุให้น้องสาวของตนเองเลี้ยงนายบำเรอแล้ว…
เจียงเซี่ยนก็ยิ่งเกินไปแล้ว นางไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและตวาดด่าเสียงดัง ทว่ายังยิ้มเหมือนดอกไม้ ไม่รู้ว่ามีความสุขแค่ไหน
นางคงจะไม่ได้คิดแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?
ทันใดนั้นหลี่เชียนก็รู้สึกว่ามีเมฆดำก้อนหนึ่งอยู่เหนือศีรษะของตนเอง และอาจจะร่วงลงมาทับเขาตายได้ตลอดเวลา
“ท่านกั๋วกงน้อย!” เขาตะโกนเสียงดังแทรกคำพูดของเจียงลวี่ “ข้าจัดอาหารมังสวิรัติไว้โต๊ะหนึ่งแล้ว เฉิงเอินกงกำลังรอท่านไปดื่มด้วยกัน!”
เขาพูดอยู่ แต่สายตากลับมองไปที่เจียงเซี่ยนอย่างไม่อาจห้ามได้
อาจจะเป็นเพราะหัวเราะลั่นไป หน้าของนางจึงแดง และดวงตาแวววาว เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนที่ซีดเซียวและหม่นหมอง ทำให้เขาเห็นแล้วก็อุ่นใจ จนอยากจะเข้าไปกอดนางและหมุนรอบลานสักสองสามรอบ แล้วตะโกนบอกนางว่า ‘ตั้งแต่นี้ไปพวกเราก็ไม่ต้องแยกจากกันอีกแล้ว’