มู่หนานจือ - บทที่ 290 อาหารเย็น
เจียงเซี่ยนอดที่จะเป็นห่วงหลี่ฉางชิงมากไม่ได้
เขาเพิ่งจะสั่งสอนภรรยาจบ หญิงรับใช้ในบ้านก็สามารถสืบข่าวได้แล้ว และสั่งสอนอะไรบ้างก็รู้หมด…นึกถึงตอนที่นางอยู่ในวัง ไม่ต้องพูดถึงว่าเหล่าชนชั้นสูงพูดอะไรบ้าง กระทั่งตอนเที่ยงกินอะไรไปบ้างนั้นก็สืบไม่ได้ด้วยซ้ำ หากใครปิดบังแม้แต่เรื่องพวกนี้ของตนเองไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวังต่อไปเช่นกัน
เรือนด้านหลังของตระกูลหลี่กลายเป็นกระด้งไปตั้งนานแล้วกระมัง?!
ทว่าถึงตอนที่รับประทานอาหารเย็น นางกลับได้เจอฮูหยินเหอที่ว่ากันว่าถูก ‘กักบริเวณ’
ฮูหยินเหอยิ้มให้นางอย่างฝืนใจมาก หน้าตายากที่จะปิดบังความเหนื่อยล้าอันล้ำลึกและความกระอักกระอ่วนอันเบาบางได้
จะเห็นได้ว่าต่อให้ฮูหยินเหอไม่ถูกกักบริเวณ ก็ใช้ชีวิตไม่ค่อยสุขสบายนักเช่นกัน
นี่ทำให้เจียงเซี่ยนนึกถึงเหล่าสนมที่ถูกเซี่ยวจงกับฮ่องเต้องค์ก่อนเมินเฉย และนับวันเวลาทุกวันอย่างไร้ความหวัง
นางยิ้มให้ฮูหยินเหออย่างหวังดี
ฮูหยินเหอน้ำตาคลอเบ้าในทันใด นางหันหน้าไปอย่างเร็วมาก และสั่งสาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมหังไม่มีลายสีเขียวขจีคนหนึ่งข้างกายว่า “เสี่ยวฮุ่ย ให้พวกแม่นมเฉิงนำอาหารมาเถอะ!”
สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวฮุ่ยคารวะอย่างนอบน้อม และถอยออกไป
ฮูหยินเหอก็เอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านชอบกินอะไร ข้าจึงให้คนครัวต่างทำอาหารที่พวกเขาถนัดมาคนละอย่าง ท่านค่อยๆ ชิม หากรู้สึกว่าอร่อยก็จำไว้ ครั้งหน้าก็ให้พวกเขาทำอีก หากรู้สึกว่าไม่อร่อยก็บอกคนครัวสักคำ ต่อไปก็เอาอาหารนั้นออกจากรายการอาหาร…”
เช่นนั้นรสชาติอาหารของตระกูลหลี่ก็จะทำตามความชอบของนางหมดไม่ใช่หรือ?
จะทำแบบนั้นได้อย่างไร?
นางเติบโตในวังตั้งแต่เด็ก และรับประทานอาหารร่วมกับไทฮองไทเฮา จึงติดนิสัยที่ต้องการแค่บำรุงร่างกายไม่ต้องการรสชาติแล้ว ขอเพียงเป็นผลดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะต้มน้ำหรือผสมเกลือ นางก็กินลงไปได้ทั้งนั้น จึงสูญเสียการแสวงหารสชาติไปตั้งนานแล้ว
และสาเหตุที่พวกอาหารจานเด็ดที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานสามารถทำให้ทุกคนชื่นชมได้ ก็ยังเป็นเพราะมีรสชาติดีมากด้วย
อาหารของตระกูลหลี่ล้วนเป็นความชอบของนาง จะทำอาหารที่ทำให้คนชื่นชมออกมาได้อย่างไร
นี่ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของตระกูลขุนนางเป็นอย่างมาก
เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อาหารที่ทุกคนชอบต่างไม่เหมือนกัน จะทำตามรสชาติของข้าได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นข้าเติบโตในวังตั้งแต่เด็ก มีเพียงรสชาติเดียว ข้ารู้สึกว่าอร่อย คนอื่นอาจจะไม่ชอบก็ได้ ฮูหยินให้ข้าค่อยๆ ลองกินอาหารที่ถนัดที่สุดของคนครัวรอบหนึ่ง ถึงข้าจะคิดว่าดีมาก ก็ไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มหรือลดรายการอาหารตามรสชาติของข้า”
ฮูหยินเหอดูเหมือนแปลกใจกับข้อแก้ต่างของนางมาก จึงมองนางนานมาก ถึงจะเอ่ยว่า “มิน่าเล่าใต้เท้าถึงให้ข้าเชื่อฟังท่านหญิงทุกอย่าง ท่านหญิงสมกับที่ออกมาจากในวัง แม้จะอายุยังน้อย ทว่าทำอะไรเชื่อถือได้และสุขุม หากเป็นบุตรสาวจากตระกูลขุนนางหรือตระกูลที่มั่งคั่งคนอื่น ต่อให้ไม่คุยโวโอ้อวดสิ่งที่ตนเองเคยกิน ก็จะแนะนำและวิจารณ์อาหารมากมายที่ตนเองเคยกินเล็กน้อยอยู่ดี แต่ท่านหญิงกลับพูดแต่ความจริง”
“เสียดายที่เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน”
“ใต้เท้าเป็นคนสั่งลงมา”
“บอกว่าท่านเติบโตในวังฉือหนิง มีของหายากและแปลกประหลาดอะไรที่ไม่เคยเห็นและไม่เคยกิน หากแม้แต่ท่านยังชอบ นั่นต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน…”
เจียงเซี่ยนอับอายจนเหงื่อตก
คิดว่าหลี่ฉางชิงก็เป็นอีกคนที่พ่ายแพ้ให้แก่ข่าวลือ
ความจริงแล้วชีวิตในวังยังเทียบพวกพ่อค้าใหญ่ข้างนอกไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ
ห้องไม่เพียงแต่แคบ ทว่าส่วนใหญ่ยังล้วนหันไปในทิศทางที่ไม่ดี หลายปีมานี้เพราะท้องพระคลังว่างเปล่ามักจะไม่สามารถซ่อมแซมได้ทันเวลา บางครั้งเหล่านางในกับขันทีต่อสู้กันหลายปีขนาดนั้นก็เพื่อจะได้อยู่ห้องข้างที่ดีหน่อย จะได้เห็นแสงแดดส่องเข้ามาในที่ของตนเองในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ
แต่เรื่องพวกนี้ ต่อให้นางบอกหลี่ฉางชิง หลี่ฉางชิงก็คงจะไม่เข้าใจอยู่ดี
นางจึงเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นก็ตามที่ฮูหยินว่า หากเจอของที่ข้าไม่ชอบกิน ข้าจะบอกคนครัว”
ฮูหยินเหอยิ้มพลางขานว่า “ได้” แลดูโล่งอก
แบบนี้ฮูหยินเหอต้องใช้ชีวิตอย่างอึดอัดแค่ไหนกัน!
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วยังเสียใจแทนนาง
ทว่าฮูหยินเหอไม่ใส่ใจ และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “คุณชายใหญ่ยังหาหญิงรับใช้มาคนหนึ่งที่แซ่หนิงและเชี่ยวชาญการทำอาหารที่ตุ๋นยาจีนมาก นางถูกคุณชายใหญ่จัดไว้ที่เรือนตะวันตก ห้องเล็กขนาดสองห้องหลังห้องหลักของท่านสามารถทำห้องครัวเล็กห้องหนึ่งได้พอดี ต่อไปหากท่านรู้สึกว่าอาหารทางนี้ไม่อร่อย ก็รับประทานอาหารในห้องครัวเล็กของท่านเองแล้วกัน ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่โดยเฉพาะ”
สำหรับเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงการกินการนอนของตนเองแบบนี้ เจียงเซี่ยนไม่เคยจะเกรงใจเลย
นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ได้” และฟังฮูหยินเหอพูดจ้อต่อ
หลี่ตงจื้อที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางทนไม่ไหว จึงเตะน่องของมารดาตนเองเบาๆ
เสียดายที่ฮูหยินเหอไม่สังเกตเห็นการกระทำลับๆ ล่อๆ ของลูกสาวสักนิด ครั้งที่สามที่หลี่ตงจื้อเตะน่องของมารดาตนเอง ในที่สุดฮูหยินเหอก็สังเกตเห็น แต่กลับไม่เข้าใจเจตนาของหลี่ตงจื้อ จึงถลึงตาใส่หลี่ตงจื้ออย่างทั้งโกรธและโมโห แล้วคุยกับเจียงเซี่ยนต่อว่าซานซีมีอะไรอร่อยบ้าง
เจียงเซี่ยนยิ้มอย่างสุภาพ พลางฟังฮูหยินเหอพูด
หลี่ตงจื้อทั้งอายและโกรธ ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ รอจนอาหารเย็นขึ้นโต๊ะอย่างยากลำบาก ฮูหยินเหอถึงจะเงียบลง
เจียงเซี่ยนอดที่จะคิดไม่ได้ หรือว่าต่อไปนางจะอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินเหอแบบนี้ทุกวันดี ไม่คุยเรื่องกินก็คุยเรื่องการแต่งตัว?
แต่เรื่องพวกนี้เหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่นางถนัดเลย
ไม่รู้ว่าฮูหยินเหอจะผิดหวังหรือไม่
เจียงเซี่ยนกินอย่างขจัดความฟุ่มเฟือยทั้งหมดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเย็น นางจึงยิ่งกินได้น้อย
แต่มารยาทและการอบรมสั่งสอนบอกนางว่า นางไม่สามารถวางตะเกียบของตนเองลงก่อนฮูหยินเหอได้ จึงให้จุ้ยเอ๋อร์ตักน้ำแกงให้นาง ค่อยๆ ดื่ม พลางรอฮูหยินเหอ
หางตาของนางแฉลบผ่านหลี่ตงจื้อไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลี่ตงจื้อก็กำลังดื่มน้ำแกงเช่นกัน
นางเม้มปากและดึงหน้า เหมือนกำลังไม่สบอารมณ์
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าน่าสนใจมาก จึงยิ้มพลางมองนาง
ตอนแรกนางยังใช้ตะเกียบจิ้มชิ้นไก่ในถ้วยอย่างโกรธจัด ทว่าตอนที่นางรู้ว่าเจียงเซี่ยนกำลังมองนางอยู่ หน้าของนางก็แดงก่ำทันที เหมือนไม่รู้ว่าจะจับตะเกียบอย่างไรด้วยซ้ำ คีบอาหารอย่างหนึ่งก็ต้องคีบหลายครั้ง และก้มหน้ากินแต่อาหารที่อยู่ตรงหน้าตนเองอย่างเขินอายและขี้ขลาดมาก
ทำให้เจียงเซี่ยนนึกถึงผักกระเฉดที่นางปลูกตอนเด็กๆ
น้องสาวของหลี่เชียนคนนี้น่าสนใจมากทีเดียว
ความคิดแล่นผ่านไปในสมองของเจียงเซี่ยน นางอดไม่ได้ที่จะนั่งตัวตรงและยื่นคอมองออกไปข้างนอก
ห้องด้านนอก หลี่ฉางชิงกับเหล่าลูกชายของเขากำลังกินข้าวด้วยกัน
ตอนที่แม่แท้ๆ ของหลี่เชียนยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่หลี่ฉางชิงชอบที่สุดก็คือนั่งข้างโต๊ะและคุยเล่นกับภรรยาและลูกชายไปพลาง กินข้าวไปพลาง ทว่าเวลานี้พวกเขาต่างต้องรักษามารยาท ตอนที่กินข้าวห้ามพูด แม้แต่ดื่มน้ำแกงก็ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงออกมา
เขาไม่ชินเป็นอย่างมาก
แต่พอนึกถึงท่านหญิงเจียหนานที่อยู่หลังฉากกั้น เขาก็ยังอดทนได้
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่อยากอดทน
แบบนี้คนในครอบครัวกินข้าวด้วยกันก็ไม่สบายเกินไปแล้วเช่นกัน
แถมยังต้องแบ่งแยกชายหญิง
ทำไมไม่กินแยกโต๊ะกันตามธรรมเนียมของราชวงศ์โจว?
หรือว่าตระกูลอื่นก็รับประทานอาหารแบบนี้เหมือนกันอย่างนั้นหรือ?
นางตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะหาคนถามสักคน
และเวลาว่าง ให้ห้องครัวเล็กของนางทำอาหารให้นางกินจะดีที่สุด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็กินข้าวเสร็จอย่างอึดอัดเล็กน้อย และย้ายไปดื่มชาที่ห้องพักผ่อนข้างๆ
หลี่ฉางชิงก็ถามหลี่เชียนว่า “เจ้าเพิ่งจะแต่งงาน เรื่องที่เสฉวนก็ให้เซี่ยหยวนซีไปแทนเจ้าเถอะ! เจ้าอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่านหญิง ท่านหญิงจะได้คุ้นเคยกับการวางผังในบ้านเร็วหน่อย”
————————————-