มู่หนานจือ - บทที่ 292 ทะเลาะ
เจียงเซี่ยนยิ้มเล็กน้อยอย่างสุภาพและสนิทสนมมาก
หลี่หลินอึ้งไป
หลี่จี้เดินออกมาแล้ว และเรียกหลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนอย่างนอบน้อมว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่”
เจียงเซี่ยนจึงไม่มีเวลาสนใจหลี่หลินเช่นกัน นางยิ้มพลางพยักหน้าให้หลี่จี้
หลังจากนั้นหลี่จวีกับหลี่ตงจื้อก็เดินตามออกมาเช่นกัน
ทุกคนทักทายกันหน้าประตูห้องหลัก และกำลังจะแยกย้ายแล้ว
ทว่าผู้หญิงที่อายุประมาณสี่สิบปีกลับพาพวกหญิงรับใช้เดินมา พอเห็นพวกหลี่เชียน ก็รีบย่อตัวคารวะ
หลี่เชียนแนะนำให้เจียงเซี่ยนรู้จัก “ท่านนี้คือแม่นมเหมียว เมื่อก่อนเคยรับใช้ท่านแม่ ท่านพ่อจึงให้นางดูแลเรือนด้านใน”
ซึ่งก็คือหัวหน้าแม่บ้านของเรือนด้านใน
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง
แม่นมเหมียวรีบเรียกว่า “ท่านหญิง” อย่างเคารพนบนอบ
ฉิงเค่อเข้ามาตกรางวัลให้
แม่นมเหมียวขอบคุณติดกันหลายครั้ง
หลี่เชียนพาเจียงเซี่ยนเดินออกไปข้างนอก โดยไม่ได้ถามแม่นมเหมียวว่ามาทำไม
แม่นมเหมียวยืนอยู่ข้างๆ ใต้ชายคาอย่างนอบน้อม รอให้พวกเขาจากไป
ใครจะรู้ว่าพวกเขายังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินหลี่ฉางชิงที่อยู่ในเรือนหลักแผดเสียงว่า “เจ้ายังกล้าพูดอีก! เจ้ายังมีหน้าพูดอีก! หากไม่เห็นว่าสะใภ้ใหม่เพิ่งจะแต่งเข้ามา เห็นเจ้าไม่มากินข้าวและถามขึ้นมา ข้ายังต้องอธิบายพักหนึ่ง ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าออกมาด้วยซ้ำ…”
พวกหลี่หลินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
แต่หลี่เชียนกลับขมวดคิ้ว สีหน้าเขียวปัด และก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยจะไปที่ห้องหลัก
เจียงเซี่ยนรั้งเขาเอาไว้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องของผู้ใหญ่ พวกเราอย่าเข้าไปยุ่ง!” แล้วก็ออกแรงบีบหลี่เชียนทีหนึ่ง และมองพวกน้องชายกับน้องสาวของเขา
หลี่เชียนตั้งสติได้ และเอ่ยกับหลี่หลินอย่างเฉยชาว่า “พวกเรากลับไปเถอะ ท่านพ่อกับฮูหยินเหออาจจะมีเรื่องต้องคุยกัน”
ทุกคนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และตามหลี่เชียนออกไปจากเรือนหลัก
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป แล้วก็เห็นหลี่ตงจื้อที่ถูกแม่นมจูงอยู่หันกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
เด็กคนนี้อ่อนไหวจริงๆ!
นางคิดอยู่ในใจ และต่างคนต่างกลับเรือนกับพวกหลี่หลิน
หลี่เชียนสั่งให้คนไปสืบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลี่ฉางชิงและฮูหยินเหอ
เจียงเซี่ยนไม่สอดปากเพราะแค่ฟังคำพูดของเซียงเอ๋อร์เพียงฝ่ายเดียว นางให้สาวใช้ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกมาก็เห็นปิงเหอมารายงาน
ข่าวที่เขาสืบได้คล้ายกับเซียงเอ๋อร์ ทว่ารู้ละเอียดมากกว่าเซียงเอ๋อร์เล็กน้อย “…ฮูหยินเหอยังคงถูกกักบริเวณเช่นเดิม แต่สามารถออกมารับประทานอาหารกับท่านหญิงได้ทุกวันสามมื้อ เมื่อครู่หลังจากท่านกับท่านหญิงไป ใต้เท้าก็สั่งให้คนไปเรียกแม่นมเหมียวมา ให้แม่นมเหมียวดูแลเรื่องอาหารการกินภายในบ้านสองสามวันนี้ ฮูหยินได้ยินแล้วก็เอ่ยเรื่องแต่งงานของคุณชายรองขึ้นมาอีก ใต้เท้าจึงโมโหขอรับ”
เรื่องราวหลังจากนั้นไม่ต้องให้ปิงเหอบอก พวกเขาก็รู้แล้วเช่นกัน
หลี่เชียนโบกมือให้ปิงเหออย่างว้าวุ่นใจ
ปิงเหอถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
หลี่เชียนเอามือไพล่หลังและเดินกลับไปกลับมาในห้องหลายรอบ
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วเวียนศีรษะ จึงจำเป็นต้องเตือนเขาว่า “ดึกแล้ว เจ้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนเถอะ? พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าไปส่งพี่ใหญ่ของข้านะ!”
“อืม!” หลี่เชียนปากตอบ แต่เท้ากลับไม่ขยับ และกลับขึ้นไปบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ตรงข้ามเจียงเซี่ยนแทน เขานอนตะแคงลงบนหมอนอิงใบใหญ่และเอ่ยกับนางว่า “ท่านลุงใหญ่สกุลเหอเป็นคนซื่อสัตย์ ท่านพ่อก็ไม่ได้ไม่ชอบตระกูลของเขาเช่นกัน เพียงแต่ตั้งแต่ฮูหยินเหอแต่งมาตระกูลของพวกเรา ทำอะไรมักจะไม่มีลำดับความสำคัญและความด่วน ท่านพ่อคิดว่าตระกูลเหออาจจะไม่ค่อยใส่ใจกับการอบรมสั่งสอนลูกสาวนัก ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่จะให้อาจี้แต่งงานกับลูกสาวของตระกูลเหอ เสียดายที่อย่างไรฮูหยินเหอก็ไม่เข้าใจเหตุผลนี้ ถูกท่านป้าใหญ่ของตระกูลเหอมาร้องไห้ไม่กี่ครั้ง ก็ใจอ่อน และเปลี่ยนใจอีก และเริ่มเอะอะโวยวายจะให้ท่านพ่อตกลงเรื่องแต่งงานนี้ให้ได้ เดิมทีท่านพ่อยังไม่ค่อยเกลียดเรื่องนี้ ปรากฏว่านางทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ กลับทำให้ท่านพ่อยิ่งดูถูกตระกูลเหอ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมตกลงเรื่องแต่งงานนี้”
เจียงเซี่ยนฟังอยู่ก็หัวเราะตลอด
หลี่เชียนเห็นนางยิ้มออกมาสวยราวกับดอกไม้ เสียงเหมือนระฆังเงิน และมีความสุขมาก ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งใจมากขึ้น และยื่นมือไปจั๊กจี้นาง “เจ้าหัวเราะอะไร? ในบ้านสับสนวุ่นวายแบบนี้น่าขำมากหรือ? เจ้าอย่าลืมเชียว เจ้าเป็นสะใภ้ของตระกูลหลี่ คนอื่นหัวเราะเยาะตระกูลหลี่ ก็กำลังหัวเราะเยาะเจ้าด้วย…”
เจียงเซี่ยนคิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนจะนิสัยเหมือนเด็กแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าจะจั๊กจี้นาง
นางยิ้มพลางหลบไปที่มุมเตียงอุ่น แล้วเอ่ยว่า “ข้าหัวเราะเยาะเจ้าตอนไหน? เจ้าไม่มีเหตุผล วันนี้ข้ายังรั้งเจ้าเอาไว้ ไม่ให้ฮูหยินเหอเสียหน้าต่อหน้าคนรุ่นหลัง หากเจ้ายังกล้าตำหนิข้า ต่อไปข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว”
หลี่เชียนฉวยโอกาสย้ายโต๊ะอุ่นไปไว้ข้างๆ และกอดเจียงเซี่ยนที่ขดตัวอยู่ที่มุมเตียงอุ่นไว้ในอ้อมแขน
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางดิ้นและเอ่ยว่า “เจ้าห้ามจั๊กจี้ข้าอีก…”
“ไม่จั๊กจี้ ไม่จั๊กจี้!” เทียบกับแกล้งจนเจียงเซี่ยนหลบเลี่ยงเขา หลี่เชียนชอบให้เจียงเซี่ยนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาเหมือนแมวน้อยมากกว่า เขากลัวว่าเจียงเซี่ยนจะหัวเราะจนเจ็บหน้าอกตอนที่หายใจและไม่สบาย จึงลูบหลังของนางเบาๆ ช่วยให้นางหายใจสะดวก และเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเป่าหนิงของพวกเรารู้ความที่สุดแล้ว วันนี้หากไม่ใช่ว่าเจ้ารั้งข้าเอาไว้ ข้าจะต้องบุกเข้าไปอย่างแน่นอน”
ฝ่ามือของหลี่เชียนใหญ่มาก แข็งแรงและอบอุ่น ลูบหลังของนางเบาๆ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตนเองถูกให้ความสำคัญ สบายมาก
นางขี้เกียจจนไม่อยากขยับ จึงหนุนศีรษะบนบ่าของเขา และเอ่ยว่า “แต่วันนี้เจ้าก็รีบร้อนเกินไปหน่อยเช่นกัน หากไม่ใช่ว่าข้ารั้งเจ้าเอาไว้ เจ้าจะบุกเข้าไปหรือเปล่า!”
“อาจจะ!” หลี่เชียนก้มหน้าจูบขมับของนาง และเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ตอนนั้นข้าคิดว่าท่านพ่อก็ทำไม่ถูกเช่นกัน เจ้าไม่รู้ เมื่อก่อนท่านพ่อก็เป็นคนทำการเกษตร ตะโกนพูดเสียงดังจนชินแล้ว เวลานี้เปลี่ยนไปไม่น้อย ทว่าพอวู่วามขึ้นมาก็จะเริ่มแผดเสียงดัง ตอนอยู่ค่ายทหารไม่เป็นไร แต่ตอนนี้อยู่บ้าน พวกเราที่เป็นคนรุ่นหลังยังไม่ไปด้วยซ้ำ…” เขาเอ่ยพลางถอนหายใจและจูบเจียงเซี่ยนอีกครั้ง
เจียงเซี่ยนไม่อยากขยับ จึงปล่อยเขาไป และเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรน้องรองก็ยังอายุน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องรีบตอนนี้เช่นกัน เจ้าไปบอกท่านพ่อ น่าจะเลือกอย่างดีได้สักคน”
หากคุณหนูสกุลเหอนิสัยเหมือนกับฮูหยินเหอ นางก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน
ฮูหยินเหอคนเดียวก็พอให้นางปวดศีรษะแล้ว หากมีน้องสะใภ้แบบนี้มาอีกคน นางมีแต่ต้องหลบอยู่ในเรือนตะวันตกและไม่ออกไปแล้ว
นางไม่คิดที่จะรับช่วงต่อจากฮูหยินเหอไปจัดการเรื่องอาหารการกินภายในบ้าน เช่นนั้นก็ต้องหาน้องสะใภ้ที่มีความสามารถมาช่วยสักคนถึงจะใช้ได้
ดูเหมือนนางก็ต้องใช้ความคิดจัดการเรื่องแต่งงานของหลี่จี้เช่นกัน!
เจียงเซี่ยนรู้สึกเหนื่อยใจ
ทว่าหลี่เชียนกลับเหมือนจูบจนเสพติดแล้ว จากขมับมาถึงแก้ม แถมบางครั้งยังจะลงมาใกล้ปากนางด้วย
เจ้าคนสารเลวนี่…
เจียงเซี่ยนหน้าแดงและผลักหลี่เชียนออก “ยังไม่รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก บนตัวมีกลิ่นฝุ่นดิน”
“จริงหรือ?” หลี่เชียนยิ้มพลางมองนาง สายตาแวววาว
ไม่ใช่ว่าอายหรือ?
เจียงเซี่ยนผลักเขาลงจากเตียงอุ่น และเอ่ยว่า “รีบไป! รีบไป!”
หลี่เชียนหัวเราะเสียงดังและไปห้องน้ำ
กว่าความร้อนบนหน้าเจียงเซี่ยนจะหายไปก็นานมาก
ตอนกลางคืน ทั้งสองคนพิงอยู่บนเตียงเคียงข้างกันอ่านอะไรบางอย่าง
คนหนึ่งอ่านหนังสือนิยาย อีกคนอ่านสำเนาเอกสารราชการ
เงียบสงบไร้ซึ่งเสียงใด ทว่าก็อยู่ด้วยกันอย่างสงบและรักใคร่ปรองดองกันเช่นกัน
ตอนนอนยังคงเป็นเจียงเซี่ยนอยู่ข้างใน และหลี่เชียนอยู่ข้างนอกเช่นเดิม เจียงเซี่ยนนอนหงายอย่างเรียบร้อย หลี่เชียนตะแคงตัววางมือตรงเอวของนาง
เจียงเซี่ยนรู้สึกหนัก ดึงแขนของเขาออกหลายครั้ง เขาก็วางลงมาอีก สุดท้ายเจียงเซี่ยนง่วงมากจริงๆ จึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้แล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ตอนที่ลืมตา หลี่เชียนก็ไม่อยู่บนเตียงแล้ว
นางลุกขึ้นนั่งอย่างยังไม่ตื่นดี และถามฉิงเค่อที่แขวนม่านว่า “ท่านแม่ทัพไปไหนหรือ?”
ฉิงเค่อเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “ฟ้ายังไม่สว่างก็ไปขี่ม้าแล้วเจ้าค่ะ” และเอ่ยอีกว่า “ข้าสอบถามมาแล้ว ปิงเหอบอกว่า เมื่อก่อนพอท่านแม่ทัพตื่นก็จะออกไปขี่ม้าทุกเช้า ประมาณครึ่งชั่วยามก็จะกลับมาเจ้าค่ะ”
————————————