มู่หนานจือ - บทที่ 299 ว่างเปล่า
หลี่เชียนหลับตาอยู่ เหมือนเป็นสิ่งที่ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้ตัวหลังจากที่ถูกรบกวนและสะลึมสะลือในขณะที่หลับสนิท
ราวกับในความฝันก็คิดว่าจะต้องกล่อมเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนจึงให้อภัยหลี่เชียนทันที
นางเม้มปากยิ้ม และขดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของหลี่เชียน หาตำแหน่งที่สบาย ไม่นานก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน
ตาซ้ายของหลี่เชียนค่อยๆ แง้มขึ้น
เห็นเจียงเซี่ยนหายใจยาวเหยียดและสม่ำเสมอในอ้อมแขน เขาก็กระชับแขน
เจียงเซี่ยนส่งเสียงเบาๆ เล็กน้อย และเข้าใกล้เขามากขึ้น
หลี่เชียนหัวเราะออกมาอย่างเงียบๆ
วันรุ่งขึ้น ตอนที่เจียงเซี่ยนตื่นมาก็พบว่าตนเองถูกหลี่เชียนกอดอยู่ในอ้อมแขนแน่นเหมือนหมอนอิงใบใหญ่
นางอดไม่ได้ที่จะกัดปาก และขยับอย่างแผ่วเบา คิดว่าจะมุดออกมาจากอ้อมแขนของหลี่เชียน
ใครจะรู้ว่าพอนางขยับ หลี่เชียนก็ตื่นทันที
เขาพึมพำอย่างยังไม่ตื่นดีว่า “เจ้าตื่นแล้วหรือ” แล้วก็ปล่อยนาง และพลิกตัวนอนหงายบนเตียง พาดแขนบังดวงตา เหมือนนอนไม่ค่อยหลับ และสมองยังไม่ปลอดโปร่ง
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก และเอ่ยว่า “อืม” อย่างขอไปที
หลี่เชียนเอ่ยว่า “ข้าจะนอนอีกครึ่งชั่วโมง เจ้าอย่าลืมปลุกข้า”
ท่าทางเหนื่อยมาก
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “อืม” อีกครั้ง แต่มือกลับลูบหน้าผากของเขาอย่างอดไม่ได้ และเอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ปกติเขามักจะตื่นไปขี่ม้าแต่เช้าเสมอ
“ไม่ได้ไม่สบายตรงไหน!” หลี่เชียนตอบ แล้วเบิกตาโตมองนางอย่างแน่วแน่ ตัวเหมือนค่อยๆ ตื่น ดวงตาสดใสขึ้นเล็กน้อย “แค่วันนี้อยากนอนตื่นสาย” ทว่าเขาพูดอยู่ก็กลับลุกขึ้นมานั่ง “เพียงแต่ตอนนี้เห็นเจ้าตื่นแล้ว ก็ไม่อยากนอนแล้ว” และเอ่ยอีกว่า “เช้านี้เจ้าจะไปเรือนจิ่วซือกับข้าหรือไม่? เจ้าต้องสั่งหลิวตงเยว่สักหน่อยหรือเปล่า?”
เรือนตะวันตกมีห้องหนังสือสองห้อง
ห้องหนึ่งอยู่ที่ห้องที่อยู่ตรงข้ามห้องหลักของส่วนแรก ตั้งชื่อว่า ‘จิ่วซือ’ เป็นสถานที่ที่ปกติหลี่เชียนจะจัดการงาน อีกห้องหนึ่งอยู่ในเรือนหลักของส่วนที่สอง ตั้งชื่อว่า ‘เรือนซื่ออู๋’ เป็นสถานที่ที่หลี่เชียนจะอ่านและเขียนหนังสือ
นึกไม่ถึงว่าหลี่เชียนจะให้นางเข้าออกเรือนจิ่วซือ เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าอยู่นอกเหนือเหตุผล แต่ก็อยู่ในความคาดหมาย
ชาติก่อนเขาก็ไม่เกรงกลัวว่านางจะทำสิ่งใด
ในความคลุมเครือเผยให้เห็นความมั่นใจในตนเองที่กล้าหาญต่อตัวเขาเอง
ทุกครั้งที่หลี่เชียนที่เป็นแบบนี้ปรากฏตัวต่อหน้านาง นางมักจะอิจฉาริษยาต่างๆ นานา รู้สึกว่าเขาไร้ความเกรงกลัวและรับได้ทุกอย่าง เป็นขุนนางที่มีอำนาจบีบบังคับคนมากกว่านางที่เป็นไทเฮาเสียอีก...
วันนี้เขายังไม่ฝึกฝนจนตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากอย่างชาติก่อน ทว่าก็ใจกว้าง และมีรูปลักษณ์ของชาติก่อนแล้วเช่นกัน
เจียงเซี่ยนยิ้มเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วก็ไปที่เรือนจิ่วซือกับเขา
เรือนจิ่วซือเป็นห้องหนังสือที่ตกแต่งธรรมดา หากต้องบอกความแตกต่างสักจุดสองจุด ก็น่าจะเป็นซีฝู่ไห่ถังที่เลี้ยงอยู่ตรงประตูหลังแล้ว
“นึกไม่ถึงว่าที่เรือนของเจ้าจะเลี้ยงซีฝู่ไห่ถัง?” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างชื่นชมว่า “แถมยังเลี้ยงรอด และเลี้ยงได้ดีขนาดนี้ด้วย”
เจียงเซี่ยนวนรอบซีฝู่ไห่ถังที่เขียวชอุ่มและเจริญงอกงามรอบหนึ่ง
หลี่เชียนรับถ้วยชาที่สาวใช้ถือเข้ามาและใช้นิ้วมือแตะผนังถ้วยทดลองอุณหภูมิ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าชอบซีฝู่ไห่ถังหรือ? เช่นนั้นพวกเราก็ปลูกที่เรือนหลักสักสองสามต้นด้วยแล้วกัน?”
“ใครบอกกัน?” เจียงเซี่ยนยิ้มตาหยี รอยยิ้มสดใสและงดงามเหมือนอากาศดีในเดือนห้า “ซีฝู่ไห่ถังปลูกยาก หากไม่ปักชำและเติบโตอย่างอิสระแบบนี้ จะโตและสูงได้ถึงสามสี่ฉื่อ[1] ปลูกสองสามต้น จะไม่ยึดครองทั้งลานอย่างนั้นหรือ? ข้าจำได้ว่าข้างซีฝู่ไห่ถังในอุทยานหลวงยังต้องปลูกอวี้หลาน โบตั๋น และหอมหมื่นลี้ด้วย เรียกว่า ‘อวี้ถังฟู่กุ้ย[2]’” นางเอ่ยพลางมองไปรอบด้าน และเอ่ยอย่างผิดหวังว่า “ตรงนั้นมีต้นอวี้หลานต้นหนึ่ง แต่ไม่ได้ปลูกโบตั๋นกับหอมหมื่นลี้…”
หลี่เชียนเห็นอุณหภูมิของชาเหมาะสมแล้ว จึงยื่นถ้วยชาให้เจียงเซี่ยน ส่งสัญญาณให้นางดื่มชาสักอึกให้ชุ่มคอก่อน แล้วถึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่ข้าซื้อบ้านหลังนี้ซีฝู่ไห่ถังกับต้นอวี้หลานที่เจ้าเอ่ยก็ปลูกอยู่ที่นี่แล้ว ตรงนี้ยังมีที่อีกมากมาย ไว้ถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกเราค่อยปลูกโบตั๋นสองสามต้นและต้นหอมหมื่นลี้ต้นหนึ่งตรงนี้ก็ได้” แล้วก็ชี้โต๊ะหินกับม้าหินข้างซีฝู่ไห่ถัง และเอ่ยว่า “สร้างค้างองุ่นตรงนั้นอีก ในเรือนนี้ก็มีชีวิตชีวาแล้ว”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็อึ้งไป แล้วก็ยิ้มออกมาแทบจะทันที และเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้ว่าอันไหนคือซีฝู่ไห่ถังอันไหนคือต้นอวี้หลานหรือ?”
เวลานี้ปลายฤดูร้อนแล้ว ซีฝู่ไห่ถังกับต้นอวี้หลานต่างบานไปแล้ว เหลือเพียงใบไม้สีเขียวเป็นมันขลับ คนที่ไม่เคยตั้งใจสังเกตก็จำไม่ได้จริงๆ
หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะรู้จักต้นไม้พวกนั้นไปทำไม? ข้ารู้เพียงแค่ว่าต้นไม้พวกนั้นอายุเท่าไร? ทางไหนเป็นทิศตะวันออก ทางไหนเป็นทิศตะวันตก และไม่จำผิดตอนที่กรีธาทัพทำสงครามก็พอแล้ว”
พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่เห็นด้วยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตนเองถึงชอบคุยกับหลี่เชียน
ไม่ว่านางจะพูดอะไร หลี่เชียนก็จะไม่ถูกทำร้าย สิ่งที่มีเหตุผล เขายอมรับ สิ่งที่ไม่มีเหตุผล เขาโต้แย้ง ไม่เคยจะรู้สึกต่ำต้อยและขี้ขลาด เพราะข้อด้อยในด้านวงศ์ตระกูล ประสบการณ์ และความรู้ กระทั่งจะเสริมและชดเชยข้อบกพร่องในด้านวงศ์ตระกูลและความรู้ของตนเองอย่างเร็วมาก เพราะรู้ข้อบกพร่องของตนเอง
ก็เหมือนหยกก้อนหนึ่ง ยิ่งเจียระไนยิ่งแวววาว
ทำให้คนรู้สึกว่าเวลาอยู่กับเขา มักจะกระตือรือร้น และต่อให้มีอุปสรรค ก็จะผ่านไปอย่างเร็วมากเช่นกัน
ในชีวิตไม่มีคนและเรื่องที่น่าหวาดกลัว
หลี่เชียนที่เป็นแบบนี้ ทำให้เจียงเซี่ยนชอบมาก
เขาเหมือนแสงแดดที่ส่องเข้ามาในชีวิตที่เต็มไปด้วยความมืดมนของนาง
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงสั่งมั่วซั่ว?” เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงกับเขาอย่างกำเริบเสิบสานและไร้ความเกรงกลัวเหมือนชาติก่อน “แถมยังจะสร้างค้างองุ่นบนโต๊ะหินกับม้าหินอีก? โต๊ะหินกับม้าหินนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนที่เจ้าจะซื้อบ้านนี้ใช่หรือไม่?” นางเอ่ยพลางเดินไปชี้ที่ว่างที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะหินและม้าหิน แล้วเอ่ยว่า “ตรงนี้เดิมทีต้องปลูกต้นหอมหมื่นลี้อย่างแน่นอน ตอนหน้าร้อน ต้นหอมหมื่นลี้จะตั้งตรงสูงมากและแตกกิ่งก้านต่อกันเหมือนร่ม นั่งตรงนี้รับลมได้พอดี” แล้วก็ชี้ที่ที่ปลูกไผ่เขียวสองกอฝั่งตรงข้าม “ตรงนั้นเดิมทีต้องปลูกดอกโบตั๋นอย่างแน่นอน ตอนที่รับลมก็สามารถชมดอกไม้ได้พอดี”
หลี่เชียนไม่สนหรอกว่าตรงนั้นตรงนี้ปลูกอะไรบ้างกันแน่ เขาชอบคุยกับเจียงเซี่ยน ชอบมองสีหน้าตอนพูดของเจียงเซี่ยน เดี๋ยวก็เม้มปากยิ้ม เดี๋ยวก็มองเขาอย่างเจ้าเล่ห์ แก้มแดงก่ำ สดใส ร่าเริง และมีชีวิตชีวา ไม่ใช่ผู้หญิงซีดเซียวที่เหมือนใส่หน้ากากในวังฉือหนิงคนนั้น
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขานำมาให้นาง
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ อยากตามใจนางอีกนิดตามใจนางอีกหน่อย ทำให้นางมีชีวิตอยู่อย่างอิสระอีกนิดและมีความสุขอีกหน่อย…
เขาเดินไปตรงหน้าเจียงเซี่ยน และมองดวงตาที่เหมือนดำสนิทและสดใสของนางแวววาวและทอประกาย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตรงนี้ปลูกต้นหอมหมื่นลี้? ตรงนั้นปลูกดอกโบตั๋น?” เขาตื๊อนางไม่ปล่อย “ข้าว่า ข้างโต๊ะหินต่างหากที่ปลูกดอกโบตั๋น กอไผ่ตรงนั้นต่างหากที่ปลูกต้นหอมหมื่นลี้ ไม่อย่างนั้นทำไมเจ้าของบ้านเดิมถึงปลูกไผ่ตรงนั้น และวางโต๊ะหินตรงนี้…ต้นไม้ตัดแล้วจะเหลือตอไม้ แสดงว่าต้นหอมหมื่นลี้ที่เจ้าเอ่ยนั้นถอนรากถอนโคน ก็จะต้องทิ้งรูเอาไว้อย่างแน่นอน แทนที่จะต้องใช้ดินถมรูต้นไม้อีก สู้ปลูกไผ่สองสามต้นดีกว่าสะดวกกว่า”
“เจ้าพูดได้ไม่เลว!” เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาเคลื่อนย้ายเปลี่ยนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง เปล่งแสงระยิบระยับราวกับทางช้างเผือก “ตามหลักทั่วไปเป็นอย่างที่เจ้าว่า แต่ตอนนี้พวกเราพูดถึงการตกแต่งบ้าน! การตกแต่งบ้านก็ต้องเอ่ยถึงหยวนจื้อ[3] เจ้าไม่เห็นอย่างนั้นหรือ ว่าไผ่ปลูกอยู่ทางทิศตะวันออก โต๊ะหินกับม้าหินอยู่ทางทิศตะวันตก ตอนที่พระอาทิตย์ออกมาจะส่องไผ่ก่อน ตอนที่พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก แม้ไม่มีไผ่บัง พระอาทิตย์ตกกลับจะส่องไปที่โต๊ะหินนั้นตลอด…”
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องต้นหอมหมื่นลี้กับดอกโบตั๋นที่ไม่มีอยู่จริงเกินครึ่งชั่วยาม ลืมเรื่องที่จะเรียกหลิวตงเยว่มาพบไปเสียสนิท
———————————–
[1] 1 ฉื่อ = 10 นิ้ว ดังนั้น 3-4 ฉื่อ = 30-40 นิ้ว
[2] อวี้ถังฟู่กุ้ย ภาพวาดดอกอวี้หลาน ดอกไห่ถัง และดอกโบตั๋น
[3] หยวนจื้อ งานเขียนที่ว่าด้วยเรื่องการจัดสวนในสมัยโบราณของจีน