มู่หนานจือ - บทที่ 332 อาอวี๋
“แน่นอน!” ฮูหยินหลู่หมุนกำไลบนข้อมือ ทับทิมกับไพลินที่ฝังอยู่บนกำไลทองคำบริสุทธิ์เปล่งประกายระยิบระยับ “ข้าไปเมืองหลวงทุกฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ซื้อของเล็กน้อย และพบเพื่อนสนิทตอนที่เป็นสาว ถึงเวลานั้นท่านก็ไปกับข้าเถอะ! จะได้กลับไปเยี่ยมบ้านของท่านด้วย” นางพูดอยู่ สีหน้าก็ฉายแววลังเล และเอ่ยว่า “ท่านกลับเมืองหลวงได้หรือไม่?” เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย นางก็รู้สึกว่าตนเองพูดผิดแล้ว จึงรีบอธิบายด้วยสีหน้าสดใสว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าหมายความว่า ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ตอนเด็กๆ เพียงแค่ได้ยินคนบอกว่า หากองค์หญิงสร้างจวน ก็สามารถออกมาได้ตามใจชอบ แต่ต้องอยู่ในจวนองค์หญิง…”
เจียงเซี่ยนมองออกว่านางไม่รู้จริงๆ
“ข้าเป็นท่านหญิง ไม่ใช่องค์หญิงเสียหน่อย” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างหวังดีว่า “และถึงจะเป็นองค์หญิง ก็ไม่มีทางที่จะอยู่จวนองค์หญิงและไม่ออกมาเช่นกัน เพียงแต่อาศัยอยู่ในวังมานานแล้ว คนที่รู้จักส่วนใหญ่เป็นคนในวัง จะหาคนเที่ยว ส่วนใหญ่ก็หาคนที่ตนเองรู้จัก คนข้างนอกเห็นแล้วก็เหมือนองค์หญิงไม่เคยออกจากจวนเลย”
ฮูหยินหลู่ยิ้มพลางพยักหน้า อยากพูดทว่าก็หยุดไว้
ความจริงแล้วนางถามเรื่องในวังกับเจียงเซี่ยนมาก แต่ก็กลัวจะฝ่าฝืนข้อห้าม
เจียงเซี่ยนมองความคิดของนางออกทันที
เจียงเซี่ยนจึงหยิบเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ไม่สำคัญและคนในใต้หล้าไม่รู้มาเล่าให้ทุกคนฟังเองสักสองสามเรื่อง
ทุกคนต่างก็ตั้งหูฟังอย่างสนใจมาก และมองเจียงเซี่ยนอย่างสนิทสนมมากขึ้น
ไม่นาน ฮูหยินจวงกับฮูหยินเฉียนก็มาด้วยกัน
เจียงเซี่ยนจึงฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่องไปที่สรุปแล้วเครื่องประดับรูปใบแปะก๊วยเริ่มเป็นที่นิยมที่เจียงหนานหรือเริ่มเป็นที่นิยมที่เมืองหลวงกันแน่
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินจวงก็เป็นคนชอบแต่งตัวเช่นกัน พอเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ก็พูดได้อย่างฉะฉาน สุดท้ายยังเอ่ยว่า “พวกเจ้าต้องการอะไร บอกข้าได้เลย วันที่สิบเดือนนี้ข้าส่งแม่นมในตระกูลกลับไปส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ ตอนที่กลับมาจะได้เอาของมาให้พวกเจ้า”
ทุกคนต่างยิ้มและขอบคุณ แล้วบอกว่าหากนึกขึ้นได้ว่าจะเอาอะไร ค่อยรบกวนนาง และไม่มีใครถามเรื่องในวังกับเจียงเซี่ยนอีก
เจียงเซี่ยนยินดีนั่งฟังพวกนางคุยกันอยู่ข้างๆ
จนกระทั่งแขกมากันครบหมดแล้ว ตระกูลลู่จึงเริ่มตั้งโต๊ะ
พวกเด็กสาวอย่างติงหวั่นต่างก็ถูกเชิญไปรับประทานอาหารที่ห้องข้าง
นอกจากคุณหนูสองคนของตระกูลลู่ และคุณหนูสามซือแล้ว ยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่ดูอายุราวเจ็ดแปดขวบ สวมเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมหังที่ปักดอกโบตั๋นสีน้ำเงินอ่อน สวมสร้อยทองรูปก้อนเมฆทองคำบริสุทธิ์ แก้มกลม ตาโต ปากเล็กรูปกระจับ น่ารักเหมือนตุ๊กตา ทำให้เจียงเซี่ยนเห็นแล้วชอบ
ทว่าฮูหยินหลู่กลับจูงเด็กน้อยคนนั้นมาตรงหน้าเจียงเซี่ยนทันที และเอ่ยว่า “ท่านหญิง นี่คือเจ้าคนไม่ได้เรื่องได้ราวของพวกเรา อาอวี๋ ยังไม่รีบคารวะท่านหญิงอีก”
นางสั่งเด็กน้อยคนนั้น
ใบหน้าที่เดิมทียิ้มแย้มของเด็กน้อยสลดลงทันที แต่นางยังคงคารวะเจียงเซี่ยนอย่างเรียบร้อย
เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็ถอดกำไลทองคำบริสุทธิ์ฝังประดับด้วยขนนกกระเต็นสีฟ้าที่สวมอยู่บนมือออกมามอบเป็นของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกให้อาอวี๋
อาอวี๋รับอย่างเป็นธรรมชาติและเยือกเย็น แล้วขอบคุณนางอย่างเคารพนบนอบ
เจียงเซี่ยนก็ยิ่งชอบแล้ว
ทว่าติงหวั่นเห็นเจียงเซี่ยนมาคนเดียว ก็แปลกใจเล็กน้อย จึงรอจนอาอวี๋ไปยืนข้างๆ แล้ว ถึงถามเจียงเซี่ยนว่า “ทำไมไม่เห็นน้องหลี่กับพี่เหอ?”
เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย พวกนางจึงไม่ได้มากับข้า”
จริงๆ แล้วเจียงเซี่ยนรู้สึกว่าเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เด็กสาวสองคนที่เป็นตัวแทนตระกูลหลี่พบปะแขกที่มาเป็นครั้งแรกรับไม่ค่อยไหวแล้ว ต้องให้พวกนางพักหายใจสักหน่อย ไม่อย่างนั้นหากประหม่าเกินไป และเคร่งเครียดตลอดเวลา เกรงว่าเด็กสาวทั้งสองจะเกรงกลัวงานเลี้ยงแบบนี้ แต่ฮูหยินเหอกับป้าเหอกลับรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางรับมือสถานการณ์แบบนี้ได้ จึงไม่อยากมา
ติงหวั่นไม่ได้ซักไซ้
เพราะงานเลี้ยงของตระกูลลู่กะทันหันเกินไป หากก่อนหน้านี้มีแผนการอะไร ฮูหยินเหอกับป้าเหอมาไม่ได้ ก็ปกติมากเช่นกัน
ทุกคนนั่งลงตามลำดับความสำคัญ
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่ามีคนจับตามองนางอยู่ตลอดเวลา
นางหันกลับไปมองในทันใด
ใครจะรู้ว่ากลับชนเข้ากับสายตาของอาอวี๋
อาอวี๋รีบก้มหน้าลง
เจียงเซี่ยนงงมาก
หลังจากนั้นอาอวี๋ก็คอยจับตามองนางตลอด
นางคิดแล้ว ตอนที่ดื่มชาก็เรียกอาอวี๋มาตรงหน้า และถามอาอวี๋ด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อาอวี๋มีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า?”
ฮูหยินหลู่เบิกตาโตจ้องนาง เหมือนหากเจ้าบอกสาเหตุไม่ได้ระวังข้าจะจัดการเจ้า
อาอวี๋ทำหน้ามุ่ยมากขึ้นแล้ว
เจียงเซี่ยนจึงเอ่ยกับนางเสียงเบาว่า “เจ้ากระซิบบอกข้า ข้าจะไม่บอกแม่เจ้า!”
อาอวี๋มองฮูหยินหลู่ครั้งหนึ่ง ถึงจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ใช่คนไม่ได้เรื่องได้ราว! การบ้านที่ท่านแม่สั่งข้าก็ทำเสร็จหมดแล้ว งานเย็บปักถักร้อยที่แม่นมสอนข้าก็ทำเป็นหมดแล้ว…”
นึกไม่ถึงว่าเป็นเพราะคำพูดนี้ประโยคเดียวก็คิดถึงอยู่ตลอดเวลา
ทำไมเด็กคนนี้ถึงน่ารักขนาดนี้!
เจียงเซี่ยนอยากหัวเราะมาก ทว่าเห็นอาอวี๋ดูน้อยใจ นางจึงไอเบาๆ ทันที และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้แล้ว แม่เจ้าปรักปรำเจ้า!”
อาอวี๋พยักหน้าติดกันหลายครั้ง และมองเจียงเซี่ยนเหมือนคนรู้ใจในชั่วพริบตา
เจียงเซี่ยนทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงกอดอาอวี๋ไว้ในอ้อมแขน และยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินหลู่ว่า “ทำไมท่านถึงมีลูกสาวที่น่ารักขนาดนี้ น่าอิจฉาจริงๆ”
อาอวี๋เม้มปากยิ้ม ท่าทางภูมิใจมาก
แต่ฮูหยินหลู่กลับไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเอ่ยว่า “ท่านหญิงก็อย่าชมนางเลย นางไม่สนิทกับท่าน ไว้สนิทกับท่านแล้ว ท่านจะปวดศีรษะ ไม่อย่างนั้นเมื่อวานก็คงจะไม่ให้นางอยู่บ้านแล้วเช่นกัน”
อาอวี๋ได้ยินแล้วก็ไม่ค่อยพอใจอีก
เจียงเซี่ยนรีบเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้ารู้สึกว่าอาอวี๋ก็ดีมาก”
อาอวี๋หัวเราะ
เจียงเซี่ยนก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เหมือนกัน
ฮูหยินหลู่ส่ายหน้า และเอ่ยว่า “ต่อไปท่านก็รู้แล้ว” และลากเจียงเซี่ยนไปดูงิ้ว
เรือนของตระกูลลู่ก็ไม่ใหญ่เช่นกัน ตั้งเวทีแล้ว สถานที่ดูงิ้วก็ตั้งอยู่บนทางเดิน
ฮูหยินหลู่กับเจียงเซี่ยนหาสถานที่ที่ไม่ตรงและไม่เอียงแล้วพาอาอวี๋นั่งลง
สาวใช้นำชากับของว่างมาให้
ตอนที่เจียงเซี่ยนยกถ้วยชาขึ้นดื่มชา หางตาบังเอิญเห็นฮูหยินลู่ ฮูหยินติง และฮูหยินจวงกำลังคุยกันอยู่ใต้ต้นทับทิมสุดทางเดิน
ดูสีหน้าของพวกนาง คุยกันอย่างสนุกมากทีเดียว
ฮูหยินหลู่เห็นสถานการณ์ก็เข้ามาใกล้ แล้วเล่าบุญคุณกับความแค้นของตระกูลลู่กับตระกูลจวงให้นางฟังอย่างเบามาก
เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วตลอด
คนที่ยึดมั่นในหลักการกลับต้องขอโทษและขอร้องคนที่ทำลายกฎ!
เรื่องเล็กน้อยหากไม่ระวังจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่
ราชวงศ์จ้าว…พังทลายถึงขั้นนี้แล้วหรือ?
หากไม่สนใจก็ไม่รู้ พอดูให้ดี ที่แท้สภาพสังคมนี้ก็เสียหายอย่างรุนแรงมากแล้ว
นางออกจากวังหลวง จ้าวเซี่ยวไม่พอใจและกลับฝูเจี้ยน หลี่เชียนยังคงดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อเงินเล็กน้อยที่ซานซี โชคชะตาของทุกคนต่างก็เปลี่ยนไปแล้ว ต่อไปจะเปลี่ยนเป็นแบบไหน ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน?
หลังจากนั้นคณะสื่อเจียแสดงอะไรบ้างกันแน่ เจียงเซี่ยนจำไม่ได้แล้ว
นางกลับถึงบ้านก็ให้คนไปเรียกเซี่ยหยวนซีมา
ไปฝูเจี้ยนมารอบหนึ่ง เซี่ยหยวนซีตากแดดจนดำแล้ว ทว่าก็มีชีวิตชีวามากขึ้นเช่นกัน
เจียงเซี่ยนมอบตั๋วเงินก้อนใหญ่ให้เขา และเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยหลักการกับข้า ข้ารู้มากกว่าเจ้า ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหาเงินเพื่อเลี้ยงทหารส่วนตัว ที่ไปหาเรื่องเซ่ารุ่ยก็ทั้งเพื่อเงินแล้วก็เพื่อฝึกทหาร ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าเทียบกับเซ่ารุ่ยแล้วต่างกันแค่ไหนกันแน่ แต่ช่วงนี้หลี่เชียนออกเช้ากลับดึก ข้ารู้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีเงินก้อนใหญ่เป็นกำลังสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ย่อมดีกว่าพวกเจ้าพาคนไปสู้ ตั๋วเงินพวกนี้พวกเจ้ารับไว้ก่อนจัดการเรื่องตรงหน้าได้แล้วค่อยว่ากัน หากไม่พอ ค่อยบอกข้า อย่างมากก็แค่ขายที่ดินออกไปสองสามแปลง จะทำให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพราะขาดเงินไม่ได้”