มู่หนานจือ - บทที่ 349 ถึงบ้าน
หลี่เชียนมองใบหน้ายิ้มของเจียงเซี่ยนแล้วอยากจะจูบแรงๆ สักสองสามที
เจียงเซี่ยนที่งดงามแบบนี้ เห็นได้น้อยมาก หายากมาก!
หางตาของเขาแฉลบผ่านพวกไป่เจี๋ยที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงม่านข้างวงกบประตูไม้แกะสลักในห้องเหมือนเสาไม้ไป เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าพวกสาวใช้ของเจียงเซี่ยนไม่มีไหวพริบเหมือนกับสาวใช้ของตระกูลหลี่ เวลานี้ควรจะหลบไปไม่ใช่หรือ?
หากเขาจูบเจียงเซี่ยนต่อหน้าสาวใช้พวกนี้ คนที่รักหน้าตาอย่างเจียงเซี่ยน อาจจะถีบเขาจริงๆ แล้วตั้งแต่นี้ไปก็จะอ่อนน้อมถ่อมตนและใจดีกับเขา และไม่มีใบหน้ายิ้มอีกแล้ว
หลี่เชียนจำเป็นต้องฝืนอดกลั้นความคิดเหล่านั้นของตนเองเอาไว้ และยิ้มพลางถามว่า “เช่นนั้นเจ้าเรียกข้ามาทำไม?”
เวลานี้เขาแค่อยากกอดเจียงเซี่ยน จึงไม่คิดอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่อยากคิดด้วย แค่อยากทุ่มเทความคิดทั้งหมดไปที่เจียงเซี่ยน มองใบหน้ายิ้มของนาง รู้สึกถึงความสุขของนาง ไม่ต้องสนใจว่านางเรียกเขามาทำไม เขาเพียงแค่ตามใจนาง รักนาง และเคารพนางก็พอแล้ว
หลี่เชียนที่ไม่คาดการณ์และไม่ครุ่นคิดแบบนี้ แล้วทำตัวบุกน้ำลุยไฟเพื่อนาง น่าสนใจมาก...ตลกมาก...ยิ่งทำให้นางชอบ…แต่พอเขารู้ว่าทำไมนางถึงเชิญเขากลับมา จะทำหน้าอย่างไรอีก?
เจียงเซี่ยนใจเต้น และแอบรู้สึกเฝ้ารอเล็กน้อย สายตาจึงเปลี่ยนเป็นแวววาวมากขึ้น
“น้องหญิงน่ะสิ!” นางอมยิ้มพลางมองเขา แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่า ปิดบังคำพูดที่คุณหนูจวงว่านางลับหลังแล้ว โดยเอ่ยอย่างคลุมเครือไปว่า ‘คำพูดไม่เหมาะสม’
ทว่ากลับทำให้หลี่เชียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว
หากไม่กลัวว่าจะทำให้เจียงเซี่ยนตกใจ ตอนนี้เขาก็จะโกรธแล้ว
แต่ความโกรธที่เขาฝืนอดทนไว้ก็ยังทำให้เจียงเซี่ยนกลัวเล็กน้อยอยู่ดี
นางอดที่จะเตือนเขาไม่ได้ “เจ้าก็อย่าโกรธน้องหญิงเช่นกัน พวกเด็กสาวทะเลาะวิวาทกัน นั่นเป็นเรื่องที่มักจะเกิด และเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ควรบอกผู้ชายที่เดินอยู่ที่เรือนด้านนอกอย่างพวกเจ้า แต่สถานการณ์ในบ้านพิเศษเล็กน้อย ฮูหยินเหอไม่มีประสบการณ์จัดการเรื่องนี้ ข้าจำเป็นต้องออกหน้า ทำอะไรก็ไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องให้เจ้าถ่ายทอดคำพูดให้ท่านพ่อ…”
หลี่เชียนโกรธเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน
เขาโกรธตนเอง
ที่ไม่สามารถปกป้องเจียงเซี่ยนได้
ทำให้นางถูกคนนินทา
ทำให้นางถูกรังแก
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลี่เชียนกระหายอำนาจขนาดนี้
ไม่ใช่แบบที่วางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีแผนการอยู่ในใจก่อนแล้ว ทำให้ตระกูลหลี่กลายเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลต่อราชสำนักในช่วงที่มีชีวิตอยู่ แล้วก็ส่งต่อให้ลูกชายกับหลานชายของตนเองเหมือนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นอำนาจแบบที่ควบคุมใต้หล้า ทำให้คนไม่กล้ามองและไม่กล้านินทาภรรยาของเขาอีก...
เขาอยากให้เจียงเซี่ยนเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยเพราะสามีเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวย
ไม่ใช่ให้คนคิดว่านางเป็นท่านหญิงที่สูญเสียความโปรดปรานจึงถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่ฐานะต่ำ
หลี่เชียนกำมือแน่นจนเป็นหมัด นานมากถึงจะค่อยๆ คลายออก และน้ำเสียงก็กลับมาเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้เช่นกัน “ข้ารู้แล้ว! นางเป็นน้องสาวของข้า แล้วก็ทำเพื่อปกป้องเจ้า ข้าจะไปตำหนินางได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าข้าเป็นฮูหยินเหอหรือ? หากข้าไม่มีแม้แต่สมองแค่นี้ จะให้พวกอวิ๋นหลินล้อมอยู่รอบกายข้าและช่วยข้าทำงานอย่างเต็มอกเต็มใจได้อย่างไร!”
“เอาล่ะ! เอาล่ะ!” นานๆ ทีเจียงเซี่ยนจะร่าเริงแบบนี้ นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าปรักปรำท่านแม่ทัพใหญ่หลี่ ข้าขอโทษท่านแม่ทัพใหญ่!”
หลี่เชียนหัวเราะ
มีสาวใช้วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าลนลาน “ท่านหญิง…” เรียกไปแล้วถึงจะเห็นว่าหลี่เชียนอยู่ที่นี่ด้วย จึงรีบเพิ่มว่า “ท่านแม่ทัพ” และเอ่ยว่า “ฮูหยินจวงมาแล้ว พาคนรับใช้ที่แข็งแรงมาด้วยสิบกว่าคน จะหาฮูหยิน ฮูหยินตกใจแทบแย่แล้ว จึงให้ข้ามาขอคำแนะนำจากท่านหญิงเจ้าค่ะ!”
คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจวงจะมาจริงๆ!
แถมยังเร็วขนาดนี้!
ไม่รู้ทำไม เจียงเซี่ยนไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ทว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้กลับฮึกเหิมขึ้นมาทันที อยากสู้กับฮูหยินจวงสักรอบมาก
เพราะนี่เป็นเรื่องของหลี่ตงจื้อน้องสาวของหลี่เชียนอย่างนั้นหรือ?
นางอยากช่วยหลี่เชียนเอาชนะสงครามครั้งนี้?
เจียงเซี่ยนไม่ทันคิดมาก ก็ลุกขึ้นยืนอย่างจิตใจฮึกเหิมแล้ว และสั่งสาวใช้ว่า “เจ้าไปบอกฮูหยิน บอกว่าพอนางรู้ว่าคุณหนูใหญ่ถูกคุณหนูจวงรังแก ก็โกรธจนล้มป่วย จึงจำเป็นต้องให้ข้าออกหน้าต้อนรับฮูหยินจวง”
สาวใช้ได้ยินแล้วก็มีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย นางขานรับติดกันหลายครั้ง แล้ววิ่งไปอย่างเร็วมาก
ทว่าหลี่เชียนกลับขมวดคิ้วแน่นจนเป็นตัวอักษรชวน
เขาเอ่ยเสียงทุ้มอย่างไม่พอใจว่า “เรื่องนี้เจ้าอย่ายุ่งเลย ข้าจะไปพบใต้เท้าจวง!”
เจียงเซี่ยนรั้งหลี่เชียนไว้ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องของเรือนด้านในก็ต้องให้ผู้หญิงของเรือนด้านในเป็นคนจัดการ พวกขุนนางอย่างเจ้าไปหาใต้เท้าจวงเพื่อเรื่องแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น? เจ้ายังต้องการชื่อเสียงหรือไม่? ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้า เพราะเผื่อฮูหยินจวงขอต่อหน้าใต้เท้าจวง ถึงเวลานั้นจู่ๆ ใต้เท้าจวงมาหาพวกเจ้า แต่พวกเจ้าไม่รู้อะไรเลย จะเถียงกับเขาก็ไม่สามารถเสียงดังได้เช่นกัน เรื่องนี้เจ้าก็อย่ายุ่งเลย รีบไปบอกท่านพ่อเถอะ ไว้ใต้เท้าจวงไปหาพวกเจ้าค่อยว่ากัน”
ทว่าหลี่เชียนเห็นเจียงเซี่ยนดูผอมและอ่อนแอ แค่ลมพัดตัวก็จะลอยขึ้นมาแล้ว จะไปได้ที่ไหนกัน
เจียงเซี่ยนจำเป็นต้องออกแรงผลักเขาออกไปข้างนอก
นางจะไปทะเลาะกับฮูหยินจวง แต่ไม่อยากให้หลี่เชียนเห็น
หลี่เชียนเห็นนางดูอยากลองทำดู ก็ลำบากใจมาก จึงสั่งให้ปิงเหอติดตามนาง และฟังความเคลื่อนไหวอยู่นอกโถงบุปผาที่เจียงเซี่ยนพบฮูหยินจวงครู่หนึ่ง จนแน่ใจว่าเจียงเซี่ยนจะไม่เสียเปรียบอย่างเด็ดขาด ถึงจะไปเรือนของหลี่ฉางชิงเรือนด้านนอก
นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันทีหลัง
เจียงเซี่ยนให้คนเชิญฮูหยินจวงไปที่โถงบุปผาของเรือนตะวันตก
ฮูหยินจวงมองคนรับใช้ที่แข็งแรงที่ล้อมอยู่รอบกายตนเองอย่างแน่นหนา แล้วยิ้มเยาะพลางตามสาวใช้ไปที่โถงบุปผาของเรือนตะวันตก
นางไม่เชื่อหรอกว่า ตระกูลหลี่ยังกล้าตีนางอย่างนั้นหรือ? และต่อให้ตี นางก็ไม่กลัวเช่นกัน ยังไม่ต้องพูดถึงที่ข้างกายนางพาคนมาด้วย ต่อให้ไม่พาคนมา ตระกูลหลี่กล้าแตะเล็บของนางสักเล็บ นางก็กล้าให้ตระกูลหลี่ชดใช้เงิน ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ทุกคนในเมืองไท่หยวนรู้ว่าพวกที่ต่ำต้อยอย่างตระกูลหลี่เป็นอย่างไร?
ฮูหยินจวงเชิดหน้ายืดอกและไปที่โถงบุปผา
เจียงเซี่ยนแต่งตัวอยู่ในห้องข้าง และถามไป่เจี๋ยว่า “เจ้าว่าข้าใส่เสื้อคลุมยาวสีแดงตัวนั้นหรือใส่สีน้ำเงินอมเขียวตัวนั้นดี?”
อย่างไรเมื่อก่อนก็ดีกว่า นางใส่แค่ชุดพิธีการก็พอแล้ว
วังหลังที่ไม่มีฮองเฮา เสื้อผ้ากับเครื่องประดับของใครก็จะไม่เกินเสื้อผ้ากับเครื่องประดับของฮองไทเฮา
ตอนนี้มักจะกลุ้มว่าจะใส่ชุดอะไรดี
ไป่เจี๋ยรู้ว่านางจะไปพบฮูหยินจวง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใส่สีแดงดีกว่ากระมัง?”
“ไม่ได้ ข้าจะใส่สีน้ำเงินอมเขียวตัวนั้น!” เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “ฮูหยินจวงต้องใส่เสื้อผ้าสีแดงอย่างแน่นอน”
มีสาวใช้ที่ว่องไววิ่งไปดูทันทีและหอบพลางบอกนางว่า “ฮูหยินจวงใส่เสื้อผ้าสีแดงจริงๆ แถมยังเป็นสีแดงเข้มด้วยเจ้าค่ะ”
“เจ้าดูสิ ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่!” เจียงเซี่ยนอารมณ์ดีมาก แล้วพาสาวใช้กับแม่บ้านกลุ่มใหญ่ไปที่โถงบุปผา
ฮูหยินจวงตีหน้าขรึมนั่งอยู่ตรงนั้น โดยไม่สนใจชากับของว่างที่พวกสาวใช้นำมาให้ ชั่วพริบตาที่เห็นเจียงเซี่ยนก็ลุกขึ้นทันที เจียงเซี่ยนยังไม่ทันเข้าห้องก็ร้องตะโกนแล้วว่า “ท่านหญิง หลี่ตงจื้อล่ะ? ท่านรู้หรือไม่ว่านางสาดชาร้อนใส่หน้าลูกสาวของข้าอย่างไร้เหตุผล…”
ไว้หน้าแล้วแต่กลับไม่รับ แถมยังคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายจริงๆ ด้วย!
เจียงเซี่ยนตำหนิอยู่ในใจ พลางทำหน้าประหลาดใจและรีบเอ่ยโดยไม่รอให้ฮูหยินจวงเอ่ยจบว่า “ฮูหยินจวง เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินแล้วเช่นกัน คุณหนูจวงเสียโฉมอย่างนั้นหรือ? เช่นนี้จะทำอย่างไรดี? ไป่เจี๋ย เจ้ารีบไปเชิญท่านหมอฉางมา ให้ท่านหมอฉางตามฮูหยินจวงไป แผลถูกลวกไม่ใช่เรื่องตลก หากทิ้งรอยแผลเป็นไว้ต่อไปก็คุยเรื่องแต่งงานยากแล้ว ได้ยินว่าพี่ชายของฮูหยินจวงอยู่เมืองหลวง คุณหนูจวงโตมากับลุงตั้งแต่เด็ก คิดว่าลุงของนางจะต้องรักนางมากอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าครอบครัวของลุงนางมีพี่ชายที่อายุพอๆ กับนางหรือไม่ ไม่อย่างนั้นถึงตอนที่คุยเรื่องแต่งงานก็ยุ่งยากแล้ว!”