มู่หนานจือ - บทที่ 359 ย่างเนื้อ
เจียงเซี่ยนดึงดูดยุงกับแมลงมาตั้งแต่เด็ก เวลานางกับไป๋ซู่ไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงในฤดูร้อน บนตัวนางเต็มไปด้วยจุดสีแดงที่ยุงกัด ทว่าไป๋ซู่กลับไม่เป็นอะไรเลย ดังนั้นนางจึงไม่ชอบอยู่สถานที่ที่ดึงดูดยุงอย่างศาลาริมน้ำและโถงบุปผา
“ยังดีที่เจ้าไม่จัดให้ข้าอยู่ศาลาริมน้ำ” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างรู้สึกดีใจ และเล่าสิ่งที่เจอตั้งแต่เด็กจนโตให้หลี่เชียนฟัง
หลี่เชียนได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าตลกมาก และเอ่ยว่า “หากข้าจัดให้พวกเราอยู่ศาลาริมน้ำจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ต้องย้ายที่อย่างแน่นอน” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว “เรื่องอื่นทนได้ เรื่องแบบนี้ทนไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าดูไม่ออกว่าเรื่องอะไรสามารถทำให้เจ้าทนได้!”
เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เมื่อวานยังมีสาวใช้ไม่ระวังตัดดอกกล้วยไม้ที่ข้าเลี้ยงพัง ข้าก็ไม่ได้โกรธนี่นา! แล้วก็หลายวันก่อน...ห้องซักผ้าซักเสื้อกั๊กยาวปักดอกไม้นานาชนิดผ้าไหมหังพัง ข้าก็ไม่ได้โมโหนี่นา…”
หลี่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะโอบนาง แล้ววางคางลงบนศีรษะของนาง พลางหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “นั่นเพราะหัวใจของเป่าหนิงของพวกเราใหญ่ และบรรจุแต่เรื่องใหญ่…”
เจียงเซี่ยนได้ยินแล้ว หัวใจก็เต้นผิดจังหวะ นางผลักหลี่เชียนออกทั้งที่หน้าแดง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าลนลานเล็กน้อยทว่ากลับแสร้งทำเป็นเยือกเย็นว่า “นั่นก็จริง! ข้าไม่ใช่ผู้หญิงที่จับตาดูเรือนด้านในทั้งวันเสียหน่อย ข้ามีเรื่องต้องใส่ใจมากมาย!”
“ใช่ ใช่ ใช่!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ตอบอย่างจริงใจมาก
แม้เขาจะรู้จักกับเจียงเซี่ยนได้ไม่นาน แต่เขารู้สึกได้จริงๆ ว่า เจียงเซี่ยนไม่ค่อยรู้พวกเรื่องจุกจิกข้างกาย กระทั่งพวกความรู้ทั่วไปด้วยซ้ำ ทว่านางกลับความรู้สึกไวกับสถานการณ์ของราชสำนักและความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเมืองมาก
บางทีเจียงเซี่ยนอาจจะถูกไทฮองไทเฮากับตระกูลเจียงปลูกฝังให้เป็นฮองเฮามาตลอด ดังนั้นถึงได้เป็นแบบนี้กระมัง?
หลี่เชียนคาดเดา และยิ่งรู้สึกว่าการให้เจียงเซี่ยนไปคุมพวกเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญในตระกูลไม่เป็นธรรมกับเจียงเซี่ยนเกินไป แล้วก็ผิดต่อการปลูกฝังเจียงเซี่ยนของตระกูลเจียงกับไทฮองไทเฮาเช่นกัน เขาคิดว่าหากเขามีโอกาสเข้าเมืองหลวง จะไปคุกเข่าคำนับไทฮองไทเฮาและขอบคุณนางอย่างจริงใจแน่นอน
ทั้งสองคนพูดคุยพลางหัวเราะ ไม่นานก็ถึงสวนดอกไม้ด้านหลังแล้ว
พวกหลี่หลินตั้งเตาปิ้งย่างเสร็จแล้ว เด็กรับใช้กับสาวใช้เจ็ดแปดคนกำลังล้อมอย่างแน่นหนา และเลือกอาหารที่แต่ละคนชอบกินในอ่างทองแดงใบใหญ่ที่ใส่วัตถุดิบเอาไว้
พอเห็นหลี่เชียนพาเจียงเซี่ยนมาโดยไม่บอกแม้แต่นิดเดียว ทุกคนต่างก็ประหลาดใจมาก พวกเด็กรับใช้วิ่งไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างเคารพนบนอบ และไม่กล้าเหลือบมองสักครั้ง
ส่วนหลี่หลิน หลี่จี้ และหลี่จวีก็รีบเข้ามาคารวะ
หลี่เชียนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
เจียงเซี่ยนดีเช่นนี้ บางครั้งเขาก็อยากให้คนอื่นรู้ความดีของเจียงเซี่ยนด้วยมาก จึงไม่ห้ามพาเจียงเซี่ยนออกไปข้างนอก
“พี่สะใภ้ของเจ้าว่างไม่มีอะไรทำพอดี ข้าจึงพานางมาด้วย” หลี่เชียนอธิบายเล็กน้อยก็ข้ามเรื่องนี้ไป แล้วยิ้มพลางถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าเตรียมของกินอะไรบ้าง? แต่อย่ากินแล้วท้องเสียเชียว เรียกพวกแม่ครัวมาช่วยย่างเนื้อให้พวกเจ้าดีกว่ากระมัง?”
“เช่นนั้นยังจะสนุกอะไร?” หลี่จวีตะโกน และมองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง เหมือนกลัวนางไม่พอใจ
เจียงเซี่ยนแอบหัวเราะ
ตอนที่หลี่เชียนไม่อยู่ หลี่จวีไม่ได้วางตัวแบบนี้กับนาง
จะเห็นได้ว่าเขากลัวหลี่เชียนมากทีเดียว
ทว่าหลี่หลินกลับเอ่ยว่า “พวกเราอย่างไรก็ได้ แต่พี่สะใภ้กลับไม่เหมือนกัน เรียกพวกแม่ครัวมาจะดีกว่า!”
“ก็ได้!” หลี่เชียนคิดว่าเจียงเซี่ยนไม่เคยลงมือทำอาหารด้วยตนเองมาก่อน จึงหันกลับไปสั่งชีกู และให้หญิงรับใช้คนหนึ่งยกม้านั่งไปวางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “เจ้านั่งรออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปย่างให้เจ้ากินสักสองสามชิ้น”
เมื่อก่อนเจียงเซี่ยนก็เคยเห็นพวกเจียงลวี่ย่างเนื้อกวางกินที่สวนด้านหลังตอนที่หิมะตกหนักเช่นกัน จึงรีบเอ่ยว่า “ข้าเอาไม่เผ็ด อากาศร้อนขนาดนี้ เป็นร้อนในง่ายที่สุดแล้ว เจ้าอย่าใส่พริก”
“ได้!” หลี่เชียนยิ้มพลางก้าวไปข้างหน้า และหันกลับมามองนางครั้งหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หัวใจของเจียงเซี่ยนเริ่มเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง สายตาจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังที่ผอมสูงของหลี่เชียนจนแทบจะดึงกลับมาไม่ได้
ไม่นาน หลี่ตงจื้อกับเหอถงเหนียงก็มาถึง
คนที่มากับพวกนาง ยังมีเกาเมี่ยวหรงด้วย ทว่ากลับไม่เห็นฮูหยินเหอกับป้าเหอ
เจียงเซี่ยนแปลกใจเล็กน้อย
หลี่ตงจื้อรีบอธิบายว่า “เมื่อครู่ตอนที่สาวใช้ไปบอกพวกเรา พี่เกามาชวนพวกเราไปเดินเล่นด้วยกันพอดี พวกเราจึงชวนพี่เกามาด้วย” และเอ่ยอีกว่า “ท่านแม่บอกว่านางกับท่านป้าเป็นผู้อาวุโส จึงไม่มาร่วมสนุกแล้ว ให้พวกเราเล่นอย่างมีความสุข และตอนกลางคืนไม่ต้องไปคารวะนางแล้ว”
เกาเมี่ยวหรงเป็นแขก ในเมื่อเจอแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งไว้ข้างๆ ได้
เจียงเซี่ยนยิ้มและพยักหน้าให้เกาเมี่ยวหรง พลางเอ่ยว่า “คุณหนูเกาชอบกินอะไร? บอกหญิงรับใช้เลย ให้พวกนางเตรียมให้เจ้า”
“ไม่ต้องแล้ว!” เกาเมี่ยวหรงมองเตาปิ้งย่างอย่างสนใจมาก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อก่อนข้าเพียงแค่ได้ยินคุณหนูสามตระกูลซือเอ่ยถึง ยังไม่เคยทำมาก่อน ข้าอยากลองไปย่างของเองสักหน่อย ถึงจะไม่เสียแรงที่มา” นางเอ่ยจบก็ถามหลี่ตงจื้อกับเหอถงเหนียง “พวกเจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”
เหอถงเหนียงปรายตามองพวกหลี่เชียนที่ยืนอยู่ข้างๆ และลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยว่า “ข้า…ข้าก็อยากไปย่างของเหมือนกัน…”
หลี่ตงจื้อก็ถามเจียงเซี่ยน “พี่สะใภ้ล่ะ? ข้าอยากอยู่กับพี่สะใภ้”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูสักหน่อย เจ้าลองปิ้งย่างกับพวกเขาเถอะ สนุกมากทีเดียว!”
หลี่ตงจื้อได้ยินน้ำเสียงของเจียงเซี่ยนเหมือนเคยทำ จึงถามว่า “เมื่อก่อนพี่สะใภ้เคยปิ้งย่างหรือ?”
“เคยดูพวกท่านพี่เล่นกัน” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วัตถุดิบมากมายถูกพวกเขาย่างจนเกรียมหมดแล้ว”
หลี่ตงจื้อเม้มปากยิ้มออกมา
พวกนางไปหาหลี่เชียนด้วยกัน
ทุกคนคารวะกันและกัน ด้วยเห็นว่าไม่มีคนนอก จึงไม่ได้แบ่งฝ่ายกันมากเช่นกัน ตั้งสองเตา ผู้ชายเตาหนึ่ง ผู้หญิงเตาหนึ่ง แล้วทุกคนก็เริ่มย่างของด้วยรอยยิ้ม
เจียงเซี่ยนย่างเนื้อ
พวกหลี่หลินยังเตรียมเครื่องปรุงที่มีชื่อเสียงและล้ำค่าอย่างพริกไทยเสฉวน พริกไทย และยี่หร่ามาด้วย
หลี่ตงจื้อแอบถามเจียงเซี่ยน “ของพวกนั้นมีประโยชน์อะไรหรือ?”
เจียงเซี่ยนตอบนางเสียงเบา “โรยลงบนเนื้อ เจ้าชอบรสชาติเข้มข้นก็โรยเยอะหน่อย ไม่ชอบก็โรยน้อยหน่อย ส่วนรสชาติเป็นอย่างไรนั้น เจ้าต้องกินเองถึงจะรู้ ข้าไม่สามารถเล่าให้เจ้าฟังได้”
หลี่ตงจื้อพยักหน้า
พวกแม่ครัวที่หน้าตาและการแต่งตัวต่างก็เรียบร้อยมากถูกเรียกมาแล้ว
เจียงเซี่ยนก็สุ่มเลือกมาคนหนึ่ง ให้นางมาดูว่าเนื้อย่างสุกหรือยัง
“สุกแล้วเจ้าค่ะ!” แม่ครัวเอ่ยอย่างนอบน้อมมากว่า “เนื้อเปลี่ยนสีแล้ว ดูหดลงเล็กน้อย ก็สุกแล้ว”
เจียงเซี่ยนก็โรยเกลือ พริกไทย และยี่หร่าเล็กน้อย
ควันที่ทำให้คนสำลักลอยขึ้นมาจากเตา
เจียงเซี่ยนไอติดกันหลายครั้ง แล้ววางเนื้อที่ย่างเสร็จแล้วไว้ในจานคิดว่าจะยกไปให้หลี่เชียน ทว่าใครจะรู้ว่าพอหันตัวกลับเจอหลี่เชียน
เขาก็ถือจานอยู่เช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่วางอยู่ในจานเป็นหมั่นโถวแผ่นไม้หนึ่ง
หมั่นโถวแผ่นนั้นถูกย่างจนเป็นสีทอง โรยเกลือที่เหมือนน้ำค้างแข็งเล็กน้อย ดูน่ากินมาก
“เจ้ากินอันนี้!” หลี่เชียนยื่นจานให้เจียงเซี่ยน “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าย่างสุกหรือยัง เจ้ากินพวกเนื้อน้อยหน่อย”
เจียงเซี่ยนมองเนื้อที่อยู่ในจานในมือของตนเอง และหัวเราะออกมา
———————————–