มู่หนานจือ - บทที่ 374 บังเอิญเจอ
ตอนนี้เวินเผิงปวดศีรษะมาก
เขาทำงานอย่างระมัดระวังมากมาตั้งหลายปี แต่จู่ๆ กลับถูกย้ายตำแหน่ง เดิมทีตกลงเรื่องของเด็กทั้งสองกับตระกูลหวังทางวาจาแล้ว ทว่าอยู่ๆ ตระกูลหวังกลับเปลี่ยนใจ ที่สำคัญที่สุดคือ เขาคิดว่าตนเองไม่ได้เมินเฉยสยงจวิ้นหรงตรงไหนเลย แต่จู่ๆ สยงจวิ้นหรงกลับลงมือกับเขา ทว่าเขากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมสยงจวิ้นหรงถึงลงมือกับเขา
เขาเป็นขุนนางในเมืองหลวงยังเป็นแบบนี้ อีกไม่นานเขาต้องย้ายไปอวิ๋นหนาน ต่อไปหนทางลำบากและยาวไกล สามปีถึงจะเข้าเมืองหลวงมารายงานการปฏิบัติงานสักครั้ง หากสยงจวิ้นหรงปฏิบัติกับเขาแบบนี้ต่อไป เขาอาจจะตายที่อวิ๋นหนานโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไรด้วยซ้ำ เหมือนผู้ว่าราชการมณฑลอวิ๋นหนานคนก่อน
จดหมายของใต้เท้าจวงก็ถูกเขาทับไว้บนโต๊ะ…ก่อนที่เขาจะไปดำรงตำแหน่งที่อวิ๋นหนาน เขาต้องคลี่คลายปมนี้กับสยงจวิ้นหรงให้ได้
เวลานี้สยงจวิ้นหรงกับวังจี่เต้าเป็นคนโปรดสองคนต่อหน้าฮ่องเต้ เขาไม่อยากล่วงเกินฝ่ายไหนในนั้นทั้งนั้น
แต่เขาไปหลายวันแล้ว จนจะรับตำแหน่งก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
เรื่องนี้ต้องโทษสยงจวิ้นหรง
ถึงแม้เขาจะช่วยเฉาเซวียน แล้วก็รู้เช่นกันว่าเจียงเซี่ยนเป็นคนฝากฝังเฉาเซวียน ทว่าเฉาเซวียนกับเจียงเซี่ยนนั้น คนหนึ่งเป็นพี่น้องของฮองเฮาที่ฮ่องเต้เกรงกลัว อีกคนเป็นท่านหญิงที่แต่งงานไปอยู่ไกลถึงซานซี ต่างก็เป็นราชนิกุล หากไม่ช่วย คนพวกนี้ช่วยเขาไม่ได้ แต่ถ้าจงใจก่อความวุ่นวายขึ้นมากลับสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งทำให้คู่ต่อสู้ได้ประโยชน์ หากช่วย พูดออกไปแล้วขายหน้า เหมือนเขาประจบประแจงพวกพระญาติที่ครอบครองตำแหน่งเปล่าๆ โดยไม่ทำงานทั้งวัน
เวินเผิงจะสืบข่าวได้อย่างไร?
เขาไม่มีข่าว ใต้เท้าจวงก็ยิ่งไม่มีข่าวแล้ว
ตระกูลจวงร้อนใจจนหัวหมุน ฮูหยินจวงยิ่งร้อนใจมาก จนไม่คิดจะออกไปข้างนอกแล้ว
ทว่าข่าวที่คุณหนูสามตระกูลหยวนออกเรือนดันส่งมาเวลานี้
เมื่อก่อนฮูหยินจวงไม่เห็นตระกูลหยวนอยู่ในสายตา แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่มีการดูแลจากเวินเผิงที่เมืองหลวงแล้ว ตระกูลจวงยังกล้าคุยโวโอ้อวดในวงการราชการที่ไหนกัน
นางกดความวุ่นวายใจในใจลงไปและไปมอบของขวัญให้คุณหนูสามหยวนด้วยตนเอง
ตระกูลหยวนวางตัวสุภาพและเหมาะสมกับพวกขุนนางที่มาจากต่างถิ่นมาโดยตลอด คนพวกนี้ได้รับความเคารพจากตระกูลหยวนไม่น้อย
ตระกูลหยวนแต่งลูกสาว จึงมีฮูหยินกับคุณหนูตระกูลขุนนางมามอบของขวัญมากมาย
นอกจากฮูหยินจวงจะเจอฮูหยินหลู่แล้ว ยังเจอแม่นมเฉิงที่อยู่ข้างกายฮูหยินเหอกับฉิงเค่อที่อยู่ข้างกายเจียงเซี่ยนด้วย
แม่นมเฉิงก็ไม่ต้องพูดแล้ว ทว่าฉิงเค่อกลับเป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดข้างกายเจียงเซี่ยนที่สุด ตอนนั้นที่พวกนางไปเป็นแขกที่ตระกูลหลี่ ฉิงเค่อก็ติดตามรับใช้อยู่ข้างกาย และคอยสั่งให้สาวใช้กับแม่บ้านนำชากับของว่างมา นางมาเป็นตัวแทนเจียงเซี่ยนที่นี่ แถมนางยังเคยเป็นนางในในวัง ตระกูลหยวนไม่กล้าเมินเฉย ถึงแม้นายหญิงใหญ่ที่ดูแลตระกูลหยวนจะไม่ได้รับเข้าและส่งออก แต่กลับส่งนายหญิงรองของตระกูลหยวนมาอยู่เป็นเพื่อนข้างกายฉิงเค่อด้วยตนเอง แม่นมเฉิงจึงได้อาศัยบารมีเช่นกัน โดยนายหญิงรองตระกูลหยวนเป็นคนพาเข้าไปในห้องของคุณหนูสามตระกูลหยวน
ฉิงเค่อรูปร่างผอมสูง สีหน้าอ่อนโยน ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนและยังคงความสุภาพเรียบร้อย สวมเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมหังสีเขียว ทว่าพลอยไพฑูรย์ที่ฝังอยู่บนเครื่องประดับผมรูปดอกไม้ไข่มุกกลับมีขนาดเท่าเม็ดบัว มีมาดกว่าคุณหนูตระกูลขุนนางทั่วไปเสียอีก
นางคารวะคุณหนูสามตระกูลหยวนอย่างเคารพนบนอบ และมอบของขวัญจากเจียงเซี่ยนให้
กำไลลงยาเคลือบแก้วหนึ่งคู่ และปิ่นปักผมรูปศาลาทำจากทองคำบริสุทธิ์หนึ่งอัน
แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของสร้างขึ้นตามแบบของในวัง
ผู้ชมในห้องพากันชื่นชมความยอดเยี่ยมของมัน
กำไลลงยาเคลือบแก้วเหมือนมีปรอทสีน้ำเงินไหลเวียน ส่วนปิ่นปักผมรูปศาลายิ่งเหมือนจริงมาก ยิ่งใหญ่หรูหรา ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็น
แม้แต่นายหญิงรองตระกูลหยวนยังเอ่ยกับนายหญิงใหญ่ตระกูลหยวนหลังจากเกิดเรื่องว่า “ปิ่นปักผมรูปศาลานั้นก็แล้วไป เพียงแค่ฝีมือประณีต แต่กำไลลงยาเคลือบแก้วคู่นั้นกลับพบเห็นได้น้อยมาก ต่อไปก็ใช้เป็นของมีค่าที่ส่งต่อให้ลูกสาวไม่ส่งต่อให้สะใภ้ได้เช่นกัน”
นายหญิงใหญ่ตระกูลหยวนพยักหน้าติดกันหลายครั้ง และนำของไปให้ฮูหยินเฒ่าตระกูลหยวนดู
ทว่าเวลานี้ฮูหยินจวงที่บังเอิญเจอฉากนี้กลับขมวดคิ้วแน่น
ตระกูลจวงกับตระกูลหลี่มีความบาดหมางกัน เจียงเซี่ยนออกหน้า นางย่อมไม่พอใจ
ฮูหยินจวงอดไม่ได้ที่จะถามนายหญิงใหญ่ตระกูลหยวนว่า “วันแต่งงานของคุณหนูสามกำหนดไว้วันที่ยี่สิบหกเดือนแปด เวลานั้นท่านหญิงเจียหนานน่าจะกลับไท่หยวนแล้วกระมัง? นางจะมาร่วมงานแต่งงานของคุณหนูสามหรือไม่?”
เวลานี้ตระกูลที่รู้ข่าวเร็วหน่อยในเมืองไท่หยวน มีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลหลี่เกิดความขัดแย้งกับตระกูลจวงแล้ว
ตระกูลหยวนจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ไม่ได้
นายหญิงใหญ่ตระกูลหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างระมัดระวังและรอบคอบว่า “เรื่องนั้นก็ไม่แน่ ตอนนั้นท่านหญิงน่าจะต้องกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เฝินหยางกระมัง?”
ฮูหยินจวงเห็นท่าทางที่จริงจังของฮูหยินหยวน ไฟในใจก็ไหม้แรงขึ้น และเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรคุณหนูสามออกเรือนก็เป็นเรื่องใหญ่ ตระกูลหยวนช่างใจกว้าง ให้ทำตามใจชอบ”
ความนัยที่แฝงในนั้นก็คือ หากเจียงเซี่ยนไม่ปรากฏตัวในงานแต่งงานของตระกูลหยวน ตระกูลหยวนก็ไม่กล้าบอกว่าผิดแม้แต่คำเดียวเช่นกัน
นายหญิงใหญ่ตระกูลหยวนอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ
แม้ตระกูลหยวนของพวกนางจะมั่งคั่งและมีอำนาจ ทว่าก็เป็นเพียงคหบดีในชนบท ท่านหญิงเจียหนานจะมาร่วมงานแต่งงานของตระกูลหยวนหรือไม่ เดิมทีตระกูลหยวนก็ไม่กล้าบอกว่าผิดแม้แต่คำเดียวอยู่แล้ว เวลานี้ฮูหยินจวงป่วยหนักและกินยามั่วซั่วหรือเปล่า ถึงจับตระกูลหยวนของพวกนางมาคุย สติไม่ดีแล้วกระมัง?
ทว่านางก็ไม่มีสิทธิพูดเรื่องนี้เช่นกัน
ตระกูลหยวนล่วงเกินตระกูลหลี่ไม่ได้ ล่วงเกินท่านหญิงไม่ได้ ก็ล่วงเกินตระกูลจวงไม่ได้เหมือนกัน
นางส่งฮูหยินจวงออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวังและประจบประแจง
แต่กลับเจอนายหญิงรองตระกูลหยวนที่ส่งแม่นมเฉิงกับฉิงเค่อออกไปข้างนอกหน้าประตู
ฮูหยินจวงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับนายหญิงทั้งสองของตระกูลหยวนว่า “หากรู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็น่าจะกลับเร็วหน่อย ตระกูลหยวนจะได้ไม่ต้องแยกกันทำงานเพื่อส่งคน แม้แต่สาวใช้คนหนึ่งยังจริงจังมาก”
นายหญิงทั้งสองของตระกูลหยวนไม่อาจพูดอะไรได้ ทว่าถูกฮูหยินจวงพูดแบบนี้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะกลืนไม่ค่อยเข้าคายไม่ค่อยออก
ไม่ว่าอย่างไรฉิงเค่อก็เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งเช่นกัน
พวกนางทำแบบนี้ก็ประจบประแจงมากเกินไปจริงๆ
แต่ฉิงเค่อเติบโตมาในวัง จึงเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะมากแล้ว
เวลาเจียงเซี่ยนทำไม่ถูก นางยังโต้แย้ง นับประสาอะไรกับคนระดับสามเล็กๆ!
ฉิงเค่อยิ้มเยาะทันที และเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าจะเจอฮูหยินจวงที่นี่ เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าข้าดูผิดไป ใต้เท้าเวินไปอวิ๋นหนานแล้ว คงจะกลับมาไม่ได้หลายปี ทำไม? ฮูหยินจวงไม่เตรียมพวกของพื้นเมืองสำหรับเดินทางไปต่างเมืองให้พี่น้องของตนเอง?”
ฮูหยินจวงโกรธจัด และเอ่ยว่า “เป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง กลับกล้าพูดจาต่อหน้าข้า…”
เพียงแต่นางยังพูดไม่จบ ฉิงเค่อก็มองจากบนลงล่างแล้ว และเอ่ยอย่างดูถูกว่า “มิน่าเล่าจนถึงตอนนี้เวินเผิงก็ยังไม่รู้ว่าตนเองล่วงเกินใคร บินสเปะสะปะอยู่ในเมืองหลวงเหมือนแมลงวันหัวเขียว ที่แท้ต้นเหตุของเรื่องนี้ทางฮูหยินจวงยังไม่ค่อยเข้าใจการวางตัวในสังคมด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นถึงรองตุลาการศาลต้าหลี่ได้อย่างไร แสดงว่าความสามารถไม่เท่าไร แต่โชคชะตาเข้าข้าง หากทำงานโดยอาศัยโชคชะตาไม่ได้แล้ว เส้นทางการเป็นขุนนางนี้จะไม่ลำบากขึ้นหรือ ข้าว่านะ เป็นแบบนี้ต่อไป เวินเผิงยังต้องอยู่อวิ๋นหนานอีกหลายปี”
ฮูหยินจวงได้ยินก็อึ้งไป และเอ่ยว่า “เจ้ารู้ว่าเป็นใคร?”
ฉิงเค่อยิ้มอย่างเย็นชา และเอ่ยว่า “เด็กสาวอย่างข้า จะรู้ว่าเวินเผิงล่วงเกินใครได้อย่างไร?” นางเอ่ยพลางย่อตัวคารวะนายหญิงทั้งสองของตระกูลหยวน และเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ขอบคุณฮูหยินทั้งสองมาก ข้าขอตัว!”
นายหญิงทั้งสองของตระกูลหยวนยังอยากคุยกับฉิงเค่ออีกเล็กน้อย ฉิงเค่อก็พาแม่นมเฉิงขึ้นรถม้าแล้ว
ฮูหยินจวงถึงได้สติกลับมา และก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวจะไปจัดการฉิงเค่อ ทว่ากลับถูกหญิงรับใช้ของตระกูลหลี่ขวางไว้หน้าบันได และมีผู้หญิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอให้ฮูหยินจวงส่งเพียงแค่นี้ ฮูหยินจวงก็รู้เช่นกันว่าพวกเราเป็นเพียงคนที่ทำตามคำสั่ง หากฮูหยินจวงมีธุระอะไร ลองไปขอคำแนะนำจากท่านหญิงของพวกเราหรือฮูหยินก็ได้!”
ทำให้ฮูหยินจวงโกรธจนพูดไม่ออกนานมาก ได้แต่มองรถม้าของฉิงเค่อไปจากตระกูลหยวนอย่างทำอะไรไม่ได้ และไปจากตระกูลหยวนด้วยสีหน้าโกรธจัด
————————————