มู่หนานจือ - บทที่ 394 วิเคราะห์
ความคิดถึงที่มีต่อวังฉือหนิงนับวันยิ่งลึกซึ้งขึ้นตามอากาศที่ค่อยๆ หนาว ในที่สุดวันหนึ่งที่เจียงเซี่ยนไปคาร รวะฮูหยินเหอ แต่ฮูหยินเหอกำลังปรึกษากับหลี่ฉางชิงว่าจะฉลองเทศกาลฉงหยางอย่างไรจนถึงจุดสูงสุด
นางก็เอ่ยกับหลี่ฉางชิงว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากกลับเมืองหลวงอย่างเงียบๆ สักครั้ง!”
หลี่ฉางชิงนิ่งไปนานมาก
“ใคร…ใครทำให้เจ้าโกรธหรือเปล่า?” พอเขาได้สติกลับมา ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างระมัดระวังมากว่า “หรือเจ้ารู้สึก ว่าอยู่ที่นี่ใช้ชีวิตลำบาก?”
เจียงเซี่ยนรู้ว่าหลี่ฉางชิงเข้าใจผิดแล้ว และนางก็รู้ว่าคำขอของตนเองเหลวไหลแค่ไหน
สะใภ้ของตระกูลไหนไม่ใช่ไม่เคยออกไปติดต่อกับคนนอก ช่วยเหลือสามีกับเลี้ยงลูกอยู่บ้านอย่างว่านอนสอนง่าย และวนเวีย ยนอยู่รอบสามีกับลูก อยากกลับบ้านของตนเอง ก็ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่สามีพอใจหรือไม่ สามียินยอมหรือไม่ ไม่อย่างนั้น ทำไมครอบครัวมากมายถึงต่างไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานไปอยู่ที่ไกล…เดิมทีอยากกลับบ้านของตนเองสักครั้งก็ไม่ง่าย แต่งงานไปอยู่ที่ไกลแล้ว จะไปจะมาต้องใช้เวลาหลายวัน กระทั่งสองสามเดือน สะใภ้ที่รับใช้สามีและกตัญญูต่อพ่อแม่สา ามีของตระกูลไหนสามารถไปจากบ้านได้นานขนาดนั้น? ลูกสาวแต่งงานไปอยู่ที่ไกล อาจจะบอกลาตั้งแต่นี้ไป ทั้งชีวิตก็ไ ได้เจอกันไม่กี่ครั้ง กระทั่งตั้งแต่นี้ไปก็ไม่มีวันเจอกันอีกแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่รักข้ามาก” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านแม่ทัพให้เกียรติข้ามาก แม้แต่น้องหญิงกั บพวกน้องชายก็เป็นมิตรกับข้ามากเช่นกัน ข้ากลับเมืองหลวง เพราะมีเรื่องที่อยากทำ”
ต่อให้หลี่ฉางชิงดีกับนางแค่ไหน ก็คงจะไม่ปล่อยให้นางกลับบ้านของตนเองอย่างมีความสุขเพราะนางคิดถึงไทฮองไทเ เฮากับไทฮองไท่เฟยเช่นกัน ถึงอย่างไรสะใภ้ที่แต่งเข้าตระกูลแล้วก็เป็นคนของตนเอง หากสะใภ้คนนี้เอะอะก็จะกลับบ้า านของตนเอง ดูอยู่บ้านสามีไม่ได้ เหมือนครอบครัวสามีปฏิบัติกับนางอย่างขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าใครก็คงว่าจะรู้สึกไม ม่พอใจทั้งนั้น
เจียงเซี่ยนไม่อยากทำให้หลี่ฉางชิงไม่พอใจ
เขาเป็นบิดาของหลี่เชียน
และหลังจากนางแต่งมา เขาก็ปฏิบัติกับนางอย่างกล่าวได้ว่าดีกว่าลูกสาวแท้ๆ เสียอีก
นางไม่ใช่คนไม่รู้บุญคุณ
คนอื่นเคารพนางเท่าไร นางจะเคารพคนอื่นกลับเป็นเท่าตัว
นี่ถึงจะเป็นมาตรฐานพื้นฐานในการเป็นคน
ยิ่งกว่านั้น…ในใจนางมีเรื่องหนึ่งจริงๆ
หากครั้งนี้เข้าเมืองหลวงทั้งได้เยี่ยมไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟย และได้จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ นั่นก็เป็นผล ลดีต่อทั้งสองอย่าง
ดังนั้นเจียงเซี่ยนจึงพิถีพิถันทักษะในการพูดเล็กน้อย
นางเม้มปาก พลางเงยหน้ามองหลี่ฉางชิง
หลี่ฉางชิงรู้สึกได้ทันทีว่าเจียงเซี่ยนมีเรื่องจะคุยกับเขา และมีเรื่องที่สำคัญมากจะคุยกับเขา
ทว่าปกติพ่อสามีกับสะใภ้ต่างต้องหลีกเลี่ยงการเป็นที่น่าสงสัย
หลี่ฉางชิงอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะอย่างลำบากใจ แต่ความกล้าและไม่กลัวที่เป็นโจรท้องถิ่นยังคงได้เปรียบ
เขาเอ่ยกับฮูหยินเหอว่า “เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับลูกสะใภ้”
ฮูหยินเหองุนงงตั้งแต่ตอนที่เจียงเซี่ยนเอ่ยว่าจะกลับเมืองหลวงแล้ว
เจียงเซี่ยนกล้าพูดออกมาแบบนี้ได้อย่างไร?
นางแต่งมาตระกูลหลี่สิบกว่าปี ก็กลับบ้านของตนเองแค่สองครั้ง ครั้งหนึ่งมารดาของนางป่วย อีกครั้งคือบิดาของ นางเสียชีวิต
เจียงเซี่ยนเอ่ยออกมาอย่างไม่สนใจไยดีแบบนี้ หลี่ฉางชิงจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
นางจ้องหลี่ฉางชิงตาไม่กะพริบ สุดท้ายเจียงเซี่ยนพูดสองสามคำ หลี่ฉางชิงกลับให้นางหลบไป?
นี่…นี่ยังใช่หลี่ฉางชิงที่พูดคำไหนคำนั้นหรือไม่?
เจียงเซี่ยนกรอกยาเสน่ห์อะไรให้หลี่ฉางชิง?
จนฮูหยินเหอออกจากห้องโถง และถูกลมกลางคืนในเดือนแปดพัดจนตัวสั่น ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น?
ในห้องโถง เจียงเซี่ยนก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว
หลี่ฉางชิงตกใจมาก และอยากถอยหลัง ทว่าเพราะนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ จึงถอยไม่ได้ เลยจำเป็นต้องเอนตัวไปด้านหลั ง และเอ่ยว่า “เจ้ามีธุระอะไรถึงต้องกลับเมืองหลวง?”
เสียงของเขาตึงเครียด แลดูกระวนกระวายเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนคิดว่าหลี่ฉางชิงไม่พอใจ จึงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ หลายวันก่อนท่านแม่ทัพปรึกษาข้า…ว่าอยากไปส่านซี!”
หลี่ฉางชิงอึ้งไป และเอ่ยว่า “ทำไมข้าไม่รู้?”
เจียงเซี่ยรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ภายนอกกลับแกล้งทำเป็นโง่ และเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “ท่านแม่ทัพไม่เคยบอกท่านหรือ?”
หลี่ฉางชิงส่ายหน้า สีหน้าแลดูแย่เล็กน้อย
เจียงเซี่ยนจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เวลานี้สถานการณ์ทางการเมืองในราชสำนักกำลังระส่ำระสาย อ๋องเหลียวอย ยู่ตะวันออกเฉียงเหนือ แต่งคุณหนูใหญ่ตระกูลเลี่ยวของผู้บัญชาการเหลียวตงเป็นภรรยาเอก หลังจากคุณหนูใหญ่เลี่ยวป่ว วยตาย เขาถึงกับยกลูกสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของตระกูลเลี่ยวเป็นอนุภรรยาอีก เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับ บตระกูลเลี่ยวก่อนหน้านี้ต่อไป แล้วทุ่มเทความคิดในการวางแผนและจัดการเขตอิทธิพลส่วนตัวที่เหลียวตง เพื่อปกป้อง ตนเอง”
“ส่วนจิ้งไห่โหวก็ท้าทายอำนาจทางการเมืองของส่วนกลางที่ฝูเจี้ยน โดยจะขอเงินกับกำลังทหารจากราชสำนักในนามของต่ อต้านญี่ปุ่น หลายปีมานี้เขามีอำนาจเป็นอย่างมากในสถานที่หนึ่งแล้ว มีกำลังที่แท้จริงที่จะต่อต้านราชสำนักแล้ว ท ท่านพ่อเป็นแม่ทัพที่ฝูเจี้ยนมาหลายปี จิ้งไห่โหวมีอำนาจมากแค่ไหน คิดว่าท่านจะต้องรู้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”
“แล้วยังพวกขุนนางใหญ่ที่ปกครองมณฑลต่างๆ”
“กัวหย่งกู้ยอมอยู่ที่เสฉวนดีกว่าเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางในเมืองหลวง ส่วนผู้ตรวจการเมืองกุ้ยก็ดำรงตำแหน่งมาเจ จ็ดปีแล้ว และผู้ว่าราชการมณฑลก่วงซี หลังจากดำรงตำแหน่งติดต่อกันเก้าปี ก็อยากเป็นผู้ว่าราชการมณฑลก่วงตง…”
หลี่ฉางชิงได้ยินแล้วก็ใจเต้น
“เวลานี้ทุกคนยอมอยู่ข้างนอกและตั้งมั่นรักษาการณ์สถานที่หนึ่ง ดีกว่ากลับเมืองหลวง” เจียงเซี่ยนเอ่ยต่อ “ก็เพรา าะเวลานี้สถานการณ์ในเมืองหลวงคลุมเครือ และมีผู้มีอำนาจมากมายไม่ใช่หรือ เรียก ‘รองเสนาบดี’ ทีหนึ่ง มีคนขานรับหก กคน แทนที่จะกลับไปดำรงตำแหน่งที่เมืองหลวง และถูกฝ่าบาทกับพวกราชเลขาธิการจับตามอง แล้วหากไม่ระวังก็ยืนผิดฝ่า าย สู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางท้องถิ่น และเป็นขุนนางใหญ่ที่กุมอำนาจทางการเมืองสถานที่หนึ่งดีกว่า มีทั้งอำนาจ และเงินอยู่ในมือ แถมยังสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในเมืองหลวงได้ด้วย”
“ท่านแม่ทัพคิดว่า ในเมื่อทุกคนต่างกำลังดูอยู่ พวกเราก็ไม่สามารถอยู่ใกล้เมืองหลวงเกินไปได้เช่นกัน”
“เวลานี้ท่านพ่อขยับไม่ได้แล้ว และเป็นคนของเฉาไทเฮา ก็เคลื่อนไหวลำบากเช่นกัน สู้ให้เขาไปส่านซี และคิดหาทาง เป็นผู้บัญชาการของกองบัญชาการหรือกองบัญชาการกำลังสำรองส่านซีดีกว่า ทั้งสามารถตั้งมั่นรักษาการณ์ด้านหลังให้ท่าน พ่อได้ และสามารถก่อตัวเป็นพลังที่ประสานกันทั้งสองฝ่ายกับท่านพ่อได้ ทำให้ราชสำนักหลีกเลี่ยง ไม่กล้าแตะต้องตร ระกูลหลี่ง่ายๆ ตระกูลหลี่ก็มีความมั่นใจกับกำลังที่แท้จริงที่จะรักษาความเป็นกลางและไม่เลือกฝ่ายชั่วคราวเช่นก กัน”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เจียงเซี่ยนก็ชะงักไป และเอ่ยอย่างลังเลว่า “แล้วยังเฉาไทเฮา ถึงเฉาไทเฮาจะพระราชทานงานสมรสให้ ข้ากับท่านแม่ทัพ และหลังจากนั้นท่านกับท่านแม่ทัพก็เขียนสาส์นขอบคุณแล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้หญิงของ ตระกูลเจียง ตอนนั้นฝ่าบาทจะส่งเฉาไทเฮาไปพักผ่อนอย่างสงบที่ภูเขาวั่นโซ่ว ท่านลุงเป็นคนคุ้มกันไปส่ง เกรงว่าจน นถึงตอนนี้เฉาไทเฮาก็ยังเกลียดท่านลุงอยู่ เวลานี้ที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบและรักใคร่ปรองดองกันกับท่านลุง ก็เพ พียงแค่ถูกบังคับจนจำเป็นต้องทำแบบนั้นเท่านั้น ข้าแต่งมาตระกูลหลี่แล้ว ก็เป็นหนามชิ้นหนึ่งในใจนางอยู่ดี”
“ใครเป็นคนก่อเรื่องนี้ก็ต้องให้คนนั้นไปจัดการ”
“ข้าคิดว่า…หากข้าได้เข้าเมืองหลวงไปคารวะเฉาไทเฮา แล้วขอให้เฉาไทเฮาช่วยพูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทให้ท่านแม ม่ทัพเล็กน้อย เรื่องที่ท่านแม่ทัพไปส่านซีก็จะได้ลงแรงน้อยแต่ได้ผลมาก การช่วยท่านแม่ทัพหาตำแหน่งผู้บัญชาการ สักตำแหน่งต่างหากที่สำคัญ”
หลี่ฉางชิงคิดว่าถึงอย่างไรเจียงเซี่ยนก็อายุแค่สิบสี่ปี ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็พูดจาเหมือนมองลงไปที่สถานการณ์ โดยรวมแบบนี้ออกมาไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นเขาจึงเชื่อคำพูดของเจียงเซี่ยนมากโดยไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็เห็นด้วยกับความคิดของลูกชายมากเช่นก กัน
ทว่าในใจเขายังคงรู้สึกไม่พอใจมาก
เรื่องสำคัญขนาดนี้ ลูกชายบอกลูกสะใภ้แล้วแต่กลับไม่บอกเขา
พลางคิดว่าเขาเลี้ยงลูกชายจนโตอย่างยากลำบาก เพื่อไม่ให้ลูกชายน้อยใจ ไม่เพียงแต่ให้ลูกชายคนโตที่เกิดจากอนุภร รรยาอายุน้อยกว่าเขาห้าปี ทว่ายังแต่งงานกับภรรยาที่ไม่ค่อยได้เรื่อง เวลานี้ลูกชายแต่งงานแล้ว ก็ลืมคนเป็นพ่อ ออย่างเขาไปจนหมดสิ้น…
หลี่ฉางชิงจึงเอ่ยอย่างอิจฉาเล็กน้อยว่า “เขาเป็นคนบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้าหรือ?”