มู่หนานจือ - บทที่ 397 ปิดบัง
อวิ๋นหลินผลักศีรษะของหลี่จี้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ใต้เท้าเป็นคนจัดมา”
หลี่จี้ก็เอ่ยอีกว่า “แล้วนี่พวกเราจะไปที่ไหน?”
“ไม่รู้!” เอ่ยถึงเรื่องนี้ อวิ๋นหลินก็กลุ้มใจมากขึ้น “ใต้เท้าบอกแค่ว่าให้ข้าติดตามท่านหญิง”
เขาเป็นคนของหลี่เชียน เป็นคนที่หลี่เชียนทิ้งเอาไว้ปกป้องเจียงเซี่ยน แต่สุดท้ายกลับถูกหลี่ฉางชิงจัดให้ติดตามเจียงเซี่ยนออกไปข้างนอก เหมือนเรื่องที่ให้เขาไปปกป้องท่านหญิงเป็นความคิดของหลี่ฉางชิง
จนพวกเขาผ่านป่าและเข้าเส้นทางที่ใช้สำหรับส่งเอกสารราชการและมีจุดพักหรือจุดเปลี่ยนม้าตั้งอยู่ระหว่างทาง องครักษ์เหล่านั้นต่างก็หายไปแล้ว เหลือเพียงอวิ๋นหลิน หลี่จี้ และหลิวตงเยว่คุ้มกันรถม้าที่เจียงเซี่ยน ฉิงเค่อ และชีกูนั่งอยู่ แลดูโดดเดี่ยว เหมือนหญิงงามจากตระกูลเล็กๆ ตระกูลไหนออกจากบ้านไปจุดธูปไหว้พระที่วัด
จู่ๆ อวิ๋นหลินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หรือว่าองครักษ์พวกนั้นคือหน่วยกล้าตายที่ใต้เท้าเลี้ยงอย่างนั้นหรือ?
หลังจากนั้นเขาสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่พบร่องรอยขององครักษ์เหล่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่พวกเขากลับเจอชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหรากลุ่มหนึ่งระหว่างทาง ชีกูสั่งให้คนขับรถจอดรถม้าไว้ข้างๆ เลี่ยงชายหนุ่มกลุ่มนั้นแล้วถึงจะเข้าทางใหม่
นี่ไม่ใช่วิถีของเจียงเซี่ยน
อวิ๋นหลินขมวดคิ้ว แล้วถึงพบว่าคนขับรถที่ขับรถกลับเป็นผู้ติดตามที่ชื่อติงเอ้อที่อยู่ข้างกายหลี่ฉางชิง
เรื่องนี้แปลกเล็กน้อย!
เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ
รถม้าข้ามผ่านเส้นทางที่ใช้สำหรับส่งเอกสารราชการและมีจุดพักหรือจุดเปลี่ยนม้าตั้งอยู่ระหว่างทางข้างๆ เลี้ยวเข้าเมืองเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ และพักที่โรงเตี๊ยมในเมืองเล็กๆ
เจียงเซี่ยนสวมหมวกม่านตาข่าย และสวมเสื้อกับกระโปรงที่ดูเหมือนผ้าฝ้ายสามกระสวยซงเจียงลงจากรถม้า
อวิ๋นหลินก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีแล้ว
ตอนนั้นหลี่เชียนพาเจียงเซี่ยนกลับซานซีเหมือนเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างไร อวิ๋นหลินเคยเห็นมาด้วยตนเอง หลังจากเจียงเซี่ยนแต่งงานกับหลี่เชียน หลี่เชียนรักและเคารพนางอย่างไร อวิ๋นหลินเคยเห็นด้วยตาตนเอง ทว่าเวลานี้เจียงเซี่ยนกลับแต่งตัวเหมือนหญิงชาวบ้าน หากหลี่เชียนเห็นเข้า และรู้ว่าคนรักที่เขาใส่ใจมากถูกปฏิบัติแบบนี้ จะไม่ปวดใจตายหรือ!
ถึงจะรู้ว่าหากหลี่เชียนได้ข่าวอาจจะรีบกลับมาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อวิ๋นหลินคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ยังตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับหลี่เชียน
เขาเขียนสาส์นให้หลี่เชียน และแอบเรียกนกพิราบสื่อสารมา
ใครจะรู้ว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเขายังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ชีกูก็คืนนกพิราบสื่อสารตัวนั้นให้เขา แถมยังล้อเขาเล่นอย่างไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จว่า “ท่านหญิงบอกว่านกพิราบตัวนี้ดูดี เสียดายที่อยู่ระหว่างทาง ไม่อย่างนั้นตุ๋นแล้วกลับได้น้ำแกงดีหม้อหนึ่ง”
อวิ๋นหลินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
ชีกูเอ่ยว่า “ท่านหญิงเชิญเจ้าไป”
อวิ๋นหลินรีบไปเช็ดหน้า ตั้งสติ และตามชีกูไปหาเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนกำลังกินข้าวเช้า พอเห็นอวิ๋นหลินก็เอ่ยว่า “หากข้าให้เจ้าอยู่รับประทานอาหารเช้า เจ้าต้องอึดอัดอย่างแน่นอน ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า จึงจำเป็นต้องรบกวนให้เจ้าเดี๋ยวกลับไปค่อยรับประทานอาหารเช้า ข้ารู้ว่าเจ้าเคารพนับถือท่านแม่ทัพ จึงเคารพนับถือข้าตามไปด้วย ข้าก็มีเรื่องให้เจ้าช่วยพอดีเช่นกัน ดังนั้นข้าจะบอกความจริงและไม่พูดจาอ้อมค้อม…” นางบอกเรื่องที่จะไปขอตำแหน่งขุนนางให้หลี่เชียนที่เมืองหลวงกับอวิ๋นหลิน และเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพกำลังทำอะไรอยู่ เจ้ารู้ดีกว่าข้า ข้าก็ไม่พูดมากแล้ว เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำให้เขาเสียสมาธิ และยิ่งสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้ จนทำให้ท่านแม่ทัพยังคิดถึงข้าอยู่ตลอดเวลาตอนที่ยุ่งอยู่กับงานข้างนอก เจ้าว่าเหตุผลนี้ถูกหรือไม่?”
อวิ๋นหลินพยักหน้าติดกันหลายครั้ง และกำลังอยากแก้ต่างเล็กน้อย เจียงเซี่ยนก็เอ่ยแล้วว่า “เรื่องนี้ก็สิ้นสุดลงตรงนี้แล้ว! หากยังมีเรื่องอะไร ไว้พวกเรากลับมาจากเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากัน”
เขาจำเป็นต้องตกลง แล้วออกจากห้องพักแขกที่เจียงเซี่ยนพักผ่อน และถอนหายใจพลางกลับห้อง
เดินทางสี่วัน เขาก็เห็นประตูเมืองต้าถง
“พวกเราไม่เข้าเมือง” ชีกูสั่งอวิ๋นหลินผ่านม่านรถ “ไปยืมอาศัยที่ศาลหลักเมืองข้างหน้าหนึ่งคืน”
“จะทำแบบนี้ได้อย่างไร!” อวิ๋นหลินตกใจมากจนหน้าถอดสี และรีบเอ่ยว่า “ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้! หากท่านแม่ทัพรู้เข้า จะเสียใจแค่ไหนกัน!”
เวลานี้เขาสวมชุดผู้ชายที่เป็นเสื้อกับกางเกงผ้าเนื้อหยาบสีฟ้า และสวมหมวกใบเล็กผ้าสีดำ สองมือสอดไขว้กันในแขนเสื้อ แลดูว่านอนสอนง่าย เหมือนเกษตรกรที่เรียบร้อย ระมัดระวัง และขี้ขลาด
“เจ้าไม่บอกเขา เขาก็ไม่รู้แล้วไม่ใช่หรือ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างเกียจคร้านผ่านม่าน และยืนกรานที่จะพักที่ศาลหลักเมือง
อวิ๋นหลินกระทืบเท้า แต่ก็ทำได้เพียงประนีประนอมเช่นกัน…ต่อให้เป็นหลี่เชียน เจียงเซี่ยนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็ทำได้เพียงประนีประนอมเช่นกัน
เขายังเทียบหลี่เชียนได้อย่างนั้นหรือ?
อวิ๋นหลินไม่รู้ว่าองครักษ์ลับพวกนั้นอยู่ที่ไหน และก็ชินกับการพึ่งพาตนเองตั้งนานแล้ว จึงไม่ได้ไปสนใจองครักษ์ลับพวกนั้น ทว่าหลังจากประนีประนอมก็สงบสติอารมณ์ให้เรียบร้อยทันที และเดินเข้าไปสืบสถานการณ์ในศาลหลักเมืองก่อน
ศาลหลักเมืองที่พวกเขาจะพักเล็กมาก มีแค่เรือนหลักหลังเดียว ข้างในบูชาเจ้าพ่อหลักเมืองเสี่ยนโย่วป๋อ เรือนด้านหลังเป็นห้องนอนของคนเฝ้าศาล ตอนที่อวิ๋นหลินเรียกให้เปิดประตู คนเฝ้าศาลกำลังออกมาจากเรือนด้านหลัง พอเห็นพวกอวิ๋นหลินก็ประหลาดใจมาก และเอ่ยว่า “พวกเจ้าผ่านมาใช่หรือไม่? ตอนนี้รีบสักหน่อย ยังเข้าเมืองได้ทัน หากไม่ไหวจริงๆ ตรงที่ที่ห่างจากประตูเมืองไม่เกินห้าลี้ยังมีโรงเตี๊ยมอีกแห่ง ที่นั่นก็พักได้เช่นกัน”
อวิ๋นหลินรู้สึกว่าคนเฝ้าศาลพูดถูกมาก แต่ชีกูกลับยิ้มพลางโผล่หน้าออกมาจากหลังเขา และยัดถุงเงินให้คนเฝ้าศาลอย่างแฝงความประจบประแจงเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอให้ท่านโปรดทำกุศล นายหญิงของพวกเราร่างกายไม่แข็งแรง ทนทรมานไม่ไหว เกรงว่าต่อให้รีบไปตอนนี้ก็เข้าเมืองไม่ได้อยู่ดี และโรงเตี๊ยมตรงประตูเมืองก็แพงเกินไป…”
คนเฝ้าศาลบีบถุงเงินในมืออย่างเงียบๆ และคิดแล้วก็เผยท่าทีที่มีเมตตานอกกฎออกมา แล้วเอ่ยอย่างสำรวมว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นคืนนี้พวกเจ้าก็พักที่นี่สักคืนเถอะ! ข้ามีเรือนหลักให้พัก”
ชีกูขอบคุณติดกันหลายครั้ง
ทว่าอวิ๋นหลินกลับอดไม่ได้ที่จะคว้ามือของชีกูไปที่เรือนด้านหลัง และเอ่ยเสียงเบาว่า “นี่ท่านหญิงจะทำอะไร? นางจะนอนบนเตียงของคนเฝ้าศาลได้อย่างไร?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” ชีกูเอ่ย นัยน์ตาฉายแววงุนงง “ทั้งหมดนี่เป็นความต้องการของท่านหญิง”
อวิ๋นหลินเสยผม และกำลังคิดว่าจะห้ามเจียงเซี่ยนอย่างไร ใครจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนกลับเดินเข้ามาโดยมีฉิงเค่อกับหลิวตงเยว่คอยประคองแล้ว
“ทำไมพวกเจ้าถึงให้นายหญิงเข้ามาแล้ว?” เขาไม่กล้าว่าเจียงเซี่ยน และไม่อาจว่าฉิงเค่อได้ จึงจำเป็นต้องใช้ตาจ้องไปที่หลิวตงเยว่ที่สนิทกับเขา
หลิวตงเยว่หลบสายตาของเขา
ท่านหญิงคิดจะทำอะไรกันแน่?
มีสัมภาระและผู้ติดตามไม่มากก็แล้วไป ทำไมถึงไม่พักแม้แต่โรงเตี๊ยม!
อวิ๋นหลินรู้สึกว่าตนเองใกล้จะร้อนใจจนเป็นบ้าแล้ว ทว่าเจียงเซี่ยนกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และสั่งฉิงเค่อว่า “คนเฝ้าศาลบอกว่าที่นี่มีม้านั่งไม่ใช่หรือ? เจ้าไปย้ายม้านั่งเข้ามาสักสองสามตัวและวางติดกันใช้เป็นเตียง ส่วนพวกเจ้าก็นอนบนพื้น”
เขาจำเป็นต้องเรียกอย่างร้อนใจมากอยู่ข้างๆ ว่า “ท่านหญิง”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า และเอ่ยว่า “เจ้ากับคนขับรถม้าเฝ้าอยู่ข้างนอก ข้าจะนอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ยังต้องรีบออกเดินทางแต่เช้า”
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว หากอวิ๋นหลินยังดูอะไรไม่ออก เขาก็ไม่ใช่อวิ๋นหลินที่ถูกหลี่เชียนแต่งตั้งให้รับตำแหน่งสำคัญแล้วเช่นกัน
เขาขานว่า “ขอรับ” ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
เจียงเซี่ยนแอบพยักหน้า และหลับไปบนเตียงที่ต่อจากม้านั่งสามตัว โดยมีฉิงเค่อกับหลิวตงเยว่คอยรับใช้
หลิวตงเยว่เฝ้าหลังเที่ยงคืนจนฟ้าสว่าง พอเห็นสถานการณ์จึงรีบกลับไปพักผ่อนที่เรือนด้านหน้า
คนเฝ้าศาลนั้นไม่รู้ถูกอวิ๋นหลินไล่ไปที่ไหนแล้ว จึงมีแค่เขา หลี่จี้ และติงเอ้อที่นอนบนพื้นในเรือนหลังใหญ่ แถมยังปูเตียงของเขาเรียบร้อยแล้วด้วย
หลิวตงเยว่เดินไปอย่างแผ่วเบา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาของอวิ๋นหลินทอประกายอยู่ท่ามกลางความมืด
“เจ้ายังไม่นอนหรือ?” เขาโล่งอก แล้วขยับตัวอย่างเบาและนุ่มนวลมากขึ้นเรื่อยๆ กลัวจะส่งเสียงดังจนหลี่จี้กับติงเอ้อตื่น
อวิ๋นหลินส่ายหน้าท่ามกลางความมืด โดยไม่สนใจเช่นกันว่าหลิวตงเยว่จะมองเห็นหรือไม่ และเอ่ยเสียงเบามากว่า “นี่ท่านหญิงคิดจะปิดบังแม้แต่ตระกูลฉีหรือ?”
————————————