มู่หนานจือ - บทที่ 401 ขอบคุณ
เจียงเซี่ยนก็ไม่ผิดหวังเช่นกัน
ในความคิดของนาง ความสามารถของพวกขุนนางระดับสูงในชาติก่อนอาจจะมีส่วนช่วยงานของหลี่เชียน แต่การคบหาเพื่อนกลับไม่จำเป็นต้องพูดถึงความสามารถ เช่นการช่วยเหลือคนจากข้างๆ ได้แบบนี้ ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ตระกูลหวังยังไม่ตัดใจหรือ?” ที่นางกังวลคือเรื่องนี้ “พรุ่งนี้สามารถออกเดินทางได้อย่างราบรื่นหรือไม่?”
ยิ่งเป็นตระกูลแบบนี้ ยิ่งไม่มีกฎระเบียบ ทำอะไรยิ่งกำเริบเสิบสานและไร้ความเกรงกลัว จึงจำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงต่อต้านความรุนแรง พวกเขาถึงจะกลัว
ทว่านางพามาแค่อวิ๋นหลินกับหลี่จี้
หากลงมือขึ้นมา อวิ๋นหลินไม่ต้องพูดถึง แต่หลี่จี้กลับเป็นคนที่น้าวแม้แต่ธนูที่ต้องใช้แรงหนึ่งต้านไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาไม่กลายเป็นภาระของอวิ๋นหลินก็ไม่เลวแล้ว ทว่าสองกำปั้นยากที่จะเผชิญกับศัตรูสี่คนได้ อวิ๋นหลินไม่มีทางที่จะปกป้องคนกลุ่มใหญ่อย่างพวกเขาคนเดียวได้!
หากตระกูลหวังอยากค้นรถก็ยุ่งยากแล้ว
จะซ่อนผู้หญิงคนนั้นกับเด็กไว้ที่อื่นก็ไม่ได้อีก
เจียงเซี่ยนปวดศีรษะเล็กน้อย
อวิ๋นหลินแสยะปากยิ้มอย่างมีแผนการอยู่ในใจก่อนแล้ว “ตระกูลหวังอาศัยความร้ายกาจของตระกูลหานไม่ใช่หรือ? ข้าปล่อยข่าวออกไปแล้วว่าตระกูลหานไม่มีคุณชายสามด้วยซ้ำ และไม่อยากได้เด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะที่ถูกรับเลี้ยงเพื่อเตรียมเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตแต่งงานแก้เคล็ดอย่างสิ้นเชิง ตระกูลหวังอยากประจบหัวหน้าขันทีในวังเฉียนชิง จึงจะส่งอนุภรรยาไปให้หัวหน้าขันทีคนนั้น”
เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ และยื่นนิ้วโป้งไปทางอวิ๋นหลิน พลางชมว่า “ความคิดนี้ของเจ้าร้ายกาจจริงๆ!”
อวิ๋นหลินเพียงแค่ยิ้ม
เจียงเซี่ยนง่วงมาพักหนึ่งแล้ว จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปพักเถอะ! เรื่องของตระกูลคัง ข้าก็มอบให้เจ้าแล้ว”
อวิ๋นหลินค้อมตัวพลางขานว่า “ขอรับ” และถอยออกไป
เจียงเซี่ยนลืมเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้น และนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ จนเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ตกใจตื่นด้วยเสียงร้องอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างงัวเงีย
ฉิงเค่อเอ่ยว่า “คุณชายรองตื่นแล้ว มาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
“คารวะข้าก็ไม่จำเป็นต้องร้องอย่างตกใจนี่นา!” เจียงเซี่ยนพึมพำ และให้ฉิงเค่อเชิญหลี่จี้ไปนั่งในห้องโถงสักพัก นางล้างหน้า บ้วนปาก เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัว แล้วไปที่ห้องโถง
หลี่จี้กับเด็กสาวแปลกหน้าราวกับไข่มุกและหยกกำลังจ้องตากัน โดยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือในห้องโถงของนางคนละฝั่งซ้ายขวา
เจียงเซี่ยนประหลาดใจ
แต่สองคนที่ได้ยินเสียงกลับมองมาพร้อมกัน
“พี่สะใภ้!” หลี่จี้เด้งตัวขึ้นมาทันที และคารวะเจียงเซี่ยน พลางเอ่ยว่า “เด็กผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกัน? ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่แต่เช้าได้?”
ทว่าเด็กสาวคนนั้นกลับข่มอารมณ์ไว้ได้ ได้ยินหลี่จี้เอ่ยเช่นนี้ก็ไม่แก้ต่างเช่นกัน นางเข้ามาคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยนอย่างนอบน้อม แล้วถึงเอ่ยว่า “นายหญิง ข้าแซ่คัง ท่านพ่อเป็นผู้ช่วยของอุทยานซั่งหลิน ชื่อตวน ชื่อเสียงอวิ๋น นายหญิงจิตใจเมตตา ช่วยพวกเราทั้งครอบครัว พวกเราทั้งครอบครัวต่างซาบซึ้งอย่างหาสุดมิได้ อันที่จริงท่านแม่ควรมาขอบคุณถึงที่ด้วยตนเอง แต่เพราะเมื่อวานน้องชายคนเล็กตกใจ ท่านแม่ห่างกาย เขาก็ร้องไห้ไม่หยุด และข้างนอกก็มีคนของตระกูลหวังเฝ้าอยู่ กลัวจะเปิดเผยร่องรอย และก่อเรื่องให้นายหญิง จึงไม่กล้าจากมา และส่งข้ามาขอบคุณนายหญิงแทนเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยนบนพื้น
เจียงเซี่ยนเห็นเด็กสาวคนนี้พูดจาคล่องแคล่ว กิริยาท่าทางสง่างาม ก็รู้สึกชอบทันที และเห็นนางสวมเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมลู่[1]สีเขียวเหมือนขนนกแก้วกับกระโปรงปักลายผ้าไหมหังกลางเก่ากลางใหม่ แต่เสื้อคลุมยาวกับกระโปรงกลับยังมีรอยพับที่พับซ้อนกัน ก็รู้ว่านี่เป็นเสื้อผ้าที่ครอบครัวของเด็กสาวเก็บไว้ก้นหีบและใส่ออกมาเป็นหน้าเป็นตา จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ในใจ พลางคิดว่าคนครอบครัวนี้ถึงเวลานี้แล้วยังคงไม่เสียมารยาท แสดงว่าพ่อแม่อบรมสั่งสอนลูกอย่างเข้มงวดมาก ทว่าเวลานี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่รู้สึกสงสารขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงอ่อนโยนกับเด็กสาวคนนี้มากกว่าคนอื่น
“ลุกขึ้นมาคุยกันเถอะ!” นางนั่งลงบนเตียงอรหันต์ในห้องโถง และยิ้มพลางพยักหน้าให้เด็กสาวเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับหลี่จี้ว่า “ข้ามีแขกผู้หญิง เจ้ากลับห้องไปก่อน มีอะไรก็ไปถามอวิ๋นหลิน รับประทานอาหารเช้าแล้ว พวกเราก็ต้องออกเดินทางแล้วเช่นกัน”
หลี่จี้รู้ว่าตนเองเสียมารยาท ก็เขินจนหน้าแดงอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงรีบคารวะเจียงเซี่ยน และถอยออกไป
เจียงเซี่ยนก็ยิ้มพลางเอ่ยกับเด็กสาวคนนั้นว่า “เจ้าไม่ต้องใส่ใจ นี่คือน้องชายของสามีข้า เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ตอนนี้รับคำสั่งจากพี่ชายของเขาให้ส่งข้าออกไปข้างนอก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะระวังมากเกินไปหน่อย หากมีที่ที่ล่วงเกิน ก็ขอให้คุณหนูใหญ่คังอภัยให้ด้วย”
คุณหนูใหญ่คังที่เดิมทีนั่งลงแล้วได้ยินเจียงเซี่ยนพูดแบบนี้ ก็ลุกขึ้นยืนอีก และเอ่ยทั้งที่หน้าแดงว่า “ข้าเป็นคนเสียมารยาทต่างหาก! รู้ว่าคุณชายมาคารวะนายหญิง ก็ควรจะหลบไปถึงจะถูก เพียงแต่ท่านแม่ดูแลพวกน้องชายกับน้องสาวคนเดียวจึงกินแรงเล็กน้อย ข้ากลัวว่าพวกน้องชายกับน้องสาวจะไม่รู้ความ และร้องไห้งอแงขึ้นมาจนทำให้นายหญิงเดือดร้อน จึงรีบร้อนอยากพบนายหญิงเร็วหน่อย ข้าควรจะเป็นคนขอโทษคุณชายถึงจะถูก…”
เจียงเซี่ยนยิ้ม และเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็เป็นคนตรงไปตรงมาเหมือนกัน นั่งลงคุยกันเถอะ!”
คุณหนูใหญ่คังขอบคุณและนั่งลง
ฉิงเค่อยิ้มพลางนำชากับของว่างมาให้แขก
ตอนที่คุณหนูใหญ่คังมายังเพียงแค่อยากขอบคุณคนตระกูลนี้ เวลานี้เห็นเจียงเซี่ยนกับฉิงเค่อต่างสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด และไม่สวมเครื่องประดับใดๆ แต่คำพูด การกระทำ และกิริยาท่าทางกลับสุขุมเยือกเย็นกว่าท่านย่าที่เคยได้รับบรรดาศักดิ์ระดับสามของนางเสียอีก พูดถึงตระกูลหวังก็ไม่มีความกังวลและหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว ไม่มีทางที่จะเป็นเพียงนายหญิงจากตระกูลขุนนางธรรมดาที่เข้าเมืองหลวงไปเยี่ยมคนในครอบครัวอย่างที่คนที่ช่วยนางบอกอย่างเด็ดขาด
เช่นนั้นนางเป็นสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของตระกูลไหนกันแน่?
นางว้าวุ่นใจ และตัดตระกูลขุนนางที่มีหน้ามีตาเล็กน้อยในเมืองหลวงอย่างเร็วมากรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้เบาะแสอยู่ดี
เจียงเซี่ยนถามนางแล้วว่า “นายหญิงคังกับคุณหนูใหญ่คังคิดจะทำอย่างไร?”
ในเมื่อนายหญิงคังส่งลูกสาวคนโตมาขอบคุณนาง ก็แสดงว่าวางใจต่อการทำงานของลูกสาวคนนี้มาก
คุณหนูใหญ่คังได้ยินก็หน้าแดงก่ำในชั่วพริบตา เดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก ครู่ใหญ่ถึงจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอให้นายหญิงพาพวกเราไปจากชางผิงด้วย ต่อไปข้าจะเป็นคนรับใช้ ตอบแทนนายหญิงเจ้าค่ะ”
อาจจะเพราะเป็นครั้งแรกที่ขอร้องคน แล้วก็อาจจะเพราะอายุยังน้อย หรือรู้สึกว่าคำขอนี้ของตนเองเกินไปหน่อย คำพูดของคุณหนูใหญ่คังตรงไปตรงมามาก ยังพูดไม่จบ ศีรษะก็ก้มลงเหมือนประคองไม่ค่อยไหวแล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องมองเจียงเซี่ยนสักครั้ง ส่วนเจียงเซี่ยนในเมื่อตัดสินใจช่วย ก็ไม่มีทางที่จะทิ้งคนไว้ที่นี่ ตระกูลคังขอบคุณนางหรือไม่ จะมีปัญหาหรือไม่ ล้วนไม่อยู่ในขอบเขตความคิดของนาง
แต่คุณหนูใหญ่ตระกูลคังกลับเข้าใจผิด คิดว่านางจะออกเดินทาง โดยทิ้งตระกูลคังเอาไว้
“ข้าถามว่าหลังจากพวกเจ้าไปจากชางผิงแล้วคิดจะทำอย่างไร?” เจียงเซี่ยนชอบเด็กสาวคนนี้มากทีเดียว ดังนั้นจึงยอมอธิบายอย่างอดทน “ที่นี่อยู่ใกล้เมืองหลวงมาก ตระกูลหวังก็ออกหน้าเพื่อเรื่องของตระกูลหาน พวกเราไม่เข้าเมืองหลวง พ่อของเจ้าก็เป็นเพียงผู้ช่วยของอุทยานซั่งหลิน พวกเจ้ามีแผนการอะไรหรือไม่?”
คุณหนูใหญ่ตระกูลคังได้ยินก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“นายหญิง!” นางพึมพำ และลุกขึ้นจะคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยน ทว่ากลับถูกฉิงเค่อที่ได้รับสัญญาณจากเจียงเซี่ยนเข้ามาพยุงไว้
คุณหนูใหญ่ตระกูลคังไม่ใช่คนที่ชอบคุกเข่าให้คนอื่น แต่เวลานี้เจียงเซี่ยนช่วยพวกนางทั้งครอบครัวกลับไม่ได้ขอให้พวกนางทั้งครอบครัวแสดงความขอบคุณออกมาถึงจะพอใจ กลับทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งมากขึ้น
นางลังเลเล็กน้อย แล้วก็เล่าเรื่องของตนเองออกมา “บ้านเกิดของข้าเกิดการโจรกรรมทำชั่วตามใจชอบ พวกเราก็เป็นตระกูลมั่งคั่งที่มีชื่อเสียงแถวนั้น ท่านแม่กลัวว่าจะมีคนเจตนาไม่ดี อาศัยเรื่องการโจรกรรมกรูกันเข้ามาแย่ง จึงเก็บพวกของมีค่าที่พกพาง่ายและสะดวกแล้วก็พาพวกเรามาพึ่งพาท่านพ่อที่เมืองหลวง ก่อนหน้านี้ท่านพ่อเคยเขียนจดหมายให้ท่านแม่ว่าจะลาออกและกลับบ้านเกิด…”
————————————-
[1] ผ้าไหมลู่ ผ้าไหมที่ผลิตที่เมืองลู่โจว