มู่หนานจือ - บทที่ 403 ต้อนรับ
แน่นอนว่าอวิ๋นหลินกับหลี่จี้ไม่มีทางจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนแบบนี้ แถมคิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้วก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ขอเพียงตระกูลหวังยังปลอดภัย เจ้าของโรงเตี๊ยมก็จะเห็นตระกู ลหวังเป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้ ต่อให้เวลานี้เขารับผิดชอบดีแค่ไหน พอหันตัวไป เจอคนของตระกูลหวัง ก็ยังจะออกหน้าเพื่อตระกูลหวังเหมือนเดิม จะคิดเล็กคิดน้อย ก็ไปคิดเล็กคิดน น้อยกับตระกูลหวัง
แต่ก็ไม่สามารถปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้ได้เช่นกัน
หลี่จี้ตีเจ้าของโรงเตี๊ยมอยู่พักหนึ่งตามคำบอกของอวิ๋นหลินถึงจะหยุดมือ
ชางผิงอยู่ใกล้เมืองหลวงมาก ทว่าขุนนางใหญ่ที่ปกครองมณฑลต่างๆ ที่ไปเมืองหลวงจากทางใต้จริงๆ ต่างจะเข้าเมืองหลวงจากทางเป่าติ้ง ขุนนางระดับสูงกับคนรวยที่ผ่านทางชางผิงน้อยม มาก นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำไมตระกูลหวังถึงกล้ากำเริบเสิบสานที่ชางผิงขนาดนี้เช่นกัน
แต่ทุกเรื่องต่างก็มีเรื่องที่คาดไม่ถึง
ตอนที่ตระกูลหวังได้ข่าว ปฏิกิริยาแรกก็คือหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องแล้ว
นายท่านหวังเลี่ยงไม่ได้ที่จะกังวลและไม่สบายใจเล็กน้อย
ทว่าพอนึกถึงตระกูลหาน นึกถึงตู้เซิ่ง ความกล้าของเขาก็เพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
เขาพาคนรับใช้ที่เหลืออยู่ในบ้านไปที่โรงเตี๊ยม พร้อมกับส่งคนไปแจ้งนายอำเภอของชางผิงว่ามีคนลักพาตัวสาวใช้ที่เขาจะส่งให้ตู้เซิ่ง พลางครุ่นคิดว่าเขาค้นอำเภอชางผิงรอบหนึ่งแ แล้วก็หาแม่ลูกสกุลคังไม่เจอ แต่ทางตระกูลหานกำลังจะเลือกคน และแม่ลูกสกุลคังเป็นคนแข็งแกร่งและหยิ่งในศักดิ์ศรีแบบนี้ หากถูกเด็กสาวคนนั้นเคียดแค้นแล้ว ด้วยรูปร่างหน้าตาข ของเด็กสาวคนนั้น จะต้องถูกเลือกอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเขาเกี่ยวดองกลายเป็นสร้างความแค้น จะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวอย่างนั้นหรือ สู้ฉวยโอกาสหาเรื่องคนพวกนั้น ทำให้คนในอำเภอ อชางผิงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่สามารถล่วงเกินได้อย่างง่ายดายดีกว่า
เสียดายที่เขาวางแผนไว้ดีมาก ทว่าเรื่องราวกลับดำเนินไปเกินกว่าที่เขาคาดไว้
พวกคนต่างถิ่นตีคนที่เขาส่งไปทั้งหมดจนนอนคว่ำอยู่บนพื้น ขยับไม่ได้ และลุกไม่ขึ้น
เขาใจเต้นตึกตักทันที พลางครุ่นคิดว่าตนเองเจอคนเก่งมากแล้วหรือเปล่า คนของศาลาว่าการก็มาแล้ว
พอเห็นสภาพในลานบ้าน เหล่าเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และลังเลไม่ค่อยกล้าเข้าไป
ปกติพวกเขาได้ประโยชน์จากตระกูลหวัง ก็ย่อมยินดีที่จะช่วยตระกูลหวังออกหน้า แต่หากเกี่ยวพันถึงชีวิตของตนเอง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการทั้งหมดต่างมองหน้ากันและกันอย่างเงียบๆ
นายท่านหวังทั้งร้อนใจและโกรธ อยากหาเจ้าของโรงเตี๊ยมก็หาไม่เจอ อยากหาพนักงานสักคนก็หาไม่เจอ แม้แต่พวกคนที่มุงดูก็ยืนอยู่ไกลมาก โดยรวมกลุ่มกันสองสามคนแอบซุบซิบนิน นทาเขา
เขาโกรธมาก จึงยกเท้าถีบเด็กรับใช้ “ยังไม่รีบไปเชิญหมอมาอีก จะยืนเคาะระฆังอยู่ตรงนี้หรืออย่างไร!” แล้วทำหน้ากลุ้มไปขอร้องตำรวจอำเภอชางผิงที่พากองกำลังมาว่า “ใต้เท้า ท่า านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดี? อย่างไรก็ปล่อยให้พวกเขาตีคนแบบนี้แล้วจากไปไม่ได้กระมัง? เช่นนั้นอำนาจของขุนนางอำเภอชางผิงอยู่ที่ไหน? หน้าตาของพวกนายท่านทุกคนอยู่ที่ไห หน?”
หัวหน้าตำรวจคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะจัดการยากแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มาแล้ว แต่ในเมื่อรับคำสั่งจากนายอำเภอมาแล้ว ต่อให้ถูกตี เขาก็มีแต่ต้องฝืนใจทำเช่นกัน
เขาสั่งให้ลูกน้องเรียกคนที่พักโรงเตี๊ยมที่มุงดูมาถามเหตุการณ์ในตอนนั้นสักคน
อยู่ข้างนอก จะกล้าล่วงเกินเจ้าถิ่นได้อย่างไร?
คนที่พักโรงเตี๊ยมรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมด
ตำรวจได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และมองคนที่ยังร้องอย่างเจ็บปวดอยู่ในลานบ้านพลางเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าพวกเขามีแค่ห้าคน? ห้าคนตีสิบกว่าคน?”
“ไม่ใช่ห้าคนตีสิบกว่าคน!” คนที่พักโรงเตี๊ยมรีบเอ่ย “มีคนหนึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอด อาจจะเพราะมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงอยู่ข้างใน ชายหนุ่มสี่คนเป็นคนตี หนึ่งใน นนั้นดูเหมือนอายุแค่สิบสี่สิบห้าปี หน้าตามีชีวิตชีวามาก ดูเหมือนคุณชายตระกูลร่ำรวย แต่ฝีมือวิทยายุทธกลับเลิศล้ำมาก”
หัวหน้าตำรวจแอบเอ่ยว่า “แย่แล้ว”
เกรงว่าพวกเขาจะเจอขุนนางระดับสูงกับชนชั้นสูงแล้ว
หัวหน้าตำรวจลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจเด็ดขาด
เขาเดินไปหน้าประตูห้องที่ปิดสนิท และรายงานตัวเสียงเบา แล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าครอบครัวของขุนนางท่านไหนผ่านมาทางนี้ มีตาหามีแววไม่ ขอให้ฮูหยินโปรดอภัยให้ด้วย! ข้าจะพ พาคนที่มาก่อกวนไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
พอนายท่านหวังได้ยินก็ไม่พอใจแล้ว
ปกติเจ้ากินของข้าดื่มของข้า เวลานี้ข้ามีเรื่องให้พวกเจ้าช่วย พวกเจ้าก็กลัวแล้ว! หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะมีสักกี่ตระกูลในอำเภอชางผิงที่เชื่อฟังเขา!
เขายังอยากอาศัยตระกูลหานหาความคุ้มครองให้เด็กในตระกูลนะ!
นายท่านหวังก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและยืนเคียงข้างตำรวจทันที แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านไหนผ่านมาทางนี้ ข้าหวังจี๋แห่งชางผิงรบกวนใต้เท้า เพราะช่วยอ๋อง เจี่ยนตามหาพวกสาวใช้ที่หนีไป ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีนามว่าอย่างไร? ไม่แน่อาจจะเป็นเพื่อนเก่ากับอ๋องเจี่ยนและจวนของสามีของท่านหญิงตงหยางก็ได้! คนกันเองจะได้ไม่เกิดความขัดแย้ งเพราะไม่รู้จักกัน!”
เจียงเซี่ยนเริ่มรำคาญเล็กน้อยแล้ว
กลัวตระกูลหานจะข่มไม่ได้ก็เริ่มยกอ๋องเจี่ยนออกมา
นางเอ่ยกับอวิ๋นหลินว่า “ไปให้คนแซ่หวังนั่นเอาเทียบขอพบของอ๋องเจี่ยนมา ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเขาสวมรอยเป็นญาติของขุนนาง ส่งเขาไปที่ศาลาว่าการก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
อวิ๋นหลินขานว่า “ขอรับ” และผลักประตูเดินออกไป
เจียงเซี่ยนคุยกับหลี่จี้ต่อ “คิดไม่ถึงว่าฝีมือของเจ้าจะดีขนาดนี้? ฝึกวิทยายุทธกับใคร? พี่ใหญ่ของเจ้ารู้หรือไม่?”
สีหน้าของหลี่จี้ฉายแววลำบากใจเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ฝีมือของข้าที่ตระกูลหลี่ไม่ถือว่าดีนัก ฝีมือของพี่ใหญ่ทั้งสองต่างดีกว่าข้า เพราะพวกอวิ๋นหลินเกรงกลัว ข้าถึงได้ดูเ เก่งมากกว่าพวกเขา”
และไม่ตอบว่าหลี่เชียนรู้ว่าเขามีฝีมือดีขนาดนี้หรือไม่
เจียงเซี่ยนนึกถึงชาติก่อนหลี่จี้ชื่อเสียงไม่ชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจในใจ
ทุกบ้านต่างก็มีความลำบากของตนเอง จะเห็นได้ว่าคนโบราณพูดถูก
นางไม่คุยเรื่องนี้กับหลี่จี้อีก และเอ่ยว่า “ได้ส่งคนไปถามสารทุกข์สุกดิบทางแม่ลูกสกุลคังหรือไม่?”
“ส่งคนไปแล้วขอรับ” หลี่จี้ตอบ “พอทางพวกเราเริ่มตี ก็มีองครักษ์ออกมาสามคน ข้าให้หนึ่งในนั้นไปซ่อนที่เรือนด้านหลังที่พวกเราทิ้งรถม้าเอาไว้ หากข้างหน้าต้านไม่ไหว ก็ให้ เขาช่วยคุ้มครองแม่ลูกสกุลคังไปจากโรงเตี๊ยม”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า และยังอยากถามเรื่องของแม่ลูกสกุลคังอีก เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นข้างนอก จนทับเสียงของนางหมด
นางกับหลี่จี้อดไม่ได้ที่จะตั้งหูฟัง
ที่แท้พวกอวิ๋นหลินทะเลาะกับตระกูลหวังแล้ว และจับนายท่านหวังไว้แน่นจะแจ้งทางการ
คนที่อยู่ข้างๆ เห็นคนที่มาหาเรื่องกลับถูกคนอื่นหาเรื่อง ต่างก็รู้สึกว่าน่าสนใจ และมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่น จึงพากันโหวกเหวกโวยวายอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าหน้าที่ของศาล ลาว่าการทั้งกลัวพวกอวิ๋นหลินพูดจามั่วซั่ว ทั้งกังวลว่าหากนายท่านหวังอาศัยอำนาจกับอิทธิพลของคนอื่นมากดขี่และข่มขู่คนจริง แล้วไม่ไปควบคุม สถานการณ์ก็จะวุ่นวายมาก
เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และเอ่ยกับหลี่จี้ว่า “ไป พวกเราไปเล่นหมากล้อมกัน!”
“แต่ข้าเล่นหมากล้อมไม่เป็นนี่นา!” หลี่จี้เอ่ยอย่างเขินอาย
จู่ๆ ก็มีเสียงตวาดดังมาจากนอกประตู “นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน? วุ่นวาย เหมือนอะไร?”
เสียงนี้ฟังดูน่าเกรงขามมาก ตวาดจนทุกคนต่างก็หยุด
ในลานบ้านเงียบสงัด
อวิ๋นหลินรีบก้มหน้าลง
คนๆ นั้นเดินมาหน้าประตูของเจียงเซี่ยนอย่างรวดเร็ว และเอ่ยเสียงเบาว่า “เจียหนาน ข้าคือหวังจ้าน”
มือของเจียงเซี่ยนสั่น
ชาติก่อน หวังจ้านก็เรียกนางอย่างถูกต้องตามหลักแบบนี้เหมือนกัน
เพียงแต่เป็น ‘เจียหนาน’ เปลี่ยนเป็น ‘ฮองเฮา’ และตอนหลังเปลี่ยนเป็น ‘ไทเฮา’
นางเปิดประตูอย่างประหลาดใจปนดีใจ
นอกประตู หวังจ้านที่รูปร่างผอมสูงกำลังยืนอมยิ้มด้วยท่าทางเหมือนต้นสน
“เจียหนาน เจ้าเขียนจดหมายบอกว่าจะกลับเมืองหลวงอย่างลับๆ ท่านพี่อาลวี่สะดุดตาเกินไป ข้าจึงอาสามารับเจ้า” เขามองเจียงเซี่ยน สายตาอบอุ่นอ่อนโยนราวกับแสงแดดในเดือนสาม