มู่หนานจือ - บทที่ 404 กลับเมืองหลวง
“ท่านพี่อาจ้าน!” รอยยิ้มระบายเต็มดวงตาของเจียงเซี่ยน นางเรียกหวังจ้านอย่างสนิทสนมและอบอุ่น
ชาติก่อนนางจะเรียกเขาว่า ‘ผู้บัญชาการหวัง’ หรือ ‘หัวหน้าหวัง’ ก่อนออกเรือนที่เรียกว่า‘ท่านพี่อาจ้าน’ นั้นหายไปในความสูงต่ำของฐานะตามมารยาทตั้งนานแล้ว ชาตินี้นางไม่จำเ เป็นต้องเรียกญาติของนางด้วยตำแหน่งขุนนางใดๆ พวกเขาเป็นเพียงญาติพี่น้องของนาง
เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และเชิญหวังจ้านเข้าไป
หวังจ้านเห็นหลี่จี้ชายหนุ่มที่หล่อเหลาและสง่างามราวกับต้นหยกตั้งแต่แวบแรก
เขาอึ้งไปเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน “นี่คือหลี่จี้น้องรองของข้า นี่คือหวังจ้านพี่ชายของข้า”
คนที่ถูกเจียงเซี่ยนเรียกว่า ‘พี่ชาย’ ได้ หากไม่ใช่พระญาติที่มีชื่อเสียงและบารมีในแคว้นก็เป็นคนที่มีอำนาจและอิทธิพลมาก
หลี่จี้ไม่กล้าเมินเฉย จึงรีบเข้าไปคารวะ
หวังจ้านตั้งใจมองหลี่จี้เล็กน้อย และเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “หลี่เชียนล่ะ? ทำไมเขาไม่กลับเมืองหลวงเป็นเพื่อนเจ้าด้วย? มีธุระอะไรสำคัญกว่าเจ้าอีกหรือ?”
ก่อนที่เขาจะมายังกังวลและไม่สบายใจ กลัวว่าเจียงเซี่ยนถูกรังแกที่ตระกูลหลี่ จึงหนีกลับมา เวลานี้เห็นในคนที่ส่งเจียงเซี่ยนมีน้องชายของหลี่เชียน แม้เขาจะวางใจแล้ว ทว่า ากลับไม่พอใจหลี่เชียนขึ้นมา
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางเชิญให้หวังจ้านนั่งลง และเอ่ยว่า “ในเมื่อเข้าเมืองหลวงอย่างลับๆ ก็จะให้คนรู้ไม่ได้! หลี่เชียนกลับมาเป็นเพื่อนข้า จะไม่ทำให้รู้กันทั้งเมืองอย่างนั้น นหรือ!”
หวังจ้านเข้าใจเหตุผล แต่กลับยอมไม่ได้ จึงมักจะจู้จี้จุกจิกเล็กน้อย “ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ปล่อยให้เจ้าพาคนไม่กี่คนกลับมาไม่ได้เหมือนกัน เจ้าดูสิ คหบดีในชนบทเล็กๆ คนหนึ่ งยังกล้าก่อเรื่องหน้าประตูเจ้า…”
คำพูดอื่น เขากลับพูดไม่ออก กลัวเจียงเซี่ยนเสียใจ
ความแค้นที่มีต่อหลี่เชียนมากขึ้นเล็กน้อย
หลี่จี้นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ โดยที่ในหัวมีหลากหลายความรู้สึกปะปนกัน
พี่ใหญ่ที่ทำได้ทุกอย่าง ในสายตาคนอื่นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นลูกเขยที่ฐานะสูงส่ง แถมยังแต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานที่สูงศักดิ์ที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน กลับถูกคนรังเกียจ.. ..พี่ใหญ่ของเขาก็เหมือนจะกลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าและเหลือบมองเจียงเซี่ยนทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เจียงเซี่ยนเพียงแค่ยิ้ม และเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งปนเยือกเย็นว่า “คำกล่าวที่ว่า มีตาหามีแววไม่ ก็คือคนแบบเขา ยังดีที่ท่านพี่อาจ้านมาแล้ว เรื่องนี้ก็มอบให้ท่านพี่อา จ้านแล้วกัน ข้าจะได้ไม่เปิดเผยร่องรอย”
“เจ้านี่นะ! เมื่อไรถึงจะโต!” หวังจ้านส่ายหน้าอย่างจนใจ และถอนหายใจด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความรักความเอ็นดู ทว่าก็ลุกขึ้นไปกอบกู้สถานการณ์หลังจากเกิดเหตุผิดพลาดให้นางเหมือ อนเมื่อก่อน
เจียงเซี่ยนมองภาพเงาด้านหลังของหวังจ้าน สีหน้ากลับค่อยๆ จริงจังขึ้น
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ นางก็เคยมีความหวังกับหวังจ้าน แต่ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ หลังจากนางแต่งงาน นางก็ตั้งกำแพงขึ้นมาระหว่างนางกับหวังจ้าน
เมื่อก่อนนางรู้สึกเสียดาย
ทว่าตอนนี้นางก็รู้สึกว่าจำเป็น
เรื่องบางเรื่อง ก็ปล่อยให้มันจมอยู่ในมุมที่ไม่มีใครรู้อย่างเงียบๆ และทั้งสองฝ่ายต่างสบายดีก็พอแล้ว
นางถอนหายใจยาวเหยียด แต่พอเงยหน้ากลับเจอสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของหลี่จี้
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะยิ้ม และอธิบายฐานะของหวังจ้านกับหลี่จี้
เสียงผู้คนด้านนอกค่อยๆ จางหายไปแล้ว
หวังจ้านเดินเข้ามา และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินอวิ๋นหลินบอกว่า เจ้าจะพักผ่อนและปรับปรุงกำลังที่นี่หนึ่งวัน จะให้ข้าพาเจ้าออกไปเดินเล่นสักหน่อยหรือไม่ ชางผิงอยู่ใกล ล้เมืองหลวงมาก มีร้านค้าของพ่อค้ามากมายพากันมาเปิด เมื่อก่อนเจ้ามักจะตะโกนว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะกินของว่างทั่วเมืองหลวงไม่ใช่หรือ ข้าว่าเริ่มจากชางผิงดีกว่า”
หากไม่มีการถอนหายใจของหวังจ้านเมื่อครู่ นางก็อาจจะไปกับเขาแล้ว ทว่าพอมีเหตุการณ์แทรกซ้อนเมื่อครู่ นางก็รู้สึกว่านางควรรักษาระยะห่างกับหวังจ้านถึงจะถูก
“บอกว่าจะพักผ่อนและปรับปรุงกำลัง จริงๆ เป็นเพราะช่วยภรรยาของขุนนางคนหนึ่งและไม่สามารถออกจากชางผิงอย่างเงียบๆ ได้ กำลังรอท่านพี่อาลวี่มารับข้า” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต ตอนนี้คนที่มารับข้ามาแล้ว ปัญหาคลี่คลายแล้ว ข้าก็ย่อมต้องรีบกลับเข้าเมืองหลวง ข้าคิดถึงไทฮองไทเฮากับท่านป้าแล้ว!”
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหวังจ้านไม่เคยขัดความต้องการของนาง ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
เขายิ้มให้เจียงเซี่ยนอย่างรักใคร่ และไปจัดการเรื่องเข้าเมืองหลวง
ตอนมาเจียงเซี่ยนมีรถม้าสองคัน ตอนไปมีรถม้าห้าคัน บวกกับองครักษ์หน้าหลัง ราวกับสมาชิกในครอบครัวที่เป็นสตรีของตระกูลผู้มีอำนาจ
นายท่านหวังถูกคนกดอยู่บนพื้น อยากเงยหน้าขึ้นมาแอบมองร่องรอยของรถม้าคันนั้นอย่างสุดกำลัง ทว่าหน้ากลับถูกคนกระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง เขาจึงทำได้เพียงเบิกตาโต ต และใช้หางตามองไปทางทิศที่เสียงรถม้าดังขึ้นมา
เสียดายที่เขาเห็นเพียงกีบม้าที่ตอกเกือกม้า
เขาเสียดายสุดๆ
หากรู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เขาก็ไม่ควรไปหาเด็กสาวตระกูลคังคนนั้นต่อ…แต่เด็กผู้หญิงที่สวยและมีความเฉลียวฉลาดขนาดนั้น ก็มีแต่ตระกูลขุนนางที่เรียนหนังสือมาหลายรุ่นแ แบบนี้ถึงจะมีเช่นกัน กว่าเขาจะเจอคนที่ตกอับก็ไม่ง่ายเลย จะไม่สนใจได้อย่างไร
เขากำลังเสียดาย
ความเจ็บปวดที่ส่งมาบนหน้าดึงความคิดของเขากลับมา
เขากลุ้มใจขึ้นมาอีกทันที
ตอนนี้เขาเหมือนควรจะกลุ้มว่าจะหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ลำบากตรงหน้าอย่างไร
แล้วยังนายอำเภอนั่น
คนที่ถูกเขาพาออกมาต่างถูกตีแล้ว เกรงว่าเขาจะต้องเลือดออกมากแล้ว ไม่อย่างนั้นที่ว่าการอำเภอก็คงจะให้ความกระจ่างไม่ได้…
—
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนไม่มีทางที่จะไปคิดถึงนายท่านหวัง
สำหรับนางนี่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่คู่ควรเก็บไว้ในความทรงจำด้วยซ้ำ ก็เหมือนมีสุนัขที่ไม่มีเหตุผลตัวหนึ่งจู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาเห่าใส่นางสองสามคำ ให้คนไล่ไปก็พอแล้ว สุนัขต ตัวนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร พุ่งออกมาจากที่ไหน นางก็จะไม่สนใจทั้งนั้น
นางถามหลิวตงเยว่ “หากข้าจำไม่ผิด ข้ายังมีบ้านหลังหนึ่งที่ภูเขาเสี่ยวทังใช่หรือไม่?”
นี่ยังเป็นสิ่งที่นางสั่งให้หลิวตงเยว่ไปซื้อตอนที่เป็นท่านหญิง แถมตอนนั้นยังใช้เงินของกรมวัง
และนี่ก็เป็นงานแรกที่หลิวตงเยว่ทำคนเดียวเช่นกัน
ทั้งสองคนต่างจำได้เป็นอย่างดี
“ขอรับ!” หลิวตงเยว่ยิ้มพลางขานรับ “บ้านรื้อซ่อมใหม่แล้ว เครื่องเรือนกับภาชนะต่างก็ซื้อครบแล้ว เพราะท่านหญิงรีบไป จึงทิ้งคนรับใช้ที่มีประสบการณ์โชกโชนและทำงานรอบคอบไว้ เฝ้าที่นั่นแค่สองสามคน”
“พวกเราก็พักที่นั่นเถอะ!” เจียงเซี่ยนสั่งให้หลิวตงเยว่ไปบอกหวังจ้าน
หวังจ้านรีบดึงบังเหียนม้ามาคุยกับนาง “ช่วงนี้ฝ่าบาทยุ่งจนเวียนศีรษะและหลงทิศกับเรื่องงานอภิเษกสมรสของฝ่าบาท แถมเวลานี้อาลวี่ก็เป็นผู้บัญชาการของกองบัญชาการปัญจทิศรักษ ษานคร ขอเพียงพวกเราไม่แสดงออกว่าเป็นขบวนของท่านหญิง เขาก็ไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน ส่วนพวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักนั้น คนที่ระดับต่ำเกินไป…อยากไปนินทาต่อหน้าพระพักตร์เล็กน น้อยก็ไม่มีโอกาส คนที่ระดับสูง…ต่างก็ยุ่งกับการปรับตำแหน่งและครอบครองเขตอิทธิพลใหม่หลังจากประเมินผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ของขุนนางในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า มีเวลาว่างมาสนใจ เรื่องของพวกเราที่ไหนกัน”
ในความคิดของเขา เมืองหลวงนอกจากจ้าวอี้แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถทำให้เจียงเซี่ยนเกรงกลัวได้
แต่สิ่งที่เจียงเซี่ยนเกรงกลัว ก็เป็นเพียงเรื่องความรอบคอบของจ้าวอี้
หากเกิดขึ้นจริงๆ จ้าวอี้จะชนะหรือแพ้ก็ยังไม่แน่
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่อยากสร้างปัญหาให้จวนเจิ้นกั๋วกง วังฉือหนิง และจวนเป่ยติ้งโหว
นางสามารถไปโดยไม่สนใจได้ แต่พวกญาติกับเพื่อนที่เคยห่วงใย รัก และปกป้องนางจะทำอย่างไร?
ความใจแคบของจ้าวอี้นั้น นางเคยเผชิญมาแล้ว
“ข้าต้องเจอใครบางคน” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ที่ภูเขาเสี่ยวทังสะดวกกว่า”
หวังจ้านคิดว่าเจียงเซี่ยนเพียงแค่อยากเยี่ยมญาติเท่านั้น พอได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้เหมือนยังมีธุระอื่นอีก เขาก็ไม่อาจถามรายละเอียดต่อหน้าคนพวกนี้ได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงข ขานรับ และส่งคนตามหลิวตงเยว่ไปเก็บกวาดบ้านที่ภูเขาเสี่ยวทังก่อน พลางคุ้มครองเจียงเซี่ยนไปยังภูเขาเสี่ยวทัง